CF:บทที่ 12 กลายเป็นคนโง่
เช้าวันต่อมา อากาศข้างนอกดีมาก มีเมฆสีขาวกำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าสีน้ำเงิน
อู๋ ฮ่าวเหรินแบกกระเป๋าโทรมๆ ที่ข้างในใส่หยกมูลค่ามหาศาลเอาไว้และเดินตรงออกไปข้างนอก
ในวันที่สองของปีใหม่ แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่เยอะนัก แต่ก็มีคนมาเดินเล่นที่นี่อยู่บ้าง ดังนั้นในย่านการค้าพวกร้านขายของกินเล็กๆจึงเปิดให้บริการแล้ว
อู๋ ฮ่าวเหรินเดินเข้าไปในร้านซาลาเปาพร้อมกับกระเป๋าบนหลังของเขาแล้วตะโกนขึ้นว่า “เถ้าแก่ ขอซาลาเปาสักเข่ง แล้วก็ซุปไข่สักถ้วย เพิ่มผักดองในซุปไข่ด้วย!”
“ได้เลย นายไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวฉันจัดให้”
เถ้าแก่เป็นลุงอายุประมาณห้าสิบ เขาดูแลเรื่องการนึ่งซาลาเปา ส่วนภรรยาของเถ้าแก่ดูแลเรื่องการทำซุปไข่ให้ลูกค้า อู๋ ฮ่าวเหรินสังเกตว่ามีผู้หญิงอีกคนที่น่าจะเป็นลูกเถ้าแก่อยู่ด้วย
ร้านนี้ไม่ค่อยใหญ่มากนัก แต่กิจการเป็นไปได้ดีมาก ก่อนหน้านี้อู๋ ฮ่าวเหรินคิดว่าคนที่ไปเรียนมหาลัยสู้คนที่ขายซาลาเปานึ่งพวกนี้ไม่ได้หรอก พวกเขาเป็นเจ้านายตัวเองดีกว่าไปทำงานให้คนอื่น
การได้กินซาลาเปาร้อนๆ ดื่มซุปไข่อร่อยๆ กินผักดองนั้นเป็นความสุขและยังเป็นเจตคติของชีวิตด้วย
ขณะที่อู๋ ฮ่าวเหรินกำลังเพลิดเพลินไปกับอาหารเช้า ผู้คนเป็นโหลก็รวมตัวกันหน้าร้านเครื่องประดับในย่านการค้า
คนพวกนี้จ้องนักท่องเที่ยวรอบๆพวกเขา เหมือนกับโจรที่กำลังมองหาเหยื่อ และพวกเขาเหมือนจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ
หลังจากมาถึงที่นี่ในเวลาห้าโมงเช้า พี่หลีเปิดประตูร้านมาเห็นคนพวกนี้อยู่หน้าประตู สีหน้าเธอยังไม่ค่อยดีนัก และเรียกผู้จัดการ
แปดโมงกว่าๆ นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้น จำนวนคนที่มาร้านเครื่องประดับก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก็มีภาพแปลกๆ ที่หน้าร้านเครื่องประดับวันนี้ ตราบใดที่เห็นนักท่องเที่ยวเดินเข้าร้านมา กลุ่มผู้ชายใส่สูทจะเข้ามาล้อมแล้วถามว่ามีหยกมาขายหรือเปล่า
นักท่องเที่ยวคิดว่ามันมีกิจกรรมอะไรจัดขึ้นที่ร้านนี้หรือเปล่า
ผู้จัดการยืนอยู่ในห้องโถงของร้านเครื่องประดับ มองดูกลุ่มผู้คนข้างนอก อย่างจนปัญญา
พวกเขาไม่ได้เข้ามาในร้านเพื่อก่อปัญหา พวกเขาแค่ถามนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาว่ามีหยกหรือไม่ เขาจะทำอะไรเพื่อหยุดคนพวกนี้ได้บ้าง
อีกอย่าง คนพวกนี้หลายคนมาจากบริษัทชื่อดัง และเขาคงไม่ที่กล้าจะไล่พวกเขาไป
“ท่านประธาน ท่านไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองหรอกครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ผมจะจัดการเอง”
หลังจากวางสาย สีหน้าผู้จัดการก็แย่ลงกว่าเดิม เขาไม่คาดเลยว่าประธานของคณะกรรมการจะมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ตอนนี้ ปัญหาของเขาคือ เขาต้องเชิญตัวแทนจากบริษัทอื่นที่อยู่ข้างนอกมา ต่อให้เขาไม่ได้หยกมาเขาก็ยังโฆษณาบริษัทแบบฟรีๆได้
อู๋ ฮ่าวเหรินไม่รู้เลยว่าวิดิโอของเขา คำพูดของเขาจะดึงดูดกลุ่มคนในวงการอุตสาหกรรมเพชรพลอยที่กระหายเลือดเช่นนี้
ขณะที่เดินอยู่กลางศาลาเก่าแก่ มองดูสิ่งก่อสร้างง่ายๆพวกนี้นี้แล้วอู๋ ฮ่าวเหรินคิดในหัวว่าถ้าเขาห่อบ้านพวกนี้ใส่ลงไปในซองแดง เขาจะได้เหรียญพลังงานเยอะขนาดไหน?
