px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 15 เจียงเฮิ่นซุ่ย


 


         “นายน้อย ท่านอยู่ที่ไหน?!”
 


         เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายดังขึ้นในขณะที่เจียงอี้ยังคงจดจ่ออยู่กับการฝึกฝน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆและเพิ่งตระหนักได้ว่ารอบด้านนั้นมืดสนิท

 

 

         เป็นเพราะเพ่งสมาธิอยู่กับการปรับแต่งแก่นแท้พลังทำให้เขาหลงลืมเวลาไปเสียสนิท เจียงอี้เปิดประตูห้องปรุงยาและเดินไปยังทางที่เขาได้ยินเสียงเรียกเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว

 

 

         “เสี่ยวนู๋ ข้าอยู่ทางนี้!”


         ในความมืดมิดของยามราตรี เจียงอี้มองเห็นร่างอันผอมบางและดูอ่อนแอกำลังตะโกนเรียกหาเขาด้วยความกังวล

 

        

         ทันใดนั้นเองหัวใจของเขาก็บังเกิดความรู้สึกผิดและเจ็บปวด โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เขาก็รีบวิ่งตรงไปหาเสี่ยวนู๋ในทันที



         เจียงเสี่ยวนู๋ที่อยู่ในชุดสาวใช้สีขาวที่ดูหลวมๆ เมื่อนางได้ยินเสียงตอบกลับของเจียงอี้ นางจึงหันไปทางต้นเสียงและยิ้มออกมา

 

        

         “นายน้อย ในที่สุดข้าก็เจอท่านเสียที! ข้าเป็นห่วงแทบแย่”
 


         “มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงกัน? สาวน้อย นายน้อยของเจ้าเพียงแค่วุ่นอยู่กับการปรับแต่งแก่นแท้พลังจนหลงลืมเวลาไปก็เท่านั้น”เ

 

 

         เจียงอี้กุมมือของเจียงเสี่ยวนู๋ไว้อย่างอ่อนโยน แต่ภายในใจของเขาก็ยังหลงเหลือความรู้สึกผิด
 


         แต่ในขณะนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนที่จะยิ้มกว้างและกล่าว

 

 

         “เสี่ยวนู๋ กลับบ้านกันเถอะ ข้ามีของดีจะแสดงให้เจ้าดูและยังมีข่าวดีที่จะบอกเจ้าด้วย”
 


         “เยี่ยม!” เจียงเสี่ยวนู๋ไม่เคยตั้งคำถามกับคำพูดของเจียงอี้ นางยังคงยิ้มอย่างไร้เดียงสาและเดินตามเขากลับบ้านอย่างว่าง่าย

 


         …..


         “นายน้อย นี่มันคือตำลึงทองอย่างนั้นหรือ? นี่… ข้าคงไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่? แล้วเรื่องที่ส่วนหนึ่งของผนึกถูกทำลาย… มันคือเรื่องจริงหรือเจ้าคะ?”

 


         ณ ลานเล็กๆของตำหนักตะวันตก เจียงอี้กำลังทานอาหารอย่างมูมมามในขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋นั่งอยู่ไม่ไกลและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

 

 

         ในมือของนางปรากฏแผ่นทองคำเล็กๆซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับ นางยังคงรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน
 


         เจียงอี้กลืนข้าวคำสุดท้ายและเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ
 


         เขาหันมาเพื่อดึงจมูกเจียงเสี่ยวนู๋ด้วยความเอ็นดูและหัวเราะ

 

 

         “สาวน้อย ครั้งต่อไปพวกเราจะได้รับตำลึงทองมากขึ้นและพลังของข้าเองก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน จะไม่มีใครกล้ารังแกพวกเราอีกต่อไป”


         “เจ้าค่ะ นายน้อยของข้าดีที่สุดอยู่แล้ว! ข้าเชื่อว่าท่านทำได้อย่างแน่นอน!”

