1480 วันที่แล้ว
น้องสาวหรือพี่สาวกันแน่เนี่ย ถ้าเป็นน้องสาวพระเอกก็ต้องเรียนอยู่สิ น่าจะแปลว่าพี่สาวนะ
1649 วันที่แล้ว
มุมมองของตัวเอกนี่ยังไง จะใช้แต่การบ่มเพาะแก้ปัญหา พลังแก้ปัญหาได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเฉินฟานในตอนนี้คือการฟื้นฟูการบ่มเพาะ
ระดับของการบ่มเพาะแบ่งออกเป็นแปดระดับได้แก่
ปรับแต่งพลังฉี หลอมรวม แก่นทองคำ รวมวิญญาณ กำเนิดวิญญาณ สูญตา หวนคืน และภัยพิบัติ
แม้แต่อาจารย์ของเขา ชางฉิน ที่เป็นผู้บ่มเพาะอมตะ และมีชีวิตอยู่มาถึงแปดแสนสี่หมื่นปีก็บรรลุถึงระดับที่เจ็ดเท่านั้น เมื่อผู้บ่มเพาะมาถึงระดับที่เจ็ด เขาจะได้รับฉายา “ราชันอมตะ” และสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานนับแสนปี
ในห้วงเอกภพ การบ่มเพาะระดับที่เจ็ด “ราชันอมตะ” จะได้รับการเคารพในฐานะศูนย์รวมของพลัง พวกเขาสามารถบดขยี้ดวงดาว กลืนกินดวงอาทิตย์ และแม้แต่สร้างมิติอื่นขึ้นมาได้
ใน 500 ปีที่ผ่านมาเฉินฟานได้มาถึงระดับที่แปด ระดับภัยพิบัติ เขาเหนือกว่าอาจารย์ของเขา และได้รับฉายา “จ้าวสวรรค์”
อย่างไรก็ตามระดับภัยพิบัติในตอนนี้อยู่ไกลเกินเกินกว่าที่เฉินฟานจะต้องมานั่งกังวล
‘ตอนที่ฉันทำการบ่มเพาะอยู่ในห้วงเอกภพ ฉันเคยย้อนกลับมาที่โลกนี้ครั้งหนึ่ง แต่ในช่วงเวลานั้นพลังฉีของโลกช่างเบาบาง และไม่เหมาะสมสำหรับทำการบ่มเพาะเป็นอย่างมาก’ เมื่อเทียบกับโลกในดินแดน “ชางหมิง” ที่อาจารย์ชางฉินของเขาเป็นคนสร้างขึ้นมาแล้ว สถานแห่งนั้นเหมาะกับการบ่มเพาะพลังมากกว่า เฉินฟานนึกถึงการมาเยือนโลกครั้งล่าสุดของเขาในขณะที่เขาเริ่มรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมของพลังฉีในขณะนี้
ครั้งสุดท้ายที่เขากลับมายังโลกใบนี้ มันเป็นเวลามากกว่าร้อยปีมาแล้วถ้าเทียบกับไทม์ไลน์ในปัจจุบัน และตามเวลานั้น เขาได้เป็นผู้บ่มเพาะที่ประสบความสำเร็จมาก่อนแล้ว
เขาเดินทางข้ามผ่านดินแดนหลายพันล้านที่แยกเขาออกจากโลกนี้เพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง โลกในตอนนั้นไม่ได้เป็นโลกที่เขาจำได้อีกต่อไป ระบบประเทศแบบเก่าล่มสลาย และมนุษย์ได้ก่อตั้งสหพันธ์โลกขึ้นมา หลังจากที่มนุษย์ยึดครองดาวอังคาร พวกเขาก็ก้าวออกจากระบบสุริยะ และเข้าสู่ยุคของการเดินทางระหว่างดวงดาว
เฉินฟานยังคงอยู่บนโลกนี้ต่อไปอีกยี่สิบปี และเขาก็ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของผู้บ่มเพาะคนอื่นๆ
‘ตอนนี้พลังฉีของโลกมีให้ใช้มากกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอีก 100 ปีข้างหน้า แต่มันก็ไม่ได้อุดมสมบูรณ์มากมายเท่าใดนัก’ เขาส่ายหัวอย่างเงียบๆ ‘ถึงแม้ตอนนี้จะมีผู้บ่มเพาะ แต่อย่างมากที่สุดก็น่าจะเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับที่สองเท่านั้น’
‘ฉันคิดว่า ฉันจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะเพียงคนเดียวบนโลกนี้ไปซะอีก’
ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดจริง นั่นหมายความว่าตราบใดที่เขาสามารถฟื้นฟูพลังของเขาได้ เขาจะสามารถปกครองโลกใบนี้ได้อย่างง่ายดาย เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อบรรลุเป้าหมาย ตอนนี้เขาเพียงต้องการที่จะก้าวไปสู่ระดับที่สองของการบ่มเพาะเท่านั้น