แน่นอนว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงคิดเท่านั้น ไม่ว่าจะเพราะระดับของระบบซองแดงของเขาหรือผลที่จะตามมาถ้าเขาทำมัน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำเช่นนั้น
ระหว่างมองวิวระหว่างทางไป อู่ ฮ่าวเหรินก็ไม่ได้ว่าง กลุ่มซองแดงกำลังยุ่งมากๆและมีคนมาใหม่อีกสองคน
หนึ่งในผู้ที่มาใหม่นั้น มีชื่อว่าพ่อค้าอาวุธ ผู้ที่เล็งจะใช้เทียนยูกรุ๊ปในการหาเงิน เป็นนักธุรกิจมืออาชีพ
“โอ้ ทุกคน พ่อค้าอาวุธที่ได้รับการรับรองเข้ามาล่ะ พี่ชาย บริษัทนายขายอาวุธแบบไหนล่ะ? มาที่กลุ่มระดับแรกของเราได้ยังไง?”
“ฮ่าๆ มาที่นี่ได้ยังไงหรอ? ก็แค่เพิ่งได้การรับรองอย่างเป็นทางการเพราะปัญหาการอนุญาติน่ะ แล้วเราก็สามารถเริ่มได้จากระดับล่างสุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราจะได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในภายหลัง” พ่อค้าอาวุธกล่าวอย่างสุภาพ
“ฟังที่นายพูดมาแล้วก็อยากจะช่วยอยู่หรอก แต่มันมีกฎของระบบซองแดงนี่อยู่น่ะสิ นายอยู่ในกลุ่มระดับล่าง เหมือนว่านายจะไม่สามารถขายอาวุธใดๆได้”
พ่อค้าอาวุธก็รู้ถึงข้อจำกัดของกลุ่มชั้นแรกอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะดูงุ่มง่ามไปหน่อยแต่เขายังพูดว่า”ถึงมันจะมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง แต่ฉันยังมีของที่เกี่ยวข้องกับอาวุธอยู่ ซึ่งมันสามารถส่งได้ นายสามารถดูคำอธิบายที่สินค้าของฉันได้”
แล้วเขาก็ส่งซองแปลกๆมา ซองแบบนี้ เฉพาะพ่อค้าที่ได้รับการรับรองเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ส่งมาได้
“มีดทำครัวความถี่สูง เครื่องปั่นระดับอนุภาค ไฟฉายรุ่นสว่างสุดๆ กระเป๋ายุทธวิธี เสื้อผ้ายุทธวิธี เครื่องตรวงจับอเนกประสงค์ ชุดอุปกรณ์ตรวจจับ...”
“มันก็มีอยู่หลายอย่าง แต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถใช้ของพวกนี้ได้นะ”
“อย่างอื่นอาจจะใช้ไม่ได้ แต่มีดความถี่สูงนี่ ฉันคิดว่านายสามารถซื้อได้เลย ใบมีดของมันเป็นแบบเดียวกับมีดสำหรับต่อสู้ แม้ว่าระบบส่วนใหญ่จะถูกตัดออกไป แต่ความคมยังเกินกว่าที่นายจะจินตนาการได้ ตัดเพชรได้อย่างกับของเล่น และฉันก็มีมีดทำครัวนี่ในมือ...”
