บทที่ 64 : เค้าลางแห่งความวุ่นวาย
เซี่ยวซื่ออยากตะโกนออกมาว่า ‘ข้าไม่มีวันสำนึกผิด’ แต่ด้วยอะไรบางอย่างในอกของเขา มวลความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมามันสะกดไม่ให้เขาทำแบบนั้นออกมาได้ เรื่องนี้มันก็คล้ายกับอิสตรีเวลางอนผู้แล้วกล่าวคำตัดพ้อออกมาว่า เลิกกันเถอะ! ไปให้พ้น! ...สุดท้ายเมื่อผู้ชายคนนั้นเดินจากไป หรือยอมรับคำบอกเลิก กลับเป็นนางที่ร้องห่มร้องไห้จะขาดใจตายเสียเอง...
ตอนนี้เซี่ยวซื่อก็จมไปด้วยความรู้สึกแบบนี้
"ข้าผิดไปแล้ว…"
เสียงที่แหบแห้งราวกับคนหมดแรงแว่วออกมาจากปากเซี่ยวซื่อ แม้เสียงมันจะเบาแต่ทว่าด้วยโสตการรับฟังของผู้ฝึกตน พวกมันย่อมได้ยินคำนี้ชัดเจน เหล่าศิษย์ทั้งหลายแสดงใบหน้าและแววตาที่ตกตะลึงออกมา ราวกับมันเห็นหิมะตกกลางแจ้งแดดแรงกล้าอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยวซื่อ 1 ใน 13 อัจฉริยะไร้พ่ายของระดับ A กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้อาจารย์ระดับ D ผู้หนึ่งออกมา มิหนำซ้ำมันยังพ่ายแพ้โดยที่ไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย
เซี่ยวซื่อที่หยิ่งทะนงโอ้อวดและยโสโอหังในใจของพวกมันกลับกลายเป็นคนอ่อนแอหมดสภาพคนหนึ่งในตอนนี้...
นี่ ... นี่มัน ... พวกเขาไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรออกมา
หลินฟ่านยิ้มแป้นพยักหน้าออกมาด้วยความพอใจ ภายใต้การอบรมด้วยไม้เรียวแห่งความรัก สุดท้าย เด็กดื้อคนนี้ก็ยอมรับผิดเสียที เรื่องนี้มันดีต่อใจเขามาก
ดัชนีปลิดบุปผานี่นับว่าเป็นวิชาดัชนีที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง มันสามารถสกัดจุด ระงับเส้นพลังไม่ให้ศัตรูที่มีระดับพลังอ่อนกว่าสามารถตอบโต้ได้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังสามารถถอดกระดูกได้ตามใจชอบโดยที่ผู้ถูกกระทำจะไม่รู้สึกเจ็บปวด หากเจ้าของวิชาไม่ต้องการให้มันทรมาน
หลินฟ่านใช้ ดัชนีปลิดบุปผาอีกครั้ง เพื่อแก้ไขสิ่งที่มันกระทำไว้ก่อนหน้า ตอนนี้เซี่ยวซื่อจึงสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกครั้งหนึ่ง
สิ่งแรกที่เซี่ยวซื่อทำคือรีบดึงกางเกงขึ้นมา เพราะตอนนี้หนอนน้อยของมันออกมาผจญโลกกว้างนานแล้ว
"เอาล่ะ เพียงแค่สำนึกผิดรู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ ก็ยังไม่สายที่จะกลับตัวกลับใจ จากนี้ก็พยายามทำเรื่องที่ถูกต้อง อย่าได้กระทำผิดซ้ำเดิมเสียล่ะ" หลินฟ่านกล่าวออกมาพร้อมถอนหายใจเขารู้สึกว่าภาระนี้หนักหนานัก เพื่อนำลูกแกะน้อยที่หลงทางให้กลับมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายเขามาก... และหากเขาทำสำเร็จนี่นับว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่นัก
หากไม่มีอะไรที่ต้องไปทำ หลินฟ่านก็ชักติดใจและอยากเป็นอาจารย์แบบนี้ตลอดไป...ส่วนเซียนขี่กระบี่บินใส่ชุดขาวโบกสะบัด หน้าตาเข่งขรึมมาดเท่ห์ อย่างที่ใฝ่ฝันไว้นั้น เอาไว้ก่อนก็ได้...