หากยังไปไม่ถึงระดับที่สอง เขาจะไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้บ่มเพาะ” ได้
ด้วยความรู้มากมายที่เขาสะสมมานานกว่า 500 ปี เฉินฟานจึงกล้าเดิมพันได้เลยว่าเขาจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีจนไปถึงจุดนั้นได้
‘พลังฉีแถวนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกัน ฉันควรไปหาพื้นที่ที่มีพลังฉีเข้มข้นมากกว่านี้เพื่อทำการบ่มเพาะจะดีกว่า’
‘ถ้าฉันสามารถค้นพบขุมทรัพย์พลังฉีขนาดใหญ่ ฉันจะต้องฝ่าด่านที่สองได้ในเวลาไม่ถึงสามปีอย่างแน่นอน’
เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับการได้รับทรัพย์สมบัติมากมาย เฉินฟานก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ‘ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่? ด้วยปริมาณพลังฉีที่น้อยนิดบนโลกเช่นนี้ มันก็คงไม่ค่อยมีสมุนไพรหรือสมบัติที่ดีอะไรมากมายเท่าไหร่นัก’
เฉินฟานคร่ำครวญเกี่ยวสถาการณ์ของเขาภายใจ
ที่พักของเฉินฟานตั้งอยู่บริเวณชานเมือง ที่พักของเขาหันหน้าไปทางทะเลสาบหยานกุ้ยที่มีขนาดใหญ่จึงได้รับการพิจารณาให้เป็นอสังหาริมทรัพย์ระดับกลางที่มีคุณภาพสูงในเมืองซูโจว แต่ในทางกลับกันครอบครัวถังอาศัยอยู่ในย่านชานเมืองที่เขตหยุนชาน ซึ่งใช้เวลาขับรถเพียงไม่กี่นาทีจากสถานที่พักของเฉินฟานมายังที่นี่
รถวิ่งไปตามทางหลวงที่มีทะเลสาบโอบล้อมทั้งสองฝั่ง และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเชิงเขาของภูเขายุนวู เฉินฟานเห็นป้ายชื่อที่ใหญ่โต
อุทยานมังกร
เฉินฟานจำได้ว่าอุทยานมังกรเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับสูงในเมืองซูโจว วิลล่าขนาดเล็กในบริเวณนี้มีค่าใช้จ่ายสูงถึงสองล้านหยวนก่อนที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มเติบโต
ป้าถังลดกระจกมองหลังลง และเห็นความหลงใหลในสายตาของเฉินฟาน
“ภูเขายุนวูเป็นสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซูโจวนอกเหนือจากทะเลสาบหยานกุ้ย อุทยานมังกรเป็นเพียงการพัฒนาระดับกลางของพื้นที่ที่อยู่รอบบริเวณนี้ บางทีหลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย เราอาจจะลองขึ้นไปดูบนภูเขากัน ฉันจะแสดงให้เธอเห็นถึงวิลล่าที่หรูหราบนยอดเขายุนวูเอง คนรวยเหล่านั้นทำให้บ้านของเราดูเหมือนกับโรงเก็บของในสนามหลังบ้านของพวกเขาไปเลย ฮิฮิ... จริงสิ เธอควรมาเยี่ยมเราในตอนเช้าดูนะ ถ้าเธอมาหาเราในตอนเช้า เธอจะเห็นทั่วทั้งภูเขายุนวูถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกเหมือนกับชื่อชองภูเขา ‘หยุนหวู่’ นั่นเอง”
มีน้ำเสียงที่เจือปนไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อยของป้าถังในขณะที่เธอพูดถึงวิลล่าที่อยู่สูงขึ้นไปบนภูเขา
“ราคาวิลล่าบนภูเขาที่ถูกที่สุดก็มีราคาปาไปมากกว่าสิบล้านหยวนแล้ว ที่บนนั้นได้รับการพัฒนาโดยชายที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองซูโจว และมีเพียงเพื่อน และเหล่าเศรษฐีจากทางใต้เท่านั้นที่สามารถซื้อทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ฉันคงสามารถซื้อได้เพียงห้องครัวขนาดเล็กแม้ว่าฉันจะขายบริษัทไปก็ตาม” ป้าถังส่ายหัวแล้วถอนหายใจ