 


         เจียงเสี่ยวนู๋ยิ้มอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของนางแต่งแต้มไปด้วยความเคารพและเชื่อมั่น
 


         นางคืนเงินตำลึงทองให้กับเจียงอี้และกล่าว

        

 

         “นายน้อย ข้าคิดว่าท่านควรจะเก็บมันไว้ หากข้าถือมันนานกว่านี้ ข้ากลัวว่าตัวเองจะฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ โอ้ใช่แล้ว… แล้วท่านทำอย่างไรถึงได้ทำลายผนึกได้เจ้าคะ?”
 


         “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลหรือคิดถึงเรื่องนั้นหรอก นอกจากนี้อย่าได้บอกใคร เจ้าเพียงแค่รอช่วงเวลาดีๆที่จะมาถึงก็พอ”
 


         เจียงอี้เก็บตำลึงทองลงไปโดยไม่คิดที่จะอธิบายเพิ่มเติม เพราะไม่ว่ายังไงเจียงเสี่ยวนู๋ก็ไม่เข้าใจการปรับแต่งแก่นแท้พลัง ดังนั้นนางก็คงจะไม่เข้าใจแม้ว่าเขาจะอธิบายก็ตาม

 

         เจียงเสี่ยวนู๋ยิ้ม เจียงอี้ลูบหัวของนางอย่างเอ็นดู จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้องและเริ่มนั่งสมาธิ
 


         เขาต้องการที่จะใช้ทุกวินาทีในการบ่มเพาะพลังและปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าจะสามารถทำลายตราประทับทั้งหมดได้ในวันหนึ่ง

 

 

         เขาต้องการที่จะพิสูจน์ว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาจะรวดเร็วกว่าคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเจียง,เจียงเฮิ่นซุ่ย อย่างที่ผู้อาวุโสใหญ่คาดการณ์ไว้หรือไม่?
 


         ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเขาจะบ่มเพาะพลังได้เร็วกว่าเจียงเฮิ่นซุ่ย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เจียงอี้ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถหยิบยืมพลังของแก่นแท้พลังสีดำเพื่อทำให้ความสามารถของเขารุดหน้าขึ้นไปได้อีกขั้น
 


         “หึ! สามเดือน! เพียงแค่สามเดือน ข้าจะทำให้ตระกูลเจียงหันกลับมาให้ความสนใจข้า! แต่น่าเสียดาย… ที่ท่านปู่ไม่ได้อยู่เห็นข้าในตอนนี้!”



         เจียงอี้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ต้องการที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป จากนั้นก็มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังการบ่มเพาะบทสวดนิรนามเพื่อเพิ่มจำนวนแก่นแท้พลังสีดำ
 


         ในเวลาเที่ยงคืน เขาสร้างแก่นแท้พลังสีดำออกมาได้ถึงสิบเส้น จากนั้นเขาก็ย้ายพวกมันไปยังด้านนอกของตันเทียนและเริ่มการย่อยสลายอักขระที่อยู่บนตัวผนึก กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น

 

 

         สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ประหลาดใจและยินดีก็คือเมื่อตัวอักขระทั้งสิบหายไป ความเร็วในการควบกลั่นแก่นแท้พลังโดยใช้วรยุทธวารีตระกูลเจียงก็เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสามเท่า!
 


         เขาตัดสินใจที่จะไม่นอนทั้งคืน เมื่อรุ่งสางมาถึง เจียงอี้ก็รีบทานอาหารก่อนที่จะวิ่งไปยังห้องปรุงยาในทันที

 

 

         เขาลืมทบทวน “บันทึกสมุนไพร” เมื่อวาน หากว่าผู้เฒ่าหลิ่วต้องการที่จะกลั่นเม็ดยาตัวอื่นและต้องการสมุนไพร หากความเร็วในการจัดหาสมุนไพรของเขายังคงเชื่องช้า มีหวังถูกดุอย่างแน่นอน

        

         แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน แต่เขาก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงในการจดจำข้อมูลทั้งหมดในบันทึกสมุนไพร

 

 

         แม้กระทั่งการระบุชนิดของสมุนไพรที่อยู่ในห้องเก็บสมุนไพรเขาก็คาดว่าจะทำได้
 


         ตอนนี้มันก็สายมากแล้ว แต่ผู้เฒ่าหลิ่วก็ยังไม่ปรากฏตัว เจียงอี้เลือกที่จะไม่สนใจ เขาหันมาสนใจการบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำเพื่อทำลายอักขระที่อยู่บนผนึกอีกครั้ง
 


         ถึงอย่างนั้นผู้เฒ่าหลิ่วก็ไม่ปรากฏตัวเลยตลอดทั้งวันซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเจียงอี้อยู่ไม่น้อย เป็นไปได้ไหมว่าชายชรากำลังหมกตัวอยู่กับการทดลอง?

 

 

         อย่างไรก็ตาม การที่ไม่มีผู้เฒ่าหลิ่วอยู่ใกล้ๆ เจียงอี้ก็สามารถเพ่งสมาธิไปยังการบ่มเพาะพลังได้ ตอนนี้เขากำจัดอักขระไปแล้วถึงยี่สิบตัวและทำให้ความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธวารีตระกูลเจียงรุดหน้าขึ้นอีกครั้ง

 

        

         วันต่อมาเจียงอี้ก็ฝึกฝนตลอดทั้งวันโดยไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เฒ่าหลิ่ว เขามีลางสังหรณ์ถึงลางร้ายบางอย่าง แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะไปเยี่ยมผู้เฒ่าหลิ่ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับบ้าน
 


         หากผู้เฒ่าหลิ่วหยุดกลั่นเม็ดยา เขาก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งเม็ดยาที่ถูกโละทิ้งอีกต่อไป นั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่มีเม็ดยาที่จะให้แก่นแท้พลังสีดำปรับแต่ง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดปรุงยาด้วยตัวเอง
 

 

         ในวันนี้ที่สามผู้เฒ่าหลิ่วก็ยังไม่ปรากฏตัวอีกเช่นเคย แต่กลับเป็นแขกพิเศษที่มาเยือนห้องปรุงยาแทน
 


         หนึ่งในนั้นสวมชุดแต่งกายสีขาวราวกับหิมะ คิ้วของเขาดูเรียวคมคล้ายกับดาบพร้อมกับมุมปากที่ปรากฏรอยยิ้มจางๆ
 


         “เจียงเฮิ่นซุ่ย!”

 


         เจียงอี้เพิ่งมองไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้า ม่านตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเศร้าสร้อยเล็กน้อย ชายคนนี้มีสถานะเหมือนกับเขาในอดีตซึ่งก็คืออัจฉริยะฟ้าประทานและเป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลเจียง
 


         ชายคนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอัจฉริยะของตระกูลเจียงแต่ชื่อเสียงของเขายังดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองเที่ยนอวี่ ในเวลานี้สีหน้าของเจียงอี้เต็มไปด้วยความอึดอัด ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
 


         ดวงตาของชายหนุ่มจ้องมายังเจียงอี้ด้วยความซับซ้อน หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็เอ่ยขึ้นมา

 

 

         “เจ้า… เจ้าคือเจียงอี้?”
 


         เจียงอี้ยิ้มด้วยความขมขื่นขณะที่นึกย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็ก พวกเขาทั้งสองนั้นเคยฝึกฝนวรยุทธร่วมกัน ในตอนนั้นเจียงเฮิ่นซุ่ยไม่พอใจกับความต่างของพวกเขาแต่ทั้งสองก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นประจำ
 


         ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงถือว่าดีมาก อย่างไรก็ตามเมื่อเรื่องที่ตันเทียนของเจียงอี้ถูกเปิดเผย รวมถึงการหายตัวไปของผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้พวกเขาเหินห่างกันมากขึ้น

 

 

         ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันก็คือเมื่อสองสามปีที่แล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจียงเฮิ่นซุ่ยจะไม่สามารถจดจำเจียงอี้ได้ในทันที
 


         โดยปกติเมื่อเจียงอี้เห็นเจียงเฮิ่นซุ่ย เขาก็จะพยายามหลบหน้าอีกฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดใจ แต่ในตอนนี้เมื่อพวกเขากำลังเผชิญหน้ากัน เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฝืนยิ้มและทักทายอีกฝ่าย

 

        

          “เฮิ่นซุ่ย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...”
 


         “หึ่ม!”
 