อู๋ ฮ่าวเหรินพูดไม่ออก เขาพูดไม่ออกจริงๆ ผู้ชายคนนั้นอธิบายมีดทำครัวอย่างกับปืนหลักของเรือรบ เหมือนกับว่าถ้าใช้มีดทำครัวนั่น จะสามารถผ่ายานรบอวกาศได้
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นราคาและคำอธิบายแล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินก็ซื้อมีดนั่นมาอย่างไม่ลังเล สิ่งนี้มันเจ๋งมากๆในยุคของเขา
แม้ว่าเขาคงไม่ใช้มีดทำครัวนี่เพื่อครองโลกแน่ๆ แต่มันก็จะไม่มีปัญหาในการตัดหินหรือต้นไม้ด้วยมีดนี้ ในมุมมองเขาราคาเพียง 5 เหรียญพลังงานเป็นอะไรที่คุ้มมาก
และเขาคงเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่คิดแบบนี้ ดังนั้นเมื่อเขาซื้อมีดทำครัวมา พ่อค้าอาวุธก็ขอบคุณเขา
“พี่พ่อค้าของเก่าแปลกคนจริงๆ”
“ใช่ คราวที่แล้วเขาซื้อหิน คราวนี้เขาซื้อมีดทำครัว ถ้าพี่ชายอยู่ที่นี่จริงๆ ฉันคงขอเขาเป็นเพื่อนแล้ว”
อู๋ ฮ่าวเหรินพูดไม่ออก เขาควรจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ พวกเขาบอกว่าคนอื่นโง่เพียงเพราะว่าพวกเขามีเงินเยอะกว่า บางทีในสายตาคนพวกนี้เขาคงเป็นคนโง่จริงๆ
มีดความถี่สูงที่ซื้อมามีประโยชน์กับอู๋ ฮ่าวเหรินอย่างแน่นอน เพราะหยกก้อนนั้นไม่สามารถจะใช้ค้อนทุบไปตลอดได้ ด้วยมีดนี่มันจะง่ายขึ้นมากในการตัดหยก
ยิ่งกว่านั้นตราบใดที่มีดนี่ไม่ได้เปิดเครื่อง มันจะเห็นเป็นเพียงด้ามจับเท่านั้น ไม่ใช่อาวุธสังหารอะไร เฉพาะเวลาเปิดเครื่องเท่านั้นที่จะมีคลื่นพลังงานความถี่สูงออกซึ่งใช้ตัดสิ่งของ
ถ้าจะพูดให้ถูก มันเป็นแค่ใบมีดอย่างง่ายๆเท่านั้น แต่ความง่ายๆนั่นมันทรงพลังเกินไป มันดูเป็นแค่มีดทำครัว ไม่มีอำนาจสังหารใดๆ
แต่ที่นี่อู๋ ฮ่าวเหรินมั่นใจเลยว่าถ้าเขาพกสิ่งนี้เขาก็สามารถฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย
สำหรับของอย่างอื่นอู๋ ฮ่าวเหรินก็อยากจะซื้อมันอยู่ แต่เขาทำไม่ได้ แค่ซื้อมีดทำครัวนี่ก็แปลกพอแล้ว ถ้าเขาซื้อทุกอย่างคนพวกนั้นจะสงสัยแล้วคิดว่าเขาเป็นคนโง่จริงๆ
ณ ตอนเที่ยงเขาพบร้านอาหาร หลังจากกินมื้อเที่ยงแล้ว เขาก็ไปที่ร้านเครื่องประดับ
ในตอนนี้ที่ร้านเครื่องประดับทีคนเยอะมากซึ่งทุกคนต่างมาเพื่อหยกของอู๋ ฮ่าวเหริน
ดูเหมือนว่าในเที่ยงวันนี้จะเป็นการแข่งขันของตลาดหยกที่ดุเดือด
แน่นอนว่า สถานการณ์เช่นนี้อู๋ ฮ่าวเหรินอยากเห็นเป็นที่สุด ด้วยการแข่งขันที่สูง เขาก็จะไม่ถูกคนพวกนี้เอาเปรียบ และหยกก็จะได้ขายในรายคาที่สูง
--------------------------------------------