‘ชายที่รวยที่สุดในเมืองซูโจว… ตระกูลเฉียน?’ เฉินฟานคิด
“ในความคิดของผม บ้านของคุณป้าดูใหญ่มากแล้วครับ ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ในบ้านที่มีพื้นที่เพียง 100 ตารางเมตร และบ้านหลังนั้นก็ยังเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลอีกด้วย”
เฉินฟานหยุดครู่หนึ่ง และพูด “ถ้าคุณป้าชอบบ้านเหล่านั้นจริงๆ เมื่อผมเริ่มหาเงินได้แล้ว ผมจะซื้อให้คุณป้าซักสองสามหลัง ผมจะทำให้แน่ใจเลยว่าคุณป้าจะสามารถตื่นขึ้นมาดูทะเลหมอกหมอกที่อยู่เบื้องล่างของคุณป้าได้ทุกวัน”
วิลล่าสำหรับคนที่สามารถท่องไปได้ทั่วทั้งเอกภพจะมีค่าสักแค่ไหนกัน? เขาจะมีสิ่งที่เขาต้องการเมื่อเขามาก้าวเข้าสู่ระดับที่สอง
ป้าถังพึงพอใจกับคำพูดของเฉินฟานมาก เธอพูด “เยี่ยมไปเลย ฮิฮิ จำที่เธอพูดเอาไว้ด้วยล่ะเสี่ยวฟาน! บอกแม่ของเธอให้มาหาฉันบ้างสิ เธอเอาแต่ทำงานราวกับซอมบี้ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเธอ! แม่ และน้องสาวของเธอเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่กล้าหาญ และกระตือรือร้นเกี่ยวกับการหาเงินในเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้ใดสนใจมากนัก เฮ้อ ถ้าเธอเกษียณตอนนี้ก็ดีสิ เราจะได้ไปช็อปปิ้งหรือไม่ก็ไปสปาด้วยกันอย่างที่เราต้องการ ชีวิตที่แสนสบายเหล่านั้นจะเป็นยังไงบ้างน๊า เอ๊ะ?”
เจียงซูหลันรับฟังการสนทา และเธอก็ไม่ประทับใจกับสิ่งที่เธอได้ยิน
แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นที่ร่ำรวยที่สุดที่เธอรู้ก็ยังไม่สามารถให้สัญญาว่าจะซื้อวิลล่าบนภูเขาเป็นของขวัญให้กับเธอได้ ทุกคนรู้ดีว่ามีแต่เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดเท่านั้นถึงสามารถอาศัยอยู่บนนั้นได้
‘ดูเหมือนว่าเขาจะเหมือนกับคนอื่นๆที่เต็มไปด้วยคำพูดที่ไร้สาระ แต่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้สินะ’
เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับเฉินฟาน เธอคิดว่าชายหนุ่มที่มาจากชนบทคนนี้จะแตกต่างไปจากชายหนุ่มในเมือง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิด
การตกแต่งภายในบ้านของป้าถังนั้นมีสไตล์ที่หรูหรา สง่างาม และงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงแค่ดูจากภาพเขียนบนผนังจนไปถึงแจกันลายครามสีฟ้าขาวบนโต๊ะก็เห็นได้ชัดว่าตระกูลถังไม่เพียงแต่ร่ำรวยเท่านั้น แต่พวกเขายังมีการศึกษาที่ดี และมีรสนิยมทางศิลปะที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
หลังจากเดินเข้ามาในห้องโถง เฉินฟานก็เห็นชายวัยกลางคนสวมแว่นตาดำนั่งอยู่บนโซฟา และกำลังดูข่าวในทีวี
เขาคือพ่อของเจียงซูหลัน เจียงไห่ซาน
เขาเป็นรองผู้อำนวยการของเมืองซูโจว แม้ว่าตำแหน่งของเขาจะไม่สูง แต่เขาก็มีความใกล้ชิดกับเหล่าผู้มีอิทธิพลของเมืองซูโจว
เฉินฟานโค้งคำนับให้แก่เขา และเจียงไห่ซานก็พยักหน้าตอบกลับอย่างเฉยเมย
