SSN บทที่ 185 : ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ ชิ้นสุดท้าย
เทพเจ้าแห่งกาลเวลา เฮเรส
นับว่าเป็นเทพเก่าแก่องค์หนึ่งที่ถือกำเนิดมานานแล้วบนดาวอัลเฟ่น แต่เทพองค์นี้กลับไม่ได้มีสาวกมากมาย ตัวตนของเขานั้นค่อนข้างลึกลับและคนส่วนมากก็ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา
เฉพาะนักบวชที่เคารพบูชาองค์เทพเฮเรสเท่านั้นที่รับรู้การมีตัวตนของเขา อีกทั้งภารกิจต่างๆยังเป็นความลับอย่างมาก การคัดเลือกผู้สืบทอดก็จะเป็นการคัดเลือกส่วนบุคคล และส่วนมากจะมีแต่ผู้สืบสันติวงศ์เท่านั้น
มีแต่เหล่านักปราชญ์หรือสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนยาวเท่านั้น ที่รับรู้ถึงการคงอยู่ของเทพเฮเรส
สถานที่ตั้งวิหารนั้นเป็นความลับอย่างมาก อีกทั้งยังตั้งอยู่ในดินแดนที่หนาวเหน็บไร้สิ่งมีชีวิต
ฟู่มมมมมมมม!
อาชาแห่งความมืดกำลังวิ่งฝ่าความหนาวเย็นไปข้างหน้า
“อา ฮู่วว”
ลมหายใจที่เป็นควันสีขาวถูกพ่นออกมาจากลาตาชา
ราชินีเอลฟ์ถูกเลือกให้เป็นผู้นำทางอีกครั้ง เพราะเธอรู้เส้นทางมายังวิหารแห่งนี้
"เธอแน่ใจเหรอว่ามาถูกทาง?"
"ใช่ ข้าแน่ใจ"
"ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย"
วูชินเอียงคอด้วยความสงสัย แต่อาชาแห่งความมืดก็ยังเคลื่อนที่ต่อไปโดยไม่ได้หยุดอะไร
"วิหารแห่งองค์เทพเฮเรส จะตั้งอยู่ในส่วนลึกของดินแดนแห่งนี้ มันเป็นที่ๆหนาวเย็นมากที่สุด"
"ตรงไหนล่ะ?"
"ตอนนี้พวกเราน่าจะเริ่มมองเห็นแล้ว"
ตาของวูชินเบิกกว้างขึ้นเมื่อมองไปตามทิศทางที่ลาตาชาชี้ เขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่ใหญ่โตมโหฬารตั้งอยู่บนทุ่งน้ำแข็ง
เมื่อเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
มันไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็ง
"ปราสาทน้ำแข็งเหรอ?"
"ใช่แล้ว"
ที่ตั้งของปราสาทน้ำแข็งแห่งนี้นับว่าหนาวเย็นเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดๆอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งขนาดของปราสาทน้ำแข็งแห่งนี้ยังใหญ่มาก...มันใหญ่พอๆกับหุบเขาซัวรอส!
"อ่า"
นี่มันใหญ่โตมโหฬารเหนือความคาดหมายไปมาก ทั้งวูชินและลาตาชานั้นต่างทึ่งกับขนาดของมัน
สำหรับพวกเขาข้อมูลสำหรับสถานที่แห่งนี้ และปราสาทหลังนี้นั้น พวกเขารับรู้ผ่านจากคำบอกเล่าก็เท่านั้น ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นมันกับตา
"เอาล่ะ"
เพียงกวาดสายตามองรอบเดียว พวกเขาก็พบช่องที่น่าจะเป็นประตูทางเข้า เมื่ออาชาแห่งความมืดเข้ามาใกล้ๆ พวกเขาก็พบประตูเล็กๆขนาดมันน่าจะใหญ่แค่พอให้คนเดินเข้าได้ทีละคน
แกร่ก แกร่ก!
"ดูเหมือนมันจะล็อค"
ลาตาชาที่พยายามจะเปิดประตู แต่หลังจากที่เธอลองแล้วพบว่าเปิดไม่ได้ ก็หันไปบอกกับวูชิน
"หลบออกไปหน่อย"
เขาไม่เห็นลูกบิดประตูหรือรูกุญแจอะไรทำนองนั้น
นอกจากนั้นเมื่อเขาลองจับประตูดูเขาก็รู้สึกแค่ความเย็นผ่านมือเท่านั้น
วิ้งงงง!
"ระ..รอก่อน ... "
เมื่อลาตาชาสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ เธอก็พยายามห้ามวูชิน
แต่วูชินไม่สน เขาซัดพลังเวทย์ที่รวบรวมได้เข้าใส่ประตูทันที
ตูมมม!
เมื่อถูกกระแทกอย่างแรงในที่สุดมันก็เปิดออก
"เปิดแล้ว"
"ทำไมท่านถึงต้องทำรุนแรงขนาดนี้ด้วย?"
"เธอจะให้ฉันเคาะประตู แล้วรอให้คนมาเปิดงั้นเหรอ?"
“...”
เธอไร้คำพูดจะโต้เถียงกับเขา
แต่ก็อย่างที่เธอรับรู้มาตลอดทาง ปกติผู้อมตะไม่ใช่คนที่สุภาพอ่อนโยนอะไรอยู่แล้ว เธอได้แต่เงียบไม่พูดอะไร แล้วก็หันหน้ากลับไปมองที่ประตูเท่านั้น
วูชินเองก็ไม่ได้สนใจอะไรลาตาชา เขารีบเดินลงบันใดหลังประตูไปทันที
"ทำไมที่นี่ถึงมืดขนาดนี้?"
"สักครู่"
ลาตาชาค่อยๆโบกมือไปมาก่อนที่จะหงายฝ่ามือขึ้น
วิ๊งงงง
ภูติขนาดเล็กที่ร่างกายสร้างมาจากแสงสว่างปรากฏร่างขึ้นกลางฝ่ามือของเธอ ก่อนที่จะบินไปด้านหน้าเพื่อส่องสว่างทางเดิน
"มันเป็นจิตวิญญาณแห่งแสงสว่าง"
"ฉันไม่ได้ถาม"
“อ่า ...”
ลาตาชาได้แต่ส่ายหัวไปมาก่อนที่จะเดินตามเข้าไป หลังจากที่เดินลงบันไดอยู่เป็นเวลานานในที่สุดพวกเขาก็ลงมาถึงด้านล่าง
และพวกเขาพบประตูอีกครั้ง แต่ทว่าไม่เหมือนประตูก่อนหน้านี้ มันมีที่จับเป็นเหล็ก ลาตาชาพยายามลองดึงแล้ว แต่ก็พบว่ามันไม่สามารถเปิดได้
"ท่านกำลังจะระเบิดมันอีกครั้ง?"
"ใช่"
วิ๊งงงงงง!
วูชินชูมือขึ้นมาพร้อมรวมพลังเวทย์ แต่ทว่าประตูตรงหน้ากลับเปิดออกมาเสียก่อน
แอ๊ด!
“... .”
หลังจากมองไปยังประตูที่เปิดขึ้น ลาตาชาก็หันไปมองผู้อมตะ
"ทำยังไงต่อล่ะ จะเข้าไปหรือไม่? "
"เข้าสิ"
แอ๊ดดด ปังงงงง แกร่ก!
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาประตูก็ปิดล็อคทันที
“... .”
วูชินขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่วนชาตาชาเองก็ตกใจอย่างมาก
"นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ขะ..ข้าไม่ได้ยินเสียงของสายลม"
ราวกับวิหารแห่งนี้นั้นได้ตัดขาดกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง และดูเหมือนผู้อมตะเองก็ไม่ได้เป็นคนเดียวที่สูญเสียพลังไปในคราวนี้
ลาตาชาเองก็สูญเสียพลังเวทย์ไปด้วย และตอนนี้เธอก็เริ่มสติแตกจากความรู้สึกแบบนี้
"เราต้องรีบกลับออกไป ที่นี่อันตรายเกินไป "
เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น พลังของเธอถูกอำนาจทรงพลังบางอย่างช่วงชิงไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อนทำให้ลาตาชาตื่นกลัวอย่างมาก
"ไม่ต้องห่วง มันเป็นแบบนี้เสมอ เราจะออกไปหลังจากที่ได้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ "
"แต่…"
ลาตาชาขมวดคิ้ว แต่จากการสังเกตผู้อมตะก็พบว่าเขามีท่าทางปกติ ไม่ได้ร้อนรนอะไรราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
วูชินเองตอนนี้ก็เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่รู้ทิศทาง
"ดูไม่คล้ายยานอวกาศสักเท่าไร"
แต่แสงสว่างที่ติดตามเพดานทำให้เขานึกย้อนไปถึงวิหารของอาเรีย
เขาไม่ได้ต้องการรู้ว่าวิหารของ สเกีย, เลเซีย และ คอร์ มีรูปร่างยังไงหรือมาจากไหน เข้าแค่สงสัยว่าเทพ 5 องค์นี้ถือครอง รหัสหลัก ของดาวอัลเฟ่น ได้ยังไง ...
ในขณะที่ทั้งคู่เดินตามทางยาวมาเรื่อยๆพวกเขาก็เจอสี่แยก วูชินเลี้ยวตัดไปยังทางหนึ่งก่อนที่จะเดินไปเรื่อยๆ และเขาพบประตูหนึ่งอยู่ที่สุดทางเดิน
กึงง, กึงง!
เขาพยายามดันประตูแต่เขาก็รู้ดีว่ามันคงไม่เปิดง่ายขนาดนั้น
"เราจะไปต่อหรือไม่? อาจจะเป็นเพราะเราเข้ามาโดยไม่ได้รับการเห็นชอบจากองค์เทพเฮเรส ท่านกำลังขุ่นเคืองพวกเรารึเปล่า? "
"ฉันไม่รู้"
บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอสูญเสียพลัง เธอเลยพูดมากผิดปกติ เธอถามนู่นนี่นั่นไม่หยุดตั้งแต่ระหว่างเดินมาแล้ว
พวกสาวกหรือนักบวชต้องแอบดู อยู่ที่ไหนสักที่อย่างแน่นอน
“ชิ”
ถ้าพลังของเขายังอยู่ล่ะก็ ... เขาจะส่งเกบี้ ออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่อาจทำแบบนั้นได้
วูชินย้อนกลับมาและเดินไปยังทางอื่นๆพร้อมทั้งวาดแผนที่ไว้ไปด้วยในใจ ในขณะที่เขากำลังค้นหา เขาก็พบประตูบานหนึ่งที่มีที่เปิดประตูแตกต่างจากประตูบานอื่น เขาเลยเอื้อมมือไปแตะมัน
ฟืดดดด!
เขาออกแรงกดไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่าประตูพลันเปิดออกในทันที ภาพที่ปรากฏหลังประตูนั้นวูชินค่อนข้างคุ้นเคยอย่างมาก ผิดกับลาตาชาลิบลับ
"โต๊ะพูล ตู้เย็น ... "
ห้องนี้ก็มีขนาดใหญ่พอสมควร จากการสังเกตเขาบอกได้ทันทีว่า ห้องนี้เหมือนห้องพักผ่อนหรือห้องนั่งเล่นอะไรทำนองนั้น วูชินเปิดตู้เย็นแล้วเขาก็พบน้ำอัดลมที่คุ้นเคย...โคล่า
"นี่คือ…"
แกร๊ก ฟู่ววว!
วูชินเปิดโคล่ากระป๋องแล้วก็เริ่มกินมันในทันที ลาตาชาก็รีบพูดออกมาด้วยความตกใจ
"ถะ ... ถ้ามันมีพิษจะทำยังไงเล่า ... "
"เธอลองดื่มดูสิ"
แต่ทว่าวูชินกลับโยนโคล่าอีกกระป๋องไปให้ลาตาชา ด้านลาตาชาก็รับโคล่าแช่เย็นมาอย่างงงๆ
แกรกๆๆ!
เนื่องจากเธอไม่รู้วิธีเปิดเธอก็พยายามข่วน,จิก,งัดแงะไปทั่ว วูชินมองภาพนี้แล้วก็ยิ้ม ก่อนที่จะหันมองไปรอบๆ
เขาเห็นโซฟาและก็ทีวี ถัดจากนั้นก็จะเป็นห้องที่มีตู้ล็อคเกอร์ เขาเหลือบไปเห็นข้อความที่คุ้นเคยบนป้ายชื่อของตู้ล็อคเกอร์ ตาของวูชินหรี่ลงเล็กน้อย
บางข้อความเขาสามารถอ่านมันได้
"ซัวเร่, เอียลโล,กังห์, นาตามิว ... "
มันมีทั้งหมด 8 ล็อคเกอร์ ตัวอักษรที่เขียนไว้มันดูคล้ายๆภาษาอังกฤษ แต่เขาไม่มั่นใจว่ามันเป็นภาษาเดียวกันรึเปล่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาอ่านมันถูกไหม
ถ้าเป็นยานอวกาศมันต้องมีรายชื่อลูกเรือ ถ้าเป็นอาคาร มันก็ต้องมีรายชื่อเจ้าหน้าที่หรือพนักงานบ้าง
เขาเปิดล็อคเกอร์ทั้งหมด แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกอย่างแน่นอน
วูชินที่ค้นห้องนี้เสร็จแล้ว เมื่อออกมาเขาก็พบว่าลาตาชาประสบความสำเร็จในการเปิดกระป๋องโคล่า!!
"ว้าว"
เธอมองมันด้วยความสนใจและอยากรู้อยากเห็น ในที่สุดเธอก็หยิบมันขึ้นมาและยกซดรวดเดียว
ฟู่ววววว!!
“อ๊อคค! อย่างที่คาด มันมีพิษ! "
เธอรู้สึกว่ากาซในน้ำอัดลมที่ซ่าๆนั้นมันกัดกินลำคอเธอ ลาตาชาเอาสองมือกุมคอของเธอไว้ก่อนที่จะกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น และไม่นานนักเธอก็รู้สึกมีอะไรบางอย่างพองตัวในท้องก่อนที่มันจะดันออกมา..
เอิ๊ก..
ลาตาชากลิ้งไปกลิ้งมาบนพ้นในที่สุดก็หยุดและนอนมองเพดานเพราะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร และเมื่อเธอหันไปก็พบว่า วูชินกำลังมองมาพอดี
"เลิกเล่นได้แล้ว ไปกันเถอะ"
“... .”
"ท่านจะไปไหน?"
ใบหน้าเธอเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเพราะความอาย แต่สักพักเธอก็เบิกตากว้างพร้อมกับตะโกนขึ้นมา
"ตรงนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว!"
"หืม?"
เขามองตามมือที่ลาตาชาชี้ไปก็เห็นกล้องเล็กๆกำลังส่ายไปส่ายมา จับภาพพวกเขาอยู่บนประตูห้อง
“อ่า”
ดูเหมือนที่นี่จะมีคนอยู่
วูชินหันไปมองกล้องแล้วก็กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
"ไหนก็เชิญฉันมาแล้ว ทำไมไม่ออกมาคุยกันหน่อยล่ะ?"
ถ้าจะว่ากันจริงๆเขาไม่ได้ถูกเชิญ อย่างไรก็ตาม วูชินยังส่งคำเตือนให้กับเจ้าของวิหารแห่งนี้
"ฉันเห็นเครื่องมือบางอย่างตรงนั้น ถ้าแกไม่ออกมาตอนนี้ฉันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง"
เขาเรียกร้องความสนใจจากกล้องก่อนที่จะชี้ให้เห็นกระเป๋าเครื่องมือช่าง และวูชินก็เดินไปหยิบมันขึ้นมา
"เธอทำอะไรอยู่? ถือไว้สิ "
"ได้" ลาตาชาที่กำลังเอีงคอมองกล้องอยู่หันมาตอบวูชิน
วูชินหยิบค้อนยาวอันหนึ่งออกมาถือไว้ในมือ ก่อนที่จะส่งกระเป๋าเครื่องมือช่างไปให้ลาตาชา
“อ๊ะ”
มันค่อนข้างหนักสำหรับผู้หญิงปกติทั่วไป แต่ลาตาชาก็ยังพอถือมันไหว
ถึงแม้พลังเวทย์ของเธอจะหายไปแต่กำลังกายของเอลฟ์ระดับสูงก็ยังคงมีอยู่
"เริ่มกันเลยดีไหม?"
ถ้าเจอประตูไหนล็อคเขาจะงัดมันให้หมด
วูชินเดินออกจากห้องเพื่อจะไปหาประตูให้เขางัดเล่น
และเมื่อออกมาก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงทางเดิน
หากจะกล่าวให้ชัดก็คือ ลูกศรแสง ปรากฏขึ้นบนทางเดิน
“โอ้ น่าจะทำแบบนี้แต่แรก "
วูชินและลาตาชาเดินตามลูกศรมาเรื่อยๆ ทางที่เดินผ่านมันวกวนราวกับเขาวงกต ในที่สุดก็เดินมาถึงประตูๆหนึ่ง
กิ๊งงง!
ประตูค่อยๆแยกออกทั้งสองข้าง แล้วพวกเขาก็เข้าไปในห้องเล็กๆ
"ผ ... แผ่นดินไหว"
"มันเรียกว่าลิฟต์"
“... .”
ลาตาชาเกาะผนังลิฟท์เอาไว้ราวกับหวาดกลัวอย่างมาก วูชินมองภาพนี้แล้วก็หัวเราะออกมา
กิ๊ง!
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก พวกเขาก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่
วูชินเดินถือค้อนยาวไปข้างหน้าก่อนที่จะควงไปมาราวกับไม้เบสบอล
เขามองเห็นหน้าจอจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ทุกที่
ในขณะที่มองสำรวจไปเรื่อๆ เขาก็พบว่าจอเบื้องหน้าจอหนึ่งกำลังส่องสว่างขึ้นมา
ปรากฏร่างชายหัวล้านที่กำลังยืนส่งยิ้มบางๆมา
"เราควรทำเช่นไรดี เหมือนว่าเขาติดอยู่ในนั้น "
"เธอไปยืนรอตรงนั้นก่อน .. "
"อ่า…"
วูชินรำคาญลาตาชาที่ถามนู่นนี่นั่น เขาให้เธออกไปรอห่างๆก่อนที่จะเดินไปหาจอภาพนั้น
“เฮเรส?”
[ถูกแล้ว]
"ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกนายเป็นแค่หนึ่งในลูกเรือใช่ไหมล่ะ?"
[ก็ไม่เชิง ถ้าหากเจ้าจะถามถึงคนที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนล่ะก็ เอาเป็นว่าตั้งแต่แรกที่นี่ก็ไม่เคยมีใครอื่น]
"ฉันไม่ได้วางแผนมาฟังเรื่องตลกไร้สาระ เอาเข็มขัดมา "
[อืม เจ้าน่าจะมีคำถามมากมาย ไม่คิดจะถามข้าเหรอ?]
"นายคิดจะตอบคำถามด้วยหรอ?"
[ถูกแล้ว]
“อารยะธรรมโบราณของอัลเฟน มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกหรือเปล่า?”
[ข้าทำได้แค่บันทึก ข้าไม่สามารถเรียกดูประวัติได้]
"นาย…."
อา แบบนี้คุยต่อไปคงไม่ได้อะไรมากมาย
แทนที่จะพูดให้เหนื่อยเปล่าๆ สู้ไม่สนใจน่าจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าเขามีอะไรอยากจะถาม แต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้สำคัญสักเท่าไรแล้ว
"ส่งเข็มขัดของนายมา"
[ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้]
"นายพูดบ้าอะไร?"
[ข้าจะมอบให้เจ้าเมื่อถึงเวลา]
"เมื่อไหร่?"
[ ... .]
ชายหัวล้านในจอเงียบไม่ตอบคำ วูชินจึงเริ่มหงุดหงิด
"นายอยากตาย?"
[ถ้าเจ้าอยากปิดระบบ ข้าก็ขอบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่มีทางเข้าไปใกล้ เซอเวอร์ที่แท้จริง ของข้าได้]
“... .”
วูชินเริ่มขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด
“เซอเวอร์ที่แท้จริง? เป้าหมายของพวกนายคือการเป็นพระเจ้า?
