บทที่ 56 : อันตรายครั้งนี้มากมายใหญ่หลวงนัก!!.
"โอ้ววว ข้าน้อยขอวิงวอนบร๊ะเจ้าจอร์ชและสวรรค์ชั้นฟ้า ... ได้โปรดดลบันดาลให้ลูกช้างได้รับวิชาที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองด้วยเถิด " หลินฟ่านพยายามอธิษฐานออกมา โดยหวังว่าฟ้าดินจะเห็นใจให้วิชาที่มีประโยชน์แก่เขา
'เร้นกายา'
เมื่อหลินฟ่านอ่านคำอธิบายของวิชานี้ มันถึงกับออกอาการลิงโลดทันที
"เร้นกายา" ทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นตัวตนของผู้ใช้วิชาได้ ในระดับวิชาขั้นแรกนั้นอาจจะยังไม่ค่อยดีมากนักเพราะว่าถึงแม้จะล่องหนหายตัวไปแต่ทว่าผู้อื่นยังคงจับสัมผัสพลังงานที่แท้จริงได้...เพราะ ถึงแม้พวกมันจะปิดตาเอาไว้หรือเป็นคนตาบอดมองไม่เห็น หากเป็นผู้ฝึกตนก็ยังสามารถจับสัมผัสพลังงานที่แท้จริงได้
แต่นี่มันราวกับวิชาฟ้าประทานที่สร้างมาเพื่อหลินฟ่านโดยเฉพาะ ทำไมน่ะเหรอ อย่าลืมสิ!! มันมีระบบเทพวิชาช่วยไง!! ระบบเทพวิชาทำให้ไม่มีใครสามารถตรวจสอบระดับมันได้ รวมทั้งสามารถจับสัมผัสพลังงานมันได้ !!
สำหรับคนอื่นวิชานี้นับว่าไม่มีประโยชน์มากเท่าไร เพราะถึงพวกมันจะหายตัวได้ แต่โลกแห่งนี้สิ่งที่เรียกว่าพลังงานที่แท้จริง ...มันไม่มีทางหายไปได้อย่างถาวร ต่อให้ปิดบังซ่อนเร้นสักเท่าไรก็ย่อมไม่สามารถสกัดกั้นจากสัมผัสพลังของผู้ที่เหนือชั้นกว่าอย่างมากได้...แต่หลินฟ่าน ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้สักนิด
"ฮ้าาาาา ฮ่าฮ่าฮ่า เหล่ฮุเหร่ ฮู้เร่วั้งก้า บะๆโอ๊บะๆ แม่งเจ๋งงงงงงง" หลินฟ่านถึงกับเต้นออกมาด้วยท่า ฮาคูน่ามาทาท่า พร้อมตะโกนลั่นห้องด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด วิชานี้มันมาในตอนนี้! ตอนที่มันอยากปล้นชิงทรัพย์ชาวบ้านเขาอยู่พอดี! ตอนนี้แผนการที่มันคิดจะกระทำในเมืองราชวงศ์หยางเกริกไกรนับว่าสำเร็จไปแล้วกว่า 99.99% เมื่อได้วิชานี้เข้ามา
ตอนแรกหลินฟ่านยังคิดว่ามันคงต้องใช้เวลาเตรียมการและศึกษาที่ทางต่างๆในเมืองราชวงศ์หยางเกริกไกรแห่งนี้อีกสักพัก เพื่อดำเนินการตามแผนยกเค้า มีเท่าไรเราเอาหมด! ของมัน แต่! ตอนนี้มันไม่ต้องรออีกต่อไป!!