"ท่านผู้อาวุโสระวัง" แต่ทันใดนั้นเอง ฮั่นเมิ่งเมิ่งกลับตะโกนร้องออกมา
เมื่อเซี่ยวซื่อฟื้นตัวมันรวบรวมพลังงานที่แท้จริงทั้งหมดก่อนที่จะพุ่งร่างเข้ามาราวภูตผีซัดหมัดไปยังกลางหลังหลินฟ่านอย่างรุนแรง ด้วยใบหนาที่บิดเบี้ยวราวกับคนสำนึกผิดและไม่ต้องการทำอย่างนี้
เพราะสำหรับเซี่ยวซื่อแล้ว ความอัปยศอดสูนั้นมันยังคงเหลืออยู่ ถึงจะย้อนแย้งกับความสำนึกผิด แต่มันเลือกที่จะปลดปล่อยความอัปยศออกมา
ขนาดง้าวสะท้านสวรรค์ของมันยังไม่สามารถสร้างแม้แต่รอยขีดข่วนให้กับหลินฟ่านได้ หมัดของมันก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ตัวเซี่ยวซื่อย่อมรู้ดี แต่มันยังเลือกที่จะซัดหมัดนี้มาเพื่อระบาย
"ปัง ..."
หลินฟ่านที่ยังจมอยู่กับความรู้สึกดีใจที่ทำหน้าที่อาจารย์สำเร็จมันเดินหัวเราะออกมา ทันทีที่มันรู้สึกโดนซัดมันก็พูดไม่ออกและรู้สึกเซ็งจิต
หลินฟ่านหันศีรษะไปมองเซี่ยวซื่อก่อนที่จะกล่าวออกมา "ดูเหมือนบทเรียนครั้งนี้ยังไม่ได้สลักลงไปในใจของเจ้า"
เซี่ยวซื่อได้แต่มองหลินฟ่านด้วยสายตาราวกับเด็กน้อยถูกจับได้ว่าแอบขโมยขนมกิน มันกัดฟันดังกรอดๆก่อนที่มันจะวิ่งหายไป เหล่าศิษย์ก็ต่างหลีกทางให้มัน แล้วก็หันมามองหลินฟ่าน ตอนแรกพวกมันไม่คิดจะแยแสอาจารย์คนนี้สักนิดแต่ตอนนี้พวกมันไม่กล้ากล่าวว่าอะไรมัน... ส่วนเซี่ยวซื่อก็ไม่มีใครคิดจะเยาะเย้ยมัน
เพราะถึงแม้เซี่ยวซื่อจะไม่ใช่คู่ต่อสู้อาจารย์ผู้นี้และถูกจัดการได้อย่างราบคาบ แต่กับพวกมันเซี่ยวซื่อขยี้พวกมันได้ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับมด
"ท่านผู้อาวุโสท่านแข็งแกร่งยิ่งนัก" ฮั่นเมิ่งเมิ่งวิ่งมาก่อนที่จะร้องตะโกน ตอนนี้เธอรู้สึกทึ่งกับผลงานของผู้อาวุโส
"เรื่องราวระหว่างเจ้ากับเซี่ยวซื่อมันเป็นมายังไงรึ ไหนบอกหมอ..เอ๊ย! บอกข้ามาซิ?" หลินฟ่านถามออกมา
ฮั่นเมิ่งเมิ่งที่ได้ยินคำถามก็รู้สึกสลดและท้อแท้เล็กน้อย ก่อนที่นางจะเล่าเรื่องทุกอย่างออกมา
เมื่อได้ฟังหลินฟ่านก็เข้าใจทันที ‘โอ๊ยยย พลอตนิยายน้ำเน่า สมัยเรายังเด็กแท้ๆ อืม..ก็ไม่แปลกที่ยุคนี้ยังมีคลุมถุงชนกันอยู่’
ฮั่นเมิ่งเมิ่งมาจากตระกูลฮั่น ส่วนเซี่ยวซื่อมาจากตระกูลเซี่ยว ทั้งสองตระกูลต้องการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกัน พวกมันเลยเลือกที่จะส่งบุตรที่โดดเด่นออกมาแต่งงานกัน
ในแผ่นดินนี้สำหรับตระกูลใหญ่ๆ มักจะใช้วิธีแบบนี้ ถึงสตรีจะไม่ยินยอมแต่ก็ไร้ประโยชน์ที่จะขัดขืนเพราะไม่มีใครคิดจะฟังเสียงของสตรี
เมื่อเซี่ยวซื่อได้ยินข่าวเรื่องนี้มัน ก็ไม่ได้คิดจะแยแสอะไรทว่ามันก็ไม่ได้คิดขัดความต้องการของครอบครัว มันก็คิดจะแต่งงานตามกำหนด