“นั่งลงก่อนเถอะจ๊ะ หลันหลันทำไมลูกไม่ไปที่ห้องครัว และชงชาให้พ่อ และแขกของเราสักหน่อยล่ะ? อ๊า... ช่วยรออาหารค่ำของฉันแปปนึงนะ ฉันจะไปอุ่นอาหารบางอย่างก่อน” ป้าถังพูดพร้อมกับรีบเดินเข้าไปภายในครัว
เจียงซูหลันพยักหน้า และหยิบกล่องชาดินเหนียวสีม่วงที่ผลิตขึ้นโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงจากเมืองยี่ซิน
เฉินฟานรู้สึกประหลาดใจกับเทคนิคการชงชาของเจียงซูหลัน การเคลื่อนไหวของเธอช่างราบรื่น และลื่นไหลราวกับสายน้ำ ในขณะที่เธอชงชา เธอดูพิถีพิถันเป็นอย่างมาก และเห็นได้ชัดว่าเธอคงได้รับการฝึกฝนภายใต้ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นอย่างดี นี่เป็นรายละเอียดที่เฉินฟานไม่ได้สังเกตเห็นในชีวิตก่อนหน้านี้
นัยน์ตาของเจียงไห่ซานจดจ่ออยู่กับทีวี และเขาไม่หันหน้าไปหาแขกจนข่าวจบลง
“พ่อของนาย เจ้าหน้าที่เฉินเป็นยังไงบ้าง? ครั้งสุดท้ายที่ฉันพบเขาก็เมื่อตอนประชุมรัฐบาลเมื่อหกเดือนที่แล้ว”
“ขอบคุณที่ถามครับ ตอนนี้เขากำลังไปได้ด้วยดีครับ” เฉินฟานตอบกลับอย่างสุภาพ
พ่อของเฉินฟานเป็นรองเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของเมืองซี่ชุ่ย และถึงแม้ว่าตำแหน่งของเขาจะคล้ายคลึงกับของเจียงไห่ซาน แต่ขอบเขตของอำนาจนั้นไม่สามารถเทียบได้กับเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนอย่างซูโจว
เจียงไห่ซานพยักหน้า “พ่อของนายอายุน้อย และเต็มไปด้วยศักยภาพ ข้อเสนอของเขาอย่าง “การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนประจำมณฑล และการเลือกเฟ้น และการใช้นโยบายการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ได้รับการยกย่องจากท่านนายกเทศมนตรี และท่านนายกเทศมนตรียังกล่าวอีกด้วยว่า พ่อของนายมีมุมมองที่เป็นสากล และเขาก็เห็นด้วยกับพ่อของนายเกี่ยวกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจในอนาคตนั้นไม่สามารถแยกออกจากการปกป้องสิ่งแวดล้อมได้”
เฉินฟานพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ว่างเปล่า ทำไมเขาถึงคิดว่าชายหนุ่มมัธยมปลายจะสนใจการเมืองที่น่าเบื่อเช่นนี้? ถ้าเฉินฟานสามารถเข้าใจถึงเนื้อหาครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เจียงไห่ซานพูดได้ ในอดีตที่ผ่านมาบริษัทแม่ของเขาก็คงไม่ล้มละลาย
มื่อเห็นว่าเฉินฟานไม่มีความสนใจในสิ่งที่เขาพูด เจียงไห่ซานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนหัวข้อ
“ฉันได้ยินจากป้าของเธอมาว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์แม่ของนายในเมืองตงไห่กำลังพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้มีเหล่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างพากันคาดการณ์ว่า ในปีหน้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แม่ของนายเลือกลงทุนได้อย่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ”
เฉินฟานยิ้ม และพูด “บริษัทแม่ของผมไม่สามารถเทียบได้กับบริษัทของป้าถังเลยครับ”
เจียงไห่ซานส่ายหัว “นายดูถูกแม่ของตัวเองเกินไปแล้ว บริษัทป้าของเธอจ้างคนเพียงไม่กี่คน และมีรายได้เพียงแค่หลักแสนต่อปีเท่านั้น แล้วนี่จะไปเปรียบเทียบกับบริษัทแม่ของนายได้อย่างไรกัน?”