[ทั้งหมดที่พวกเราทำ ก็เพื่อปกป้องอัลเฟน]
“เฮ่อ”
วูชินส่ายหัวไปมา ไม่คิดว่าจะเจอคนพูดจาเข้าใจยากกว่าอาเรียแบบนี้
สรุป พวกเทพเจ้า,พระเจ้า,องค์เทพ อะไรพวกนี้ ก็เหมือน ไฟร์วอล ที่คอยป้องกันดวงดาว
แต่จะอะไรก็ตามวูชินรู้สึกเบื่อหน่ายกับพวกมันอย่างมาก เพราะพวกมันพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
"ถ้านายไม่ให้ดีๆ ฉันจะไปหาเอง"
[เจ้าไม่มีทางหาเจอ ... ]
เพล้งง!
วูชินหวดค้อนทุบไปที่หน้าจอตรงหน้า
เปรี๊ยะๆ
หน้าจอที่ถูกทุบ ช็อตแล้วก็ดับไป ก่อนที่หน้าจอด้านข้างจะสว่างขึ้นมา
[เจ้าไม่มีทางหาเจอ]
“เหอะ”
วูชินทุบดับไปอีกจอ และอีกจอก็ติดขึ้นมา
[เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้ว ข้าจะให้ "กุญแจ" แก่เจ้า]
"ฉันบอกแล้ว ว่าฉันจะหามันให้เจอ!"
เพล้งง!
วูชินทุบหน้าจอด้วยความโมโห ลาตาชาที่มองอยู่ด้านข้างก็ตกใจอย่างมาก
จากความทรงจำทั้งหมดของเธอ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เห็นท่าทางหงุดหงิดถึงขนาดนี้ของผู้อมตะ
***
ต้นไม้โลก หุบเขาซัวรอส
"เฮ้ พวกนี้นี่! ถ้ามาทำอาหารที่นี่จะถูกลงโทษนะ!
“ว๊ากกก ทหารมา "
เชแฮซอลและหน่วยเงามรณะเดินมาถึงกองเพลิงที่ยังลุกโชนอยู่ มันถูกเรียกว่าลมหายใจสุดท้ายของจิตวิญญาณแห่งเปลวเพลิง เด็กๆก็วิ่งเล่นกันรอบเปลวเพลิงอย่างสนุกสนาน
“เฮ่อ เมื่อไหร่หัวหน้าจะกลับมานะ "
หลังจากมาอัลเฟ่น แฮซอลก็ไม่ค่อยได้อยู่กับวูชินมากนัก โดแจมินก็กลับโลกไปแล้ว ซังกูก็กลายมาเป็นแบบนี้อีก
วิ้งงง!
ประตูส่องสว่างก่อนที่จะดับไป ร่างหนึ่งเดินออกมา เมื่อแสงจางหายไปทุกคนก็หันมามอง
"ใครมากันนะ! หืม? สตรีศักดิ์สิทธิ์ "
แฮซอลยิ้ม พร้อมทั้งมองเมโลดี้ที่กำลังเดินไปหาต้นไม้โลก ไม่ว่าจะเป็นที่โลกหรืออัลเฟ่น ความสามารถในการรักษาของเมโลดี้นับว่ามีประโยชน์มาก ใครๆก็ชอบเธอทั้งนั้น
"ข้ามาที่นี่เพื่อคุยกับต้นไม้โลก"
"อะไรนะ? อ่า ... เอาล่ะไปเถอะ "
ต้นไม้โลกนี้สำหรับแฮซอลมันก็เป็นแค่สัญลักษณ์สำหรับอาณานิคม แต่กับคนของอัลเฟนแล้วดูเหมือนมันจะเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ
"ท่านทิ้งให้ข้าอยู่กับต้นไม้โลกตามลำพังได้ไหม?"
“หืม ได้สิ "
แฮซอลหันไปมองหน่วยเงามรณะเล็กน้อย ก่อนที่จะพากันทยอยจากไป..ก่อนออกไปทุกคนหันกลับมามองเมโลดี้อีกครั้ง แล้วก็เดินจากไป
เมื่อเหลือแค่เมโลดี้คนเดียวที่อยู่ใต้ต้นไม้โลก เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองมันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