หลินฟ่านลองใช้วิชาเร้นกายาดูทันที ร่างกายของมันค่อยๆรางเลือนจนหายไปในที่สุด พลังงานที่แท้จริงของมันค่อยๆลงลดช้าๆ เนื่องจากตอนนี้มันมีพลังงานที่แท้จริงถึง 2,200 ทำให้มันใช้วิชาเร้นกายานี่อยู่ได้นานโข
และในขณะที่อยู่ระหว่างการใช้วิชาเร้นกายา หลินฟ่านยังสามารถหยิบจับสิ่งของได้ โดยที่สิ่งของนั้นไม่ได้ทะลุตัวมันไปแต่อย่างใด นี่ทำให้มันต้องระวังตัวนิดหน่อยเพราะอาจเผลอโดนลูกหลงหรืออันตรายระหว่างใช้วิชานี้อยู่ได้ เมื่อมันลองใช้จนพอใจ หลินฟ่านคิดว่าสมควรออกจากการเก็บตัวฝึกฝนได้แล้ว เนื่องจากมันทุ่มเทใช้เวลาเพาะปลูกอย่างยาวนานถึง 3 วัน!!.... หากคนอื่นที่เก็บตัวบ่มเพาะด้วยความสันโดษเป็นเวลา นับ ร้อย ปีเพื่อบรรลุวิชาใดวิชาหนึ่งมาได้ยินมันบ่นกับอีแค่ 3 วันกว่าจะสำเร็จ พวกมันคงเอามีดปาดคอตัวเองตายเพราะความแค้นใจ
และเมื่อมันได้รับวิชาซ่อนตัวชั้นเลิศ ตอนนี้มันจึงคิดที่จะหาหนูทดลอง ด้วยความร้อนวิชา! “เหยื่อจ๋า...หลินมามาแล้วจ๊ะ”
"แก๊งงง... แก๊งงง แก๊งงงง ... ." แต่ในขณะที่หลินฟ่านจะปฏิบัติการลอกคราบเหยื่อสักคนอยู่นั้นเอง ระฆังแจ้งเหตุในสำนักก็ดังขึ้น
นี่นับว่าเป็นการเรียกรวมพลหรือแจ้งเหตุของสำนักนภาสวรรค์ แล้วส่วนมากทุกครั้งที่ระฆังดังแบบนี้ มันมักจะมีการมาถึงของบุคคลสำคัญนั่นทำให้ทุกคนต้องออกไปรวมตัวกันเพื่อทำการต้อนรับ
หลินฟ่านนั้นพึ่งมาสำนักแห่งนี้ได้เพียงไม่กี่วันถึงมันจะเคยได้ยินคนพูดถึงระฆังนี้อยู่บ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ยินเสียงระฆังแบบนี้ด้วยหูตัวเอง มันจึงคิดออกไปชมดูว่าเป็นใครที่ใหญ่โตถึงขนาดต้องออกไปต้อนรับกันทั้งสำนักเช่นนี้
ตอนนี้หน้าทางเข้าสำนักนภาสวรรค์ผู้คนต่างไปตั้งแถวเรียงกันอย่างเรียบร้อย มีทหารองครักษ์จำนวนมากที่สวมชุดเกราะสีดำน่าเกรงขามจำนวนนับร้อยเดินนำขบวนเข้ามา
คนใหญ่คนโตในสำนักนภาสวรรค์ล้วนแห่กันออกมาเสนอหน้าอย่างเต็มที่ อีกทั้งท่าทางของพวกมันยังดูมีความสุขรอยยิ้มฉายชัดอยู่เต็มใบหน้าราวกับคนที่กำลังมาถึงสำคัญอย่างมาก
"ท่านเจ้าสำนักนี่นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่องค์จักรพรรดิและองค์ราชินีเสด็จมาเยี่ยมสำนักนภาสวรรค์ของพวกเราเองเช่นนี้" ชายชราคนหนึ่งกล่าวขึ้นกับชายชราข้างๆที่ดูแข็งแกร่งและแผ่รัศมีน่าเกรงขามออกมา
องค์จักรพรรดิหยางนั้น นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในเมืองราชวงศ์หยางเกริกไกร ระดับการบ่มเพาะของมันนับว่าบรรลุถึงขอบเขตที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก แม้กระทั่งอาวุโสของนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ยังคงทำได้เพียงสูสีกับมันเท่านั้น และไม่สามารถแสดงความหยิ่งผยองต่อหน้าของมันได้
ส่วนองค์ราชินีนั้นนับว่าเป็นสาวกที่แข็งแกร่งในสาขาของนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองนี้ อีกทั้ง นางยังเป็นผู้ดูแลสาขาของนิกายอีกด้วย นั่นทำให้เมื่อทั้งสองรวมตัวอยู่ด้วยกัน สถานะของทั้งคู่เรียกได้ว่าเหนือล้ำที่สุดแล้วในเมืองราชวงศ์หยางเกริกไกรแห่งนี้
"เอาล่ะเรื่องความปลอดภัยแน่นอนว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไรทั้งนั้น เพราะพระองค์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่พวกเราต้องไปเตรียมความพร้อมในสำนักเอาไว้ กันพวกนักเรียนโง่งมทั้งหลายไปให้พ้นเสีย อย่าให้พวกมันมาสร้างความขายหน้าหรือทำอะไรเสื่อมเสียเป็นอันขาด " หัวหน้าสำนักกล่าวออกมา
ก็ไม่มีอะไรมากความหมายของเขาก็คือ กันพวกระดับ D ไปให้พ้น อย่าให้มันเข้ามามีส่วนร่วมหรือเสนอหน้าออกมาได้เด็ดขาด
"รับทราบท่านเจ้าสำนัก"
...
