px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 5 เจียงเสี่ยวนู๋


ชื่อเต็มๆของนางคือ เจียงเสี่ยวนู๋

 

ตามที่ผู้อาวุโสเคยว่าไว้ ว่าแม่ของเจียงอี้ซื้อเสี่ยวนู๋มาในฐานะคนรับใช้เพื่อที่จะคอยปรนนิบัติเขาเมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง1ปี

 

แม้ว่าสถานะของนางจะเป็นเพียงแม่บ้านในตระกูล แต่เสี่ยวนู๋ก็ไม่เคยถูกปฏิบัติเหมือนเช่นผู้อื่น – นางเติบโตมาพร้อมกับเจียงอี้เหมือนพี่น้อง 

 

หลังจากการหายสาบสูญของผู้อาวุโส ทั้งสองก็ต้องพึ่งพากันมากขึ้น หากไม่ใช่เพราะกำลังใจของเสี่ยวนู๋ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจียงอี้ที่จะอดทนต่อช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้

 

เล่าว่ามังกรนั้น ทั้งตัวจะมีเกล็ดอยู่อันนึงที่เรียงตัวตรงข้ามกับเกล็ดอื่นๆเรียกว่าเกล็ดย้อนของมังกร หากไปแตะเข้าตรงเกล็ดย้อนของมังกร มันจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนสามารถคร่าชีวิตของผู้ที่แตะต้องจุดนั้นได้

 

เจียงอี้ก็มีเกล็ดย้อนนั้นเช่นกัน และนั่นคือ เจียงเสี่ยวนู๋

 

 

ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าเสี่ยวนู๋กำลังตกอยู่ในอันตราย เจียงอี้ก็ระเบิดความโกรธออกมา และวิ่งไปที่ลานข้างหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ

 

ท่าทางอันดุร้ายของเขาแผ่ซ่านออกมาจนหญิงสาวตกใจเป็นอย่างมาก

 

เขาตะโกนออกมาโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง "เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวนู๋? ชุนหยา เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวนู๋นะ?”

 

เจียงอี้จำได้ว่าเด็กผู้หญิงนางนี้เป็นลูกสาวของหญิงชราตระกูลเจียงที่อยู่บ้านข้างๆ นางกับเสี่ยวนู๋เป็นเพื่อนรักกันและบางคราวก็แอบออกไปทำงานด้วยกัน

 

ชุนหยาตอบด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาของนาง ชุนหยาตอบด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาของนาง "นายน้องเจียงอี้ เสี่ยวนู๋ถูกเฆี่ยนตีที่หอนางโลมเฟิงเยว่

 

เถ้าแก่บอกว่าเสี่ยวนู๋ทำภาพวาดเสียหายและต้องการให้นางชดใช้ไม่เช่นนั้นนางจะต้องถูกเฆี่ยนตีจนตาย รีบไปขอความช่วยหลือมาช่วยนางออกมาจากที่นั่นด้วยนะเจ้าคะ ... ”

 

หอนางโลมเฟิงเยว่!!!

 

เจียงอี้แสดงท่าทีที่เย็นชา เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับหอนางโลมเฟิงเยว่นั่น มันเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเจียงของเมืองตะวันออก

 

ครั้งหนึ่งเขาเคยตามที่เสี่ยวนู๋ไปที่นั่นและรู้ว่านางทำงานที่ด้านหลังโรงครัว ซักผ้าและเครื่องนอนของพวกเขาเพื่อแลกกับเงินจำนวนเล็กน้อย

 

"ขอความช่วยเหลือ?”

 

เจียงอี้ส่ายหัว หลังจากการหายตัวไปของผู้อาวุโสก็ไม่มีใครในตระกูลเจียงให้ความสำคัญกับเขา เช่นนั้นใครจะออกมาช่วยเขา

 

นอกจากนี้หากทางตระกูลเจียงได้ทราบเรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเสี่ยวนู๋จะไม่ถูกเฆี่ยนตีจนตายโดยผู้คนจากหอนางโลมเฟิงเยว่ นางก็ไม่พ้นที่จะถูกนำตัวไปที่ตำหนักลงทัณฑ์และถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยไม่ต้องสงสัยเลย

 

"ชุนหยา เดี๋ยวก่อน" เขาสั่งอย่างรวดเร็ว "จำไว้ว่าอย่าเอ่ยคำพูดนี้ไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม!"

 

หลังจากนั้นเจียงอี้เร่งผีเท้าของเขาและรีบพุ่งปรี่ออกไป เขาไม่มีเวลามากพอที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งหมดที่เขาทำได้คือออกไปคนเดียว

 

แม้ว่าเขาจะถูกเฆี่ยนตีจนตาย แต่เขาก็ต้องไปช่วยชีวิตเจียงเสี่ยวนู๋

 

เมื่อชุนหยาเห็นว่าเจียงอี้วิ่งออกไปไวราวกับสายลมและแผ่รังสีอัมหิตออกมา ชุนหยาก็ตะโกนไล่หลังเขาว่า "นายน้อยเจียงอี้ได้โปรดอย่าทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตนะเจ้าคะ ที่หอนางโลมเฟิงเยว่นั้นมีทหารที่แข็งแกร่งและมีจำนวนมากมายนัก ... "

 

อย่างไรก็ตามเพียงครู่เดียวหลังจากชุนหยาวิ่งไล่ตามเขาไป นางเห็นเจียงอี้หายเข้าไปในมุมตึกประมาณห้าเมตรข้างหน้าแล้ว

 

ชุนหยาขยี้ตาของนาง

 

“หืมม” นางพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เหตุใดนายน้อยเจียงอี้ถึงได้รวดเร็วเช่นนี้? เขาไม่ได้อยู่เพียงขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งหรอกหรือ? ความเร็วเช่นนี้อย่างต่ำก็เป็นขั้นที่สองหรือสามแล้วนะ”

 

ความเร็วของเจียงอี้เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า ในความวิตกกังวลของเขา เขาได้ใช้พลังเสี้ยวหนึ่งของแก่นแท้พลังสีดำที่ขาซ้ายของเขาเพื่อเพิ่มความเร็วให้ตนเองวิ่งได้เร็วราวกับสายฟ้า

 

เพียงเสี้ยวนาที เขาก็รีบพุ่งฝ่าประตูตะวันตกของตระกูลออกไปและวิ่งไปตามถนนด้านนอก โชคดีที่ไม่มีผู้ใดจากตระกูลเจียงเห็นเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะเลิกคิ้วใส่อย่างแน่นอน ...

 

น่าเสียดายที่หลังจากวิ่งไปประมาณร้อยเมตร ความเร็วของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว แก่นแท้พลังสีดำนั้นเริ่มอ่อนแรงลง

 

เขาต้องการใช้พลังสีดำเพื่อเร่งความเร็วของเขาอีกครั้ง แต่เขากลับมานึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

เขาใช้เวลาในการรวบรวบพลังมามากกว่าสองชั่วโมงและสกัดแก่นพลังสีดำได้เพียงห้าครั้ง ตอนนี้เขาได้ใช้หมัดไปครั้งหนึ่ง แล้วเขาจะป้องกันตัวเองเมื่อต้องเกิดการประทะกันที่หอนางโลมเฟิงเยว่ได้อย่างไร

 

“เสี่ยวนู๋ เจ้าต้องทนติดอยู่ที่นั่นก่อนนะ!”

 

 

เขาทำได้เพียงพยายามไหลเวียนแก่นแท้พลังสีน้ำเงินอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่เขากัดฟันและวิ่งตรงไปที่หอนางโลมเฟิงเยว่ เขาเกือบจะชนผู้คนที่เดินผ่านไปมาบางคน เนื่องจากความรีบร้อนของเขา

 

โชคดีที่หอนางโลมเฟิงเยว่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของเมืองเช่นเดียวกับตำหนักข้ารับใช้ของครอบครัวเจียง

 

เจียงอี้ใช้เวลาเพียงสามนาทีในการเดินทางไปยังถนนฝั่งตะวันออกที่หอนางโลมเฟิงเยว่ตั้งอยู่

 

ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ศาลาใหญ่อย่างรวดเร็ว ขณะที่ตัวเขาพุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

"นายท่าน เชิญเข้ามาและร่วมเพลิดเพลินได้เลย! นางบำเรอของหอนางโลมเฟิงเยว่ ของเรานั้นดีที่สุดที่จะปรนนิบัติท่าน!"

 

"เร่เข้ามา! ท่านหญิงเยียนหั่วของเรา เพิ่งจะเปิดการแสดงใหม่ ที่มีนามว่า การแสดง
เป่าขลุ่ยใต้แสงจันทร์ มันช่างเพลิดเพลินอะไรเช่นนี้…"

 

แม้จะอยู่ห่างจากหอนางโล่มเฟิงเยว่นั่น แต่เขาก็สามารถได้ยินเสียงเหล่าแมงดาซึ่งเป็นลูกค้าที่เร่งรีบที่อยู่หน้าหอนางโลมเฟิงเยว่

 

ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งเป็นเวลาที่หอนางโลมเฟิงเยว่เริ่มเปิดกิจการ

 

เจียงอี้เสียเวลาสี่ชั่วโมงในการนับจำนวนสมุนไพรที่เขาซีชาน ก่อนที่เขาจะใช้เวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงเพื่อกลับมาศึกษาแก่นแท้พลังสีดำที่บ้าน

 

เขาหมกมุ่นอยู่กับความอัศจรรย์ของประสิทธิภาพของแก่นพลังสีดำจนลืมเวลาภายนอกไปจนสิ้น ไม่เช่นนั้น เขาคงสงสัยว่าทำไมเสี่ยวนู๋จึงกลับบ้านมาช้าจนผิดปกติไปแล้ว

 

เจียงอี้นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเมื่อนึกย้อนกลับไป เขากำลังหาหนทางไปที่สวนหลังบ้าน เขาวิ่งปรี่เข้าไปที่หอนางโลมเฟิงเยว่ เพื่อเตรียมเข้าสู่โถงด้านในที่อยู่ด้านหลัง

 

ผู้ชายสองคนที่กำลังง่วนอยู่กับนางบำเรอและมิได้สังเกตุเห็นเจียงอี้ ทำให้เจียงอี้สามารถเข้าไปภายในหอได้อย่างง่ายดาย

 

 ภายในนั้นมีมาม่าซังวัยกลางคนกำลังหมุนสะโพกของนาง แล้วทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม "โอ้! พ่อหนุ่มน้อยของข้า เหตุใดเจ้าจึงใจร้อนเพียงนี้? เด็กของเรา ... "

 

เจียงอี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาเสียเวลากับมาม่าซังแก่ๆนางนี้ เขาสูดดมและทนกับกลิ่นเครื่องประทินโฉมราคาถูกจนปวดหัว ดวงตาของเขาจ้องไปที่ประตูที่นำไปสู่สวนหลังบ้าน และเขาก็พุ่งตรงไปหามันอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“ปัง!!!”

 

เจียงอี้ใช้ไหล่ของเขากระแทกเข้าไปที่ประตูและชนเข้าไปยังสวนหลังบ้านดวงตาของเขาก็กวาดตามองไปรอบๆเขตนั้น

 

“เสี่ยวนู๋อยู่ที่ไหน??”

 

สนามหลังบ้านนั้นช่างกว้างขวาง ภายหน้าเจียงอี้นั้นมีเพียงกลุ่มหญิงชราที่กำลังซักเสื้อผ้าด้วยอ่างไม้ แต่ไม่มีวี่แววของเสี่ยวนู๋เลย

 

แต่เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจากสีหน้าของเหล่าหญิงชรา ใบหน้านั้นเผยถึงความหวาดกลัวของพวกนางและสายตาที่จ้องมองอย่างหวาดระแวงนั้นจ้องไปยังตำหนักตรงมุมหนึ่งของสวนหลังบ้าน

 

"ได้โปรดหยุดเฆี่ยนตีข้าเถิด! นายน้อย ได้โปรด.. แม้ว่าท่านจะเฆี่ยนข้าจนตาย, ข้าก็จะไม่มีวันเซ็นสัญญาเหล่านี้ .. นายน้อย, ได้โปรดหยุดเถิด ข้าจะหาทางนำเงินมาจ่ายคืนให้ท่าน .."

 

เสียงร่ำไห้วิงวอนนั้นดังมาจากตำหนักแห่งนั้น

 

เจียงอี้สั่นด้วยความเกรี้ยวโกรธและตะโกนขึ้นมาทันที "เสี่ยวนู๋!"

 

เสียงหวดแส้ดังขึ้น !!

 

เจียงอี้ตรงดิ่งไปยังตำหนักนั้นอย่างรวดเร็ว เขาเตะไปที่ประตูอย่างจังด้วยการใช้แก่นแท้พลังที่สามารถทำลายประตูนั้นให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้

 

เจียงอี้ถลาเข้าไปในตำหนักนั้น ดวงตาเขากวาดตามองไปรอบตำหนักนั้นอย่างฉับไว และสิ่งที่เขาได้เผชิญตรงหน้าเกือบทำให้เขาฉุนขาด

 

ภายในห้องนั้นไม่ได้ใหญ่มากมายอะไร แต่ภายในห้องอีกห้องหนึ่งของตำหนักนั้นมีชายอ้วนที่กำลังเฆี่ยนตีหญิงสาวที่อ่อนแอและบอบบางอยู่

 

นางขดตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นขณะที่กำลังร่ำไห้และวิงวอนอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ชายผู้นั้นก็ยังคงทุบตีและเฆี่ยนนางต่อไปอย่างไม่ลดละ

 

ปัง!!!!!!!!

 

เมื่อเจียงอี้เห็นสภาพอันน่าสลดใจของเสี่ยวนู๋ เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าจะระเบิดออกมา แก่นแท้พลังนั้นได้พุ่งพล่านไปรอบกำปั้นของเจียงอี้ เขายิงกำปั้นไปที่หน้าอกของชายผู้นั้นอย่างไม่ยั้งคิด

 

“เจ้าเป็นใคร ?!”

 

ชายผู้นั้นก็เกิดตกใจจนขวัญหนีขึ้นมาเมื่อเจียงอี้พังประตูเข้ามา เมื่อเขาได้สติกลับคืนมา เขาก็เย้ยหยันเมื่อเขาเห็นหมัดของเจียงอี้ที่พุ่งผ่านอากาศมา

 

"เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้พลังเพียงขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งห๊ะ ไอ้เด็กเหลือขอ? เจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่แล้วอย่างนั้นรึ!"

 

ตั้งแต่เขากล้าที่จะเข้ามาในหอนางโลมเฟิงเยว่เพื่อสร้างปัญหา เขาก็ไม่สนใจว่าเขาเป็นใครอีกต่อไป

 

สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขั้นแรกหรือขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่งนั้นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลย

 

สาวน้อยอายุสิบสี่ปี ที่นั่งอยู่บนพื้นนั้นรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เมื่อนางเห็นความเดือดดาลของเจียงอี้ตรงหน้านาง นางก็กลัวว่าจะเป็นอย่างที่นางคิด

 

"นายน้อย" นางกรีดร้องด้วยเสียงที่เหลือทั้งหมดของนาง "ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา! ไม่ต้องสนใจข้า ท่านรีบหนีไปเถิด!!!!"

 

“หือ”

 

เสียงร้องของเสี่ยวนู๋นั้นได้เตือนเจียงอี้ถึงความอ่อนแอของเขาพอดีเขาจึงรวบรวมแก่นแท้พลังสีดำไว้ที่กำปั้นของเขาและหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้พลังสีน้ำเงิน

 

บึ้ม!!!!

 

ไม่นานการรวมแก่นแท้ของพลังทั้งสองกำปั้นก็เกิดขัดแย้งกัน เจียงยี่ถูกกระแทกและถอยกลับไปประมาณสามสี่ก้าว แต่ก็ไม่เป็นไร!

 

แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฝ่ายตรงข้ามของเขาก็ปลิวกลับไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลังอย่างแรงและกลิ้งลงไปที่พื้น ส่งผลให้แขนของเขาหัก เขาตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด..

 

“หะ...”

 

เจียงเสี่ยวนู๋กะพริบตาและมองไปที่นายน้อยของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสบ ว่านี่ใช่นายน้อยของนางจริงๆหรือ

 

ทำไมนายน้อยของข้าจึงแข็งแกร่งขึ้นมาเช่นนี้

 

“ไปกันเถอะ เสี่ยวนู๋ !”

 

               เจียงอี้นั้นไม่ได้โง่เขลาจนไม่รู้ว่าหอนางโลมเฟิงเยว่ที่จะกลายเป็นหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝั่งตะวันออกจะไม่มีฝ่ายสนับสนุนที่สำคัญได้อย่างไร

              

เมื่อตอนที่เขารีบเข้ามาก่อนหน้านี้เขาได้เห็นทหารและยามไม่กี่คนในห้องโถงด้านใน มันจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ หากเจียงอี้ถูกล้อมเอาไว้

 

เขาย่อตัวลงไปยกเสี่ยวนู๋ขึ้นมาไว้บนหลัง แล้วก็รีบพุ่งตัวออกจากตำหนักพร้อมกับย่างก้าวที่ยาวและเร็วไว เขาวางแผนที่จะหลบหนีไปทางสนามหลังบ้าน

 

เมื่อเขากลับมาที่บ้านตระกูลเจียง ข้ารับใช้จากหอนางโลมเฟิงเยว่จะไม่กล้าทำให้เกิดความวุ่นวายใดๆในพื้นที่ของตระกูลไม่ว่าพวกเขาจะกล้าหาญแค่ไหนก็ตาม

 

เพราะยังไงแล้วตระกูลเจียงนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งในห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่อันดับต้น ๆ ในเมืองเทียนอวี่อยู่ดี

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเจียงอี้ออกมาถึงประตูพร้อมกับเสี่ยวนู๋ที่ที่อยู่บนหลังของเขา นายทหารทั้งสี่นายได้ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูสนามหลังบ้านของพวกเขา และได้ล้อมเจียงอี้ไว้ในทันที

 

ชายผู้หนึ่งที่ดูเหมือนพ่อบ้านเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น

 

"ฮึ่ม!" เขาตะโกนใส่เจียงอี้ "เจ้ากล้าเข้ามาสร้างปัญหาที่หอนางโลมเฟิงเยว่แห่งนี้ได้เยี่ยงไร? ไอ้เด็กนอกคอก! เจ้าอยากที่จะตายอย่างนั้นเหรอ? จงโค่นเขาเดี๋ยวนี้!”

 

เหล่าหญิงชราที่กำลังซักผ้าอยู่ก็ได้หลบออกไปด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งเสี่ยวนู๋ก็หวาดกลัวไม่ต่างกัน สภาพของเจียงอี้ในตอนนี้นั้นราวกับว่าเขามีสภาพที่ไม่ต่างไปจากคนตายเลย

 

"ทหารสามนายนั้นอยู่ในขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง และอีกหนึ่งนายนั้นอยู่ในขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่ง!!"

 

จากความเร็วของทหารยามไม่กี่คน เจียงอี้ก็ได้คำนวณความแข็งแกร่งของทหารทั้งสี่นายนี้ ความรู้สึกวิตกกังวลได้แผ่ไปทั่วจิตใจของเขา

 

เขาจะสามารถจัดการกับทหารยามเหล่านี้ได้เยียงไร? ยังไม่รวมหนึ่งในทหารที่เป็นขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งนั่นด้วย

 

หลายปีที่เจียงอี้ใช้ชีวิตอย่างลำบาก มันฝึกให้เขาทำสามารถบังคับจิตใจให้สงบได้ ทำให้ความสามารถในการควบคุมจิตใจของเขานั้นห่างไกลกับผู้อื่นมากนัก

 

เขาควบคุมตัวเองให้สงบลง และกวาดตาไปมาและจ้องเขม็งด้วยสายตาที่เย็นชาก่อนที่จะไปรวบตัวพ่อบ้านของตำหนักไว้เป็นตัวประกัน

 

"เดี๋ยวก่อน!" เจียงอี้พูดออกมาพร้อมกับกัดฟัน "ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างปัญหาให้กับหอนางโลมเฟิงเยว่! หากเจ้าไม่โจมตีข้ารับใช้ที่มากับข้า ข้าก็จะไม่โจมตีพวกเจ้าเช่นกัน! ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูของท่านเจ้าเมืองนี้ ข้าก็ไม่กลัว! หากพวกเจ้าต้องการที่จะสู้ ก็เข้ามา! ลองดูสิว่าข้าจะกลัวหรือไม่!"

 

และผลที่เจียงอี้ได้รับจากเจรจานั้น คือเงาของทหารยามทั้งสี่ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาเขา หมัดไม่กี่หมัดพุ่งผ่านอากาศมาในทันที

 

ความคิดของเจียงอี้นั้นนิ่งสนิท เขาทำได้เพียงไถลตัวเองกลับเข้าไปในห้องโถง และวางเสี่ยวนู๋ลงที่พื้น

 

เขาพยายามรีดเค้นแก่นแท้พลังสีดำอีกครั้งไปที่กำปั้นของเขาเพื่อที่จะปล่อยหมัดไปยังทหารขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่งที่กำลังพุ่งเข้ามา

"หมัดมายา!"

 

เจียงอี้ไม่ต้องการให้เหล่าทหารเข้ามาจู่โจมในขณะที่เสี่ยวนู๋ยังคงอยู่บนหลังของเขา เจียงอี้ใช้ท่าของทักษะการต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูงที่ดีที่สุดของเขา

 

นี่เป็นทักษะระดับสูงเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้เรียนรู้ของตระกูลเจียง

 

หมัดมายาของเขาแยกออกไปเป็นสามหมัดในทันที ภาพลวงตาที่ทำให้กำปั้นของเขาแบ่งออกเป็นสามหมัดนั้นไม่แตกต่างจากของจริงเลยแม้แต่นิดเดียว

 

หมัดของเขาซัดเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของหน่วยจู่โจม ไหล่ขวาและหน้าผากของทหารนายนั้น

 

“เอ๋?!”

 

เมื่อทหารนั่นเห็นหมัดทั้งสามในขณะที่เขากำลังบุกเข้าไป เขายกแขนขึ้นมาป้องโดยสัญชาตญาณเพื่อป้องกันการโจมตีเหล่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เจียงอี้ได้ปล่อยหมัดจริงของเขาไปทางไหล่ซ้ายของทหารนั่น

 

ปัง!!

 

ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามที่เจียงอี้คาดการณ์ไว้ ทหารขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่งนั้นร่วงลงมา และร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกลิ้งออกมาจากห้องพร้อมกับทหารอีกคนที่อยู่ข้างหลังเขา

 

“กับดัก!!!” ทหารขั้นที่สามได้ตะโกนขึ้นมา

 

ทหารทั้งสองที่ถูกส่งออกไป ได้เปิดทางให้แก่ทหารขั้นที่สามพุ่งเข้ามาได้ เขายกหมัดขึ้นและมุ่งเป้าตรงไปยังหน้าอกของเจียงอี้!

 

จอมยุทธขั้นแรกและขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่งนั้นมีความแตกต่างจากเหล่าจอมยุทธขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งราวกับคนละโลก

 

ความเร็วของทหารนายนี้นั้นยากเกินกว่าที่เจียงอี้จะสามารถรับมือได้และความแข็งแกร่งของเขาก็มีพลังมากกว่าเช่นกัน ซึ่งเขาสามารถรับรู้ได้จาก ลมที่เกิดขึ้นมาจากการโจมตีของฝ่ามือนั้น

 

เจียงอี้ตอบโต้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเบี่ยงหลบไปข้างๆ และพุ่งออกมาพร้อมกับหมัดของเขา เพื่อพุ่งไปที่ฝ่ามือของคู่ต่อสู้ เพื่อพยายามตัดกำลังบางส่วนของทหารนายนี้

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหมัดของเจียงอี้ถูกหยุดไว้โดยฝ่ามือของทหารขั้นสามนายนี้ เพียงชั่วครู่ก่อนที่เขาจะปัดมันออกไปได้อย่างง่ายดาย เขาได้ปล่อยหมัดของเขาออกมาอย่างแรงไปที่หน้าอกของเจียงอี้

 

หากเทียบความสามารถในตอนนี้ของเจียงอี้กับทหารผู้นั้น ฝีมือของเจียงอี้ยังไม่สามารถประมือกับเขาได้ในตอนนี้

 

ปัง!!

 

ร่างกายของเจียงอี้นั้นลอยขึ้นมาและร่วงทะลุไปที่พื้นอย่างรุนแรง ทำให้เสี่ยวนู๋นั้นโดนลูกหลงไปกับเขาด้วย

 

เจียงอี้รู้สึกเหมือนแขนของเขาไร้ความรู้สึกจากการต่อสู้ และมีบาดแผลฉีกขาดที่หน้าอกด้านซ้าย

 

เจียงอี้พูดพึมพำออกมาอย่างขมขื่น "มันจบแล้ว เสี่ยวนู๋และข้าไม่สามารถที่จะหนีออกไปจากหอนางโลมแห่งนี้ได้ในวันนี้... "

รีวิวผู้อ่าน