         แต่จู่ๆเสียงที่เค้นออกมาจากลำคอด้วยความเย็นชาก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ ตามมาด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
 


         “เจียงอี้! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าเรียกนายน้อยด้วยชื่อ?! เจ้ามีสิทธิอะไรห๊ะ ไอโง่!”
 

         ความสนใจของเจียงอี้ทั้งหมดถูกดึงดูดโดยเจียงเฮิ่นซุ่ยดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตชายอีกคนที่ตามมา
 


         เจียงหยูหู่!
 


         ความคิดของเขาแล่นอย่างรวดเร็วขณะกำลังคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้น เจียงอี้เดาว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ออกไปจากลานส่วนกลางในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้เจียงหยูหู่ไม่สามารถที่จะเล่นงานเขาได้

 

 

         ดังนั้นเจียงหยูหู่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชิญชวนให้เจียงเฮิ่นซุ่ยมากที่ห้องปรุงยากับเขา
 


         เนื่องจากมีเจียงเฮิ่นซุ่ยอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเขาจะลงมือทำร้ายเจียงอี้ แต่คาดว่าตำหนักลงทัณฑ์ก็จะต้องไว้หน้าเจียงเฮิ่นซุ่ยบ้าง บางทีพวกเขาอาจจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ..
 


         เมื่อเจียงอี้คาดเดาจุดประสงค์ของเจียงหยูหู่ได้แล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะยอมให้อีกฝ่ายสมปรารถนา?

 

 

         แต่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำเพื่อลบอักขระที่อยู่บนตราและแทบจะไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธวารีตระกูลเจียง



         ด้วยพละกำลังของผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่ง หากต้องสู้กับเจียงหยูหู่ขึ้นมาจริงๆก็คงมีเพียงความพ่ายแพ้เท่านั้นที่รออยู่
 


         เจียงอี้ถอนหายใจ ยิ่งเมื่อเขาเห็นหน้าของเจียงเฮิ่นซุ่ยเปลี่ยนสีเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไรเพื่อห้ามปรามเจียงหยูหู่ที่กำลังเยาะเย้ยเขา มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
 


         ดูเหมือนว่ามิตรภาพที่พวกเขาเคยมีให้กันในวัยเด็กจะหายไปอย่างสมบูรณ์ เจียงอี้ยิ้มออกมาด้วยความเย้ยหยันตัวเอง จากนั้นเขาก็กุมมือและโค้งคำนับ

 

 

         “เจียงอี้ขอคารวะนายน้อย”
 


         “โอ้?”
 


         เจียงเฮิ่นซุ่ยไม่คาดว่าการแสดงออกของเจียงอี้จะเปลี่ยนไปไวเช่นนี้ ความจริงเขาก็ไม่คุ้นเคยกับมันเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรในขณะที่มองเจียงหยูหู่ที่อยู่ด้านหลัง
 


         เขาโบกมือเล็กน้อยและกล่าว

 

         “เจียงอี้ เจ้าทำงานอยู่ในห้องปรุงยาแห่งนี้อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยข้าหาเม็ดยาวิญญาณสักร้อยเม็ดได้หรือไม่? ข้ากำลังจะเข้าไปเก็บตัวในโถงวรยุทธเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้า”
 


         โถงวรยุทธ? ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เก้า?
 


         รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของเจียงอี้อีกครั้ง สมแล้วที่เจียงเฮิ่นซุ่ยถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน เขาถึงกับมีสิทธิที่จะปิดด่านฝึกตนอยู่ในโถงวรยุทธ
 


         ยิ่งไปกว่านั้น เขามีอายุมากกว่าเจียงอี้เพียงแค่สามเดือน แต่ถึงกระนั้นเขาก็กำลังจะก้าวไปสู่ขั้นที่เก้าของขอบเขตฉูติ่งแล้ว!

 

 

         จำนวนของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่บรรลุขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดทั้งที่อายุยังน้อยในเมืองเทียนอวี่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียว
 


         โถงวรยุทธไม่ใช่ตำหนักฝึกของตระกูลเจียง แต่เป็นสถานที่ลับภายในเมืองเทียนอวี่
 


         ตามตำนาน ใครก็ตามที่ได้เก็บตัวอยู่ที่นั่น ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
 


         นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย เช่นห้องฝึกฝน ห้องฝึกทักษะ ปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนผู้ซึ่งสามารถชี้แนะการฝึกได้
 


         ในระยะสั้น มันคือสวรรค์ของผู้ฝึกวรยุทธ เจียงอี้เคยได้ยินเกี่ยวกับโถงวรยุทธมานานแล้ว แต่เขาสามารถมองเห็นมันได้จากระยะไกลเท่านั้น เนื่องจากค่าเข้าโถงวรยุทขั้นต่ำคือตำลึงทอง…
 


         “เจ้ายังยืนเซ่ออยู่ทำไม? ยังไม่รับไปอีก ห๊ะ! เจ้าคนไร้ประโยชน์! เจ้ากำลังทำให้นายน้อยเสียเวลา รู้ตัวหรือไม่?!”
 


         เจียงอี้เหม่อลอยไปชั่วครู่ก่อนที่จะถูกเจียงหยูหู่ตะคอกใส่อีกครั้ง

 

 

         ในความเป็นจริง ในวันนี้เจียงหยูหู่มีจุดประสงค์เพื่อที่จะหาโอกาสสั่งสอนเจียงอี้ แต่เมื่อเจียงอี้เมินเฉยต่อคำยั่วยุของเขา มันก็ยิ่งทำให้โทสะของเขาปะทุออกมา เขาไม่ยอมรามือง่ายๆดังนั้นจึงได้เริ่มยั่วยุเจียงอี้อีกครั้ง
 


         เจียงอี้เพียงแค่ยิ้มอย่างเบื่อหน่ายออกมา แต่ความจริงแล้วภายในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและเกลียดชัง
 


         “ผู้เฒ่าหลิ่วได้บอกกับข้าไว้ว่าช่วงนี้จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้นำเม็ดยาออกไปทั้งนั้น เจียงหยูหู่ หากเจ้ายังดึงดันที่จะเอา เช่นนั้นก็เชิญไปเอาด้วยตัวเอง แต่ข้าไม่อาจช่วยพวกเจ้าได้”
 


         แม้จะอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน แต่เจียงหยูหู่ก็มีรูปร่างอ้วนท้วนกว่าเจียงอี้หลายเท่า เขาตกอยู่ในความเงียบและเริ่มตระหนักถึงอารมณ์อันแปรปรวนของผู้เฒ่าหลิ่ว

 

 

         หากเขากล้านำเม็ดยาออกไปด้วยตัวเอง เขาจะต้องเผชิญหน้ากับโทสะของท่านผู้เฒ่าอย่างแน่นอน แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่อาจที่จะปกป้องเขาได้…

 

        
         เจียงเฮิ่นซุ่ยเหลือบมองเจียงหยูหู่ก่อนที่จะกล่าวอย่างไม่แยแส

 

 

         “ข้าจะนำมันพวกมันออกไป เจียงอี้ เจ้าสามารถบอกท่านผู้เฒ่าหลิ่วได้เลยว่าข้าเป็นคนทำ ข้าจำเป็นต้องรีบไปโถงวรยุทธ!”
 


         เมื่อกล่าวจบ เจียงเฮิ่นซุ่ยก็เดินเข้าไปในห้องเก็บเม็ดยาและหยิบขวดยาขนาดใหญ่หลายขวดก่อนที่จะจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเจียงอี้ ราวกับว่าพวกเขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปโดยสมบูรณ์
 


         เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เจียงหยูหู่ก็เดินมาที่ด้านหน้าเจียงอี้และส่งเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ

 

 

         “ฮ่าๆ เจียงอี้! แน่จริงเจ้าก็อยู่ในห้องปรุงยาแห่งนี้ไปให้ได้ตลอด หากเจ้ากล้าก้าวเท้าออกไปจากบริเวณนี้… ข้าจะทำให้เจ้าต้องคลานเหมือนหมา!”
 


         เจียงอี้เพียงหัวเราะเบาๆ

 

 

         “สิบวันหลังจากนี้ ช่วงบ่าย ข้าจะออกไปทางประตูตะวันตกของตำหนักตระกูลเจียง แถวนั้นมีตรอกเล็กๆอยู่ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น อย่าได้มาสายเสียล่ะ”

        

         “หืม?”
 


         เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเจียงอี้ยังคงอยู่ในความสงบและเดินกลับเข้าไปในห้องปรุงยาอย่างไม่รีบร้อน เจียงหยูหู่ก็ตกอยู่ในความสับสนในทันที
 


         นี่คือไอเศษขยะไร้ค่าที่พวกเขาชอบกลั่นแกล้งในอดีตเช่นนั้นหรือ? ทำไมเขาถึงมีลางสังหรณ์ว่าการปรากฏตัวของเจียงอี้ในครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปตลอดกาล… แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?
 


         “ผิด! ความรู้สึกของข้าต้องผิดพลาดแน่ๆ! ใช่แล้ว… มันจะต้องแกล้งทำเป็นกล้าหาญแน่ๆ ไอ้ขยะเอ้ย!”
 


         เมื่อคิดได้เช่นนั้นเจียงหยูหู่ก็หัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา

 

 

         “ดี ดีมาก! ข้าจะไปแน่นอน! สิบวันหลังจากนั้น ข้าจะทำให้เจ้าอับอายและเสียใจที่กล้ามาท้าทายข้า!”
 


         เมื่อกล่าวจบ เขาก็รีบวิ่งตามเจียงเฮิ่นซุ่ยผู้ซึ่งเดินจากไปไกลแล้ว
 


         สิบวัน!
 


         เมื่อร่างของเจียงหยูหู่หายลับไปแล้ว เจียงอี้ก็เดินออกมาจากห้องปรุงยา ใบหน้าของเขายังคงไว้ด้วยความสงบ แต่ภายในดวงตานั้นกลับแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง
 


         ในสิบวัน เขามีความมั่นใจว่าจะสามารถทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองได้อย่างแน่นอน ในตอนนั้น หากเจียงหยูหู่กล้าที่จะปรากฏตัวออกมา มันก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นใครกันแน่ที่ต้องคลานเหมือนหมาขี้เรื้อน…
 


         หลังจากลงบัญชีสำหรับเม็ดยาในห้องเก็บเม็ดยาและยืนยันแล้วว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยนำเม็ดยาวิญญาณออกไปหนึ่งร้อยเม็ด เจียงอี้ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกลับไปบ่มเพาะพลังต่อ

        

         อย่างไรก็ตาม…
 


         เพียงหนึ่งชั่วโมงต่อมาในขณะที่กำลังบ่มเพาะพลัง เจียงอี้ก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

 

 

         เสียงเคาะระฆังดังขึ้นมาภายในลานส่วนกลาง มันเป็นเสียงที่จะได้ยินก็ต่อเมื่อเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นและมันจะดังก็ต่อเมื่อมีบุคคลสำคัญของตระกูลถึงแก่ความตาย
 


         มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งตระกูลเจียงว่าหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งสิบของตระกูล ผู้เฒ่าหลิ่ว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
 


         เมื่อทราบข่าว เจียงอี้ก็ตกอยู่ในความตกตะลึงโดยสมบูรณ์ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล

 

        

         มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมผู้เฒ่าหลิ่วถึงได้เสียชีวิตกะทันหัน ท่านผู้เฒ่าเป็นหนึ่งในผู้ที่หมกมุ่นและเสพติดการปรุงยา
 


         ในขณะที่ผู้เฒ่าหลิ่วไม่สามารถระบุตัวตนของส่วนผสมลึกลับที่อยู่ในเม็ดยาระดับพิภพนั้นได้ เขาใช้เวลาหลายวันในการค้นคว้าโดยไม่หยุดพักและเป็นผลให้เสียชีวิตจากการใช้แรงมากเกินไป…
 


         ไม่นะ!
 

 

         เจียงอี้ประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาซีดขาวลงด้วยความหวาดกลัว หากท่านผู้เฒ่าหลิ่วตาย ก็หมายความว่าเขาจะไม่มีเม็ดยาให้ใช้อีกต่อไป แล้วทีนี้เขาจะใช้เม็ดยาที่ไหนในการปรับแต่ง? แล้วแบบนี้เขาจะหาเงินมาชำระหนี้ได้ยังไง?!

รีวิวผู้อ่าน