หลินฟ่านที่ตีเนียนปะปนกับฝูงชนมาทั้งๆที่ตัวเองเป็นอาจารย์ระดับ D ที่ไม่สมควรออกมาเสนอหน้า มันก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อได้พบว่าแขกที่มานั้นใหญ่สุดในเมืองแห่งนี้แล้วเพราะ พวกมันคือ องค์ราชา และ ราชินี!!
นี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่!!
หลินฟ่านรู้สึกตื่นเต้นมากที่กำลังจะได้เจอองค์จักรพรรดิหยางที่เป็นราชาของเมืองราชวงศ์หยางเกริกไกรแห่งนี้พร้อมกับราชินี
"พระองค์ท่านเสด็จแล้ว" มีเสียงตะโกนกล่าวขึ้น
หลินฟ่านที่อยากรู้อยากเห็นมันถึงกับต้องเขย่งดู
เมื่อหลินฟ่านได้เห็นพวกเขา มันถึงกับอุทานออกมาด้วยความทึ่ง "เชี่ย ขบวนเฮียเค้าอย่างอลังอะ เจ๋งโคตร"
ทหารเกราะทองราวกับชุดรบโกลด์เซ้นต์??? ขี่อยู่บนหลังของมอนสเตอร์ที่หลินฟ่านไม่รู้จัก ส่วนเหล่าทหารองค์รักษ์นั้นเดินล้อมรอบ เกี้ยวรูปมังกร!! ขนาดใหญ่ที่ประดับประดาไว้ด้วยอัญมณีที่ดูเลอค่างดงามอย่างถึงที่สุด ที่สำคัญเกี้ยวนี้ยังถูกลากด้วย ยูนิคอร์นถึง 6 ตัว ..ยามเมื่อเกี้ยวมังกรต้องแสงอาทิตย์ ประกายวาววับจากอัญมณีนั้นส่องสว่างจนแทบจะทำให้ตาหลินฟ่านแทบบอด
"หยูดดดด" เสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศ
ยูนิคอร์นทั้ง 6 ตัวที่ลากเกี้ยวมังกรอยู่ถึงกับหยุดนิ่งก่อนที่จะพ่นเปลวเพลิงออกมาจากจมูก
หลินฟ่านถึงกับตกตะลึงเมื่อมองไปยังสัตว์อสูรพวกนั้น
มันน่าตกตะลึงมากเกินไป แค่สัตว์อสูรลากเกี้ยวยังมีระดับบ่มเพาะถึง ระดับก่อเกิดขั้นที่ 6
"ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ต้อนรับการมาเยือนขององค์จักรพรรดิและองค์ราชินี" เจ้าสำนักนภาสวรรค์คุกเข่าก่อนโค้งคำนับจักรพรรดิอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วหลังจากนั้นทุกคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็คุกเข่าโค้งคำนักตามกันเป็นทอดๆ
หลินฟ่านถึงกับเหวอไปเมื่อเห็นทุกคนคุกเข่ากันหมด หากเขาไม่คุกเข่าลงด้วย ก็จะกลายเป็นเขายืนหัวโด่อยู่คนเดียว รับรองเด่นสุดจนมีเรื่องแน่ๆ
แต่หลินฟ่านมันมาจากยุคโลกาภิวัตน์ จะให้มันคุกเข่าอะไรแบบนี้ฝันไปเถอะ จ้าง ล้านนึงมันยังไม่ยอมเลย แต่ถ้า 10 ล้านก็ไม่แน่!! แต่ว่ามันก็นึกขึ้นได้ว่าหากมันนั่งยองๆลงไปแล้วก้มหน้าลง คนที่มองจากที่ไกลๆ ก็คงเห็นมันไม่แตกต่างจากคนที่คุกเข่าสักเท่าไร หลินฟ่านจึงเลือกที่จะนั่งยองๆแล้วก้มหน้าหลบแดดทันที
ในขณะที่หลินฟ่านทำท่านั่งยองๆแล้วก้มหัวอยู่นั้น คนข้างๆก็ส่งสายตารังเกียจมาที่มัน มันก็ได้แต่มองกลับไปด้วยสายตาท้าทาย "มองไร เก๋าหรือกระพง?"