เฉินฟานรีบตอบกลับอย่างถ่อมตน “ผมไม่ได้ดูถูกเลยครับ แม่ของผมมีคนงานเพียงไม่กี่คนที่ทำงานภายใต้เธอ และนั่นคือทั้งหมดที่เธอมี เธอต้องทำงานระหว่างผู้รับเหมา และนักพัฒนา และจัดการกับงานเอกสารอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ตลอดเวลา มันเป็นงานที่หนักหน่วง และได้รับผลตอบแทนไม่มากนัก”
“โอ้?” เจียงไห่ซานขมวดคิ้ว
สิ่งที่เฉินฟานบอกเขาแตกต่างจากสิ่งที่เขาได้ยินจากภรรยาเป็นอย่างมาก เมื่อตัดสินจากความประทับใจแรกของเขาที่มีต่อชายหนุ่ม เจียงไห่ซานก็เชื่อว่าเฉินฟานไม่ได้โกหก ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าข่าวเกี่ยวกับแม่ของเฉินฟานที่เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้เป็นข่าวลือที่เกินจริง
คำอธิบายเกี่ยวกับบริษัทแม่ของเฉินฟานฟังดูสมจริงมากขึ้นเช่นกัน บริษัทนี้ถูกก่อตั้งโดยผู้หญิง และลูกสาวของเธอในสถานที่ที่พวกเขาไม่รู้จัก และยังไม่มีคอนเนคชั่นหรือผู้มีอิทธิพลคอยช่วยเหลือ
เมื่อเขาคิดเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียงไห่ซานก็หายไป
“ผลการเรียนของนายเป็นอย่างไรบ้าง?” เจียงไห่ซานถาม
เฉินฟานยิ้ม และพูด “ผมติดอันดับ 500 คนแรกที่เขตของผม และผมได้ยินมาว่าลูกสาวของคุณติดอันดับหนึ่งในสิบของโรงเรียน ผมคิดว่าผมอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเธอที่โรงเรียนครับ”
เมืองซี่ชุ่ยมีระดับการศึกษาที่ต่ำที่สุดของทุกเมืองภายใต้รัฐบาลเมืองชูโจว เขาไม่ติดแม้แต่สิบอันดับแรกของเขตซี่ชุ่ย ดังนั้นเฉินฟานจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าเรียนแม้แต่ในมหาวิทยาลัยเกรดสอง
คิ้วของเจียงไห่ซานขมวดลึกยิ่งขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเฉินฟาน ร่องรอยรอยยิ้มที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขาพลันหายไปอย่างสมบูรณ์
“แม่ของนายส่งนายมาที่เมืองซูโจวเพื่อศึกษาไม่ใช่เพื่อมาหาความสนุก ครอบครัวของนายเพียงแค่สามารถช่วยนายได้ไปซักพัก แต่ไม่ใช่ตลอดไป ดังนั้นหากนายต้องการที่จะประสบความสำเร็จ นายต้องพึ่งพาตัวเอง การศึกษาถือเป็นก้าวย่างสำคัญไม่ว่านายจะเรียนอยู่ในสาขาใดก็ตาม”
เฉินฟานถูกเหน็บแนมโดยการระเบิดอารมณ์อย่างฉับพลันของเจียงไห่ซาน ทันใดนั้นรอยยิ้มของเขาก็หายไป และตอบกลับ “คุณพูดถูกแล้ว ลุงเจียง”
แม้ว่าการได้รับตำแหน่งทางวิชาการระดับสูงนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของเฉินฟาน แต่เมื่อการบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้น การเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำก็เป็นเพียงแค่เค้กชิ้นหนึ่งเท่านั้น
หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดอีกสองสามคำกับเฉินฟาน เจียงไห่ซานก็รู้สึกผิดหวังเมื่อชายหนุ่มขาดความรอบรู้ และความทะเยอทะยาน เขาได้แต่ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาบอกเกี่ยวกับชายหนุ่มนั้นไม่เป็นเรื่องจริง
เขาได้พบกับลูกชายของรองนายกเทศมนตรี และรู้สึกประทับใจมากกับรูปร่างหน้าตารวมไปถึงความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ และการเมืองของเขา เฉินฟานล้มเหลวต่อความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดของเขาสำหรับการเป็นลูกเขยในอนาคตอย่างสมบูรณ์
‘ดูเหมือนว่าฉันคงต้องพูดคุย และหารือกับภรรยาซักหน่อย’ เจียงไห่ซานคร่ำครวญอยู่ภายในใจ
เขารู้ว่าภรรยาของเขาต้องการที่จะจับคู่ลูกสาวของเขากับลูกชายของเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เขาไม่ได้คัดค้านแผนการของเธอในตอนแรก แต่หลังจากพบเฉินฟานในครั้งนี้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าภรรยาของเขากำลังทำสิ่งที่ผิดพลาด
‘ลูกสาวของฉันต้องไม่ไปตกหลุมรักเขาอย่างเด็ดขาด’ เจียงไห่ซานคิด เขามั่นใจในการตัดสินของลูกสาว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พูดคุยติชม และเปลี่ยนกันได้ที่ Rebirth Of The Urban Immortal Cultivator ขอบคุณครับ
น้องสาวหรือพี่สาวกันแน่เนี่ย ถ้าเป็นน้องสาวพระเอกก็ต้องเรียนอยู่สิ น่าจะแปลว่าพี่สาวนะ
มุมมองของตัวเอกนี่ยังไง จะใช้แต่การบ่มเพาะแก้ปัญหา พลังแก้ปัญหาได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง