px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 17 คู่ซ้อมประลองระดับป้ายทอง


เมื่อเจียงอี้พูดจบ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที เขาลืมสิ่งหนึ่งไป ไม่ใช่ว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยอยู่ในโถงวรยุทธหรอกหรือ?

 

หากเขาถูกจับคู่กับเจียงเฮิ่นซุ่ย มันจะไม่เป็นการเปิดเผยตัวตนของเขาทันทีหรือ? ลูกหลานของตระกูลเจียงที่มาเป็นคู่ซ้อมประลองยุทธในโถงวรยุทธ ... มันไม่ใช่สิ่งที่น่ายกย่องเลย ...

 

อย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป หนึ่งในทหารยามที่สวมชุดเกราะสีดำที่ประตูคว้าแขนของเขาทันทีและพาเขาเข้าไปในห้องอย่างกระตือรือร้น

 

ขณะที่พวกเขาเดินไปทหารยามก็ปลอบใจเขาด้วยการพูดว่า "ไม่ต้องกังวล โถงวรยุทธจะไม่ยอมให้ใครถูกซ้อมจนตาย แม้กระทั่งเจ้าเพียงได้รับบาดเจ็บระหว่างเป็นคู่ซ้อม ทางโถงวรยุทธจะเตรียมเม็ดยาไว้รักษาบาดแผลของเจ้า"

 

เจียงอี้คิดกับตัวเองว่ามีบางสิ่งผิดปกติ มีนายน้อยและคุณหนูมากมายขนาดไหนที่โถงวรยุทธ? เป็นไปได้หรือ..ว่าที่นี่จะขาดคู่ซ้อมประลองยุทธได้?

 

ไม่น่าเชื่อว่าในเวลานี้ คำว่า “ขอทานย่อมไม่มีทางเลือก” สามารถบอกเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี แม้แต่เจียงอี้ที่มีระดับพลังของเขาเพียงแค่ระดับแรกของขอบเขตฉูติ่งยังสามารถสมัครเป็นคู่ซ้อมได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเหล่าทหารยามยังกลัวว่าเจียงอี้จะตัดสินใจที่จะเลิกเข้ามาเป็นคู่ซ้อมที่โถงวรยุทธ

 

เมื่อเข้าสู่ภายในโถงวรยุทธ เจียงอี้เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้องแน่ๆ บรรยากาศภายในนั้นสดชื่น สะอาด และมีกลิ่นที่ดีกว่าอากาศภายนอก เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในที่เงียบและนั่งสมาธิเพื่อที่จะรู้ว่าสวรรค์บนดินแห่งนี้มีความแข็งแรงและมีอานุภาพมากเพียงใด ซึ่งทำให้ความเร็วของการฝึกฝนของทุกคนในโถงวรยุทธนี้สามารถฝึกฝนได้เร็วกว่าภายนอกมาก

 

สิ่งที่ทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายคือหลังจากที่เขาได้ติดตามทหารยามไป ทุกสิ่งที่เขาเห็นคือห้องโถงกลางที่กว้างขวางและว่างเปล่าและไม่มีคนอยู่ข้างใน เจียงอี้ลดเสื้อคลุมของเขาลงเล็กน้อยในขณะที่ภาวนาอย่างเงียบๆว่าเขาจะไม่พบกับเจียงเฮิ่นซุ่ยที่นี่

 

ทั้งสามด้านที่อยู่ในโถงกลางมีทางเดินหลายทางแยกไปอีก

 

ทหารยามหุ้มชุดเกราะสีดำพาเจียงอี้เดินไปทางด้านซ้ายมือ “ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือเดินไปตามทางเดินนี้และเดินเข้าไปในอาคาร ไปหาผู้ดูแลหยาง; เขาจะจัดระดับของเจ้าให้อย่างเหมาะสม”

 

เจียงอี้หยุดคิดครู่หนึ่ง เขาถามอย่างลังเลว่า“ ข้าจะออกไปได้ตลอดเวลาที่ต้องการหรือไม่?”