คนที่ถูกหลินฟ่านจ้องอย่างเอาเรื่องและกล่าวออกมามันถึงกับเหวอไป ก่อนที่จะทำความเคารพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองต่อไปโดยไม่สนใจมันอีก
หลินฟ่านนั้นมองพวกมันด้วยสายตารังเกียจดูเหมือนพวกนี้จะชินกับการคุกเข่าไม่ต่างอะไรจากพวกทาสสักนิด...น่าขยะแขยง ..ด้วยความรังเกียจอย่างมากหลินฟ่านจึงเผลอปล่อยลมที่รุนแรงแทรกผ่านเหลืองทองในทวารหนักออกมาส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว...ทำไงได้มันเก็บตัวบ่มเพาะมาหลายวันแล้วด้วย แล้วให้มานั่งยองๆ มันก็นะ ธรรมดา!
เมื่อเห็นคนรอบข้างลุกขึ้นหลินฟ่านก็รีบลุกขึ้นด้วยเช่นกัน ถึงจะมีคนข้างๆของมันล้มลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทราบสาเหตุแต่มันก็ไม่คิดที่จะสนใจ
ตอนนี้หลินฟ่านอยากรู้อยากเห็นอย่างมากว่า จักรพรรดิและราชินีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
หลังจากนั้นหลินฟ่านก็จับตาดู เท้าที่ค่อยๆก้าวออกมาจากเกี้ยวมังกรอย่างใจจดใจจ่อ
ชุดคลุมมังกรสีเหลืองอร่าม บรรยากาศที่แผ่ออกมากดดันจนแทบหายใจไม่ออก สายตาที่คมกล้าดังจะมองทะลุทุกสรรพสิ่งบนโลก ... เพียงแค่เหลียวมองอาจจะทำให้ผู้ที่ถูกสบตานั้นยินยอมสยบอยู่แทบเท้าได้ แค่เพียงตัวตนที่ดูสูงส่งผู้ที่พบเห็นก็ต้องทำการหมอบกราบด้วยความสมัครใจ
หลินฟ่านเองยังรู้สึกตกใจที่ได้เห็น...
ระดับ สู่สวรรค์อมตะ ขั้นที่ 7 !!!
‘แม่จ้าวววววววว โหดดดโคตร’ นี่นับว่าเป็นระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดในโลกนี้ที่หลินฟ่านเคยมองเห็น แม่แต่โม่อี้ซวนและหนี่หมันเทียงเองก็เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ...
ต่างชั้นกันมากเกินไป
หลังจากที่จักรพรรดิได้ก้าวเท้าลงจากเกี้ยวแล้ว ร่างสตรีที่สูงศักดิ์คนหนึ่งก็ก้าวออกมา
สตรีที่ดูราวกับจะสยบโลกไว้ใต้ฝ่าเท้านางได้
ความงดงามสูงศักดิ์ที่น่ามหัศจรรย์
หากให้หลินฟ่านเปรียบเทียบนางกับสตรีทั่วไป ก็..คงราวกับฟินิกซ์ในหมู่นกกา
ระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 8!