เนื่องจากเซี่ยวซื่อทราบว่ามันต้องแต่งงานกับใครมันก็เลยตามมาดู และเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของสองตระกูล เมื่อมันมาเห็นว่าที่คู่หมั้นกำลังเดินอยู่กับชายอื่นแถมชายคนนั้นในสายตามันก็เป็นแค่ขยะ จะให้มันทำอย่างไรล่ะ
ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จึงเกิดขึ้น
หลินฟ่านไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก นี่คือปัญหาของครอบครัวอื่นๆอย่างแท้จริง เอาง่ายๆ ก็เรื่องชาวบ้านชาวช่องเขานั้นล่ะ และเขาก็เป็นคนนอกดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะไม่เข้าไปก้าวก่าย
เขาวางแผนที่จะปล้นและรีดทรัพย์ของตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ดังนั้นเขาจึงไม่มีมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้
"เรื่องนี้เจ้าต้องหาทางแก้ไขด้วยตัวเจ้าเอง ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวอะไรได้ เอาล่ะข้าขอตัวก่อน" หลินฟ่านกล่าวลาเสร็จก็รีบเดินออกมา ตอนนี้มันปวดขี้หนักมาก...ใช่แล้วมันปวดขี้ มันเคยอ่านนิยายมาหลายเรื่องแต่มันกลับไม่เคยเจอเรื่องที่ตัวเอกปวดขี้เลยแม้แต่น้อย มันเคยสงสัยอยู่เหมือนกัน หากกำลังต่อสู้เป็นตาย แล้วเกิดปวดขี้ จอมยุทธ์ทั้งหลายจะทำเยี่ยงไร....
ฮั่นเมิ่งเมิ่งและ ซั่งหัวเทียนเฝ้ามองร่างหลินฟ่านที่เดินจากไป ทั้งคู่ได้แต่กำมือขึ้นมา
เรื่องราววันนี้ทำให้ซั่งหัวเทียนรู้ว่า มันนั้นไร้อำนาจแค่ไหนและมันไม่สามารถทำอะไรเซี่ยวซื่อได้แม้แต่น้อย
'ต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ให้ได้ ... '
เกิดแรงกระตุ้นบางอย่างขึ้นมาภายในหัวใจของซั่งหัวเทียน และนี่เป็นครั้งแรกที่มันปรารถนาในความแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้
"ข้าจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ผู้อาวุโส" ซั่งหัวเทียนกล่าวออกมาราวกับติดสินใจได้แล้ว
"เอ๋?" ฮั่นเมิ่งเมิ่งพลันตะลึงค้าง “พี่ซั่ง อาวุโสเป็นอาจารย์ระดับ D หากท่านอยากเป็นศิษย์เขา ท่านก็จะเป็นเพียงลูกศิษย์ระดับ D เท่านั้น พี่จะไม่ได้ผลประโยชน์และเม็ดยาของระดับ B ท่านคิดดีแล้วหรือ?”
"ข้าไม่สนว่าจะเป็นแค่ศิษย์ระดับ D หรืออะไร ข้ารู้แค่ผู้อาวุโสคือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง หากข้าพลาดโอกาสนี้ไป เกรงว่าวันหนึ่งข้าจะไม่มีกำลังพอที่จะอยู่กับเจ้า ข้าไม่อยากเสียเจ้าไป" ซั่งหัวเทียนกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
...
หลังจากที่ปลดปล่อยระเบิดชีวภาพเสร็จสิ้น หลินฟ่านก็เดินออกจากโรงเรียนมายังย่านการค้า
มันซื้อเหล็กไป 13 ชิ้น เพื่อเตรียมไว้สร้างอาวุธระดับกลางให้แก่เหล่าศิษย์ทั้ง 13 คนของเขา
สำหรับศิษย์ทั้ง 13 คนนั้นหลินฟ่านไม่คิดที่จะให้อาวุธระดับดีกับพวกมันมากนัก เพราะพวกมันเป็นแค่นักเรียนระดับ D เท่านั้น นอกจากนี้เขาไม่ได้วางแผนจะอยู่สำนักหรือเมืองราชวงศ์หยางเกริกไกรนี้อีกนานสักเท่าไร เมื่อเขาไปแล้วพวกมันอาจจะถูกปล้นชิงอาวุธได้
เมื่อหลินฟ่านซื้อของเสร็จแล้วมันก็เดินเล่นไปรอบๆ
"หลีกทาง หลีกทาง"
มีเสียงดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ หลังจากนั้นผู้คนก็ทยอยหลบออกจากเส้นทางหลินฟ่านก็เช่นกัน ก่อนที่เขาจะเห็นขบวนๆหนึ่งเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
"พวกมันเป็นใครกัน ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรสำคัญสักอย่าง" หลินฟ่านนั้นเป็นคนขี้สงสัยอย่างมาก เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของพวกมัน หลินฟ่านก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนหอการค้า สวรรค์บนดิน กำลังจะขายสมบัติระดับสูงบางอย่าง”
"นั่นดูนั่น สัญลักษณ์ของตระกูลหยุน พวกมันก็มาด้วยหรือ"
"เมื่อวานข้าก็เห็นขบวนที่ยิ่งใหญ่ ของนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนพวกมันจะนำสิ่งมีค่าอะไรบางอย่างมาจัดประมูล"
...
หลินฟ่านที่ยืนนิ่งเงี่ยหูฟังข่าวซุบซิบอยู่รอบๆถึงกับสนใจขึ้นมาทันที นิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์ส่งขบวนมาเลยงั้นเหรอ สมบัติอะไรมีค่าขนาดนี้ถึงกับนิกายต้องส่งคนมาเป็นขบวน?
ตอนนี้หลินฟ่านคิดถึงเรื่องที่มันจะทำขึ้นมาได้สองอย่าง 1. คือไปหาคนของนิกายปีศาจศักดิ์สิทธิ์และพูดคุยเรื่องแผนการร้ายของ จักรพรรดิหยาง 2.ไปดูชมสมบัติที่ว่านั่นสักหน่อย
"พี่ชายสุดหล่อท่านนี้ เมื่อครู่ท่านพูดถึงนิกายปีศาจศักดิสิทธิ์ ท่านรู้ป่ะว่าพวกมันพักที่ไหนงั้นเหรอ?" หลินฟ่านถามออกมา
"โอ้วน้องชายเจ้าตาถึงมิเบากลับเห็นความหล่อเหลาภายใต้หนวดเคราของข้าได้ โฮ่โฮ่โฮ่ น้องชายส่วนคำถามของเจ้านั้นผู้ใดก็ตอบได้ ที่เมืองแห่งนี้มีสาขาของนิกายปีศาจศักดิสิทธิ์อยู่ พวกมันแน่นอนย่อมไปพักที่นั่น โฮ่โฮ่" ชายที่เต็มไปด้วยหนวดเคราหัวเราะ ก่อนที่จะชี้ไปยัง พระราชวังหยาง ที่เป็นที่ตั้งนิกายสาขา
หลินฟ่านรู้สึกไม่สบอารมณ์กับข่าวนี้นัก ที่พระราชวังหยางมี จักรพรรดิและราชินีที่แข็งแกร่งอาศัยอยู่ หากเขาไปแล้วเกิดอะไรผิดพลาดพวกมันจับได้ขึ้นมา เขาต้องตายหยังเขียดแน่ๆ
หลินฟ่านจึงได้แต่ส่ายหน้าก่อนที่มันจะเลือกไปยังหอการค้า สวรรค์บนดิน ว่าพวกมันเอาสมบัติล้ำค่าอะไรมาประมูลกันแน่ หากดีจริง ถ้ามีโอกาสมันต้องขอรับไปด้วยความเต็มใจ