"องค์จักรพรรดิ องค์ราชินี" เจ้าสำนักนภาสวรรค์เดินมาคุกเข่าอีกครั้งตรงหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเพื่อทำความเคารพอีกครั้ง ราวกับว่ามันรู้สึกยินดีอย่างมากที่มีโอกาสได้แสดงความเคารพเช่นนี้
"อืม" องค์จักรพรรดิเพียงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ทว่ากลิ่นอายและแรงกดดันของมันนั้นมากมายมหาศาลนัก หลินฟ่านคิดว่าหากมันยืนอยู่ใกล้ๆมันก็คงต้องทรุดลงไปคุกเข่าอย่างแน่นอน
"นับว่าเป็นเกียรติยศของสำนักนภาสวรรค์อย่างถึงที่สุด ที่ทั้งสองท่านเสด็จมาเยี่ยมเยียนสำนักเล็กๆพวกเราเช่นนี้" เจ้าสำนักเมื่อคุกเข่าทำความเคารพเสร็จแล้วมันก็คลานเข่าหลบออกไปด้านข้างราวกับกลัวจะขวางทางของจักรพรรดิ
ในขณะที่จักรพรรดิหยางเดินนั้น ความกดดันมากมายได้แผ่ทะลักออกมา คนที่ยืนอยู่รีบทำการก้มตัวลงทำความเคารพทันที
แต่...หลินฟ่านที่หลบแดดอยู่ด้านหลังชายร่างใหญ่คนหนึ่งจับจ้องไปยังบางอย่างที่เปล่งประกายอยู่บนนิ้วมือของจักรพรรดิและราชินีได้สนใจจะทำความเคารพอะไรกับเขาเลย
‘เฮ่ย!! ทำไมมันแหวนมันฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งขนาดนั้นฟะ?’ วงแหวนมิติบนนิ้วมือทั้งสองนั้นเปล่งประกายงดงามดูเลอค่า อีกทั้งขนาดของพวกมันก็ใหญ่โตและดูมีราศีมากกว่าที่หลินฟ่านมีอยู่อย่างมาก
เมื่อนึกถึงแหวนมิติหลินฟ่านก็คิดอะไรเล็กน้อย พวก 4 ตระกูลใหญ่ในเมือง มันนาจะเก็บสมบัติไว้ในแหวนมิติ หรือห้องเก็บสมบัติประจำตระกูลกันนะ หากเป็นมันจะเก็บไว้ที่ไหนดี แล้วสมบัติที่มีค่ามากๆคนเราจะเอาติดตัวไว้ไหมหากมีแหวนมิติ หรือจะเอาไว้ในห้องเก็บสมบัติ?
ส่วนจักรพรรดิและราชินีนั้นหากพวกมันทั้งคู่สวมแหวนมิติเช่นนี้ ก็สามารถเดาได้เลยว่าพวกมันต้องมีของมีค่าอย่างมาก เพราะพวกมันนับว่ามีสถานะสูงที่สุดในเมืองแห่งนี้แล้ว!!
ปล้นหรือไม่ปล้น!!
หลินฟ่านลังเลอย่างมากในตอนนี้ หน้ามันบิดเบี้ยวไปมาสลับกับเผยอยิ้ม
‘เชี่ย...ไงดีวะ มันน่าจะได้น้า... หายตัวเข้าไปใกล้ๆ เอาอิฐ ชิตังเมโป้ง กลางกบาลมัน แค่นี้ รวยยยย!! แค่นี้เอง จิ๊บๆ ชิลๆ ....ถ้าโดนจับได้ล่ะ โอ๊ยยย เอาไงดีวะ สึดเอ๊ยยย ...!!’
หลินฟ่านได้วางแผนชั่วเรียบร้อยแล้ว แต่มันลังเลอยู่ว่าจะจัดหรือไม่จัดดี
เพราะอันตรายและความเสี่ยงครังนี้มันสูงลิบลิ่ว!!