 

“แน่นอน!” ทหารยามหุ้มชุดเกราะสีดำกล่าวอีกว่า “ เจ้าได้รับอนุญาตให้ออกเมื่อใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะคู่ซ้อมประลองยุทธจนกว่าท้องฟ้าจะมืด เจ้าจะไม่ได้รับเงินใดๆทั้งนั้น”

 

“เอาล่ะ!”

 

เจียงอี้พยักหน้าของเขา เนื่องจากเขาเข้ามาแล้วเขาก็ควรทำให้ดีที่สุด โดยปกติแล้วเขาไม่เคยมีโอกาสเข้าสู่สถานที่ระดับสูงที่ซึ่งเด็กๆของครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจมาเล่น ที่นี่ก็ถือเป็นการดีที่จะได้เปิดหูเปิดตา

 

ทหารยามหุ้มชุดเกราะสีดำรอให้เจียงอี้เดินเข้าไปภายในของอาคารก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ราวกับว่าเขาโล่งใจจากภาระอันหนักหน่วง เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในที่สุดข้าก็หาได้คนนึง เมื่อสำนักจิตอสูรเริ่มรับสมัครลูกศิษย์ เพื่อที่เหล่าบรรดานายน้อยและคุณหนูในเมืองเทียนอวี่จะได้ฝึกฝนวรยุทธและบ่มเพาะพลังของพวกเขาได้อย่างไม่สิ้นสุด”

 

“ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเราจะหาคู่ซ้อมได้นับร้อย แต่ก็คงไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของพวกเขา!”

 

“ เด็กชายผู้นี้มีระดับพลังเพียงขั้นที่หนึ่งของขอบเขตฉูติ่ง ใครจะรู้ว่าเขาจะสามารถอยู่ได้นานเท่าไหร่ ข้าหวังว่าเขาจะไม่คลานออกมาภายในหนึ่งชั่วโมงแรกนะ…”

 

เจียงอี้เดินผ่านทางเดินเข้ามาภายในห้องโถงขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว มีคนเจ็ดหรือแปดคนนั่งสมาธิอยู่ตรงกลางห้องโถงใหญ่

 

พวกเขาทุกคนสวมหน้ากากสัตว์ป่าสีทองแดงอมเขียว โดยหลายคนมีอาการบาดเจ็บที่เห็นได้ชัดเจนตามร่างกายและแขนของพวกเขาและบางคนถึงกับเสื้อผ้าฉีกขาด นอกจากนี้ยังมีห้องเล็กๆหลายแห่งรอบห้องโถงใหญ่ ซึ่งได้ยินเสียงของการต่อสู้ที่มาจากห้องเหล่านี้มากกว่าสิบห้อง

 

ดูเหมือนว่าที่นี่คือสถานที่ที่เป็นของคู่ซ้อม ห้องเล็กๆนี้เป็นห้องฝึกฝนหรือไม่นะ? แน่นอนว่าจะต้องมีห้องอย่างน้อยยี่สิบห้องที่นี่ใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจที่คู่ซ้อมที่มีอยู่ไม่เพียงพอ

 

ในขณะที่เจียงอี้กำลังไตร่ตรองสถานการณ์ของเขา ชายชราสวมเสื้อคลุมสีดำและผู้ดูแลก็ได้เดินเข้ามาหาเขา

 

เขาเหลือบมองและมอบหน้ากากหมาป่าที่ทำจากทองแดงและกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็นว่า "สวมหน้ากากซะ ชื่อลับของเจ้าคือ 'หมาป่าเดียวดาย' ข้าจะใช้ชื่อนี้เรียกเจ้าเพื่อลงสนามประลอง"

 

“เจ้าเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดง วันทำงานของคู่ซ้อมจะถูกนับถ้าเข้าทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ อัตรารายวันคือหนึ่งตำลึงเงิน หากเจ้าลาออกไปกลางคันเจ้าก็จะไม่ได้รับเงินเลย”

 

เจียงอี้รับหน้ากากมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก เขาพึมพำกับตัวเองว่าเขานั้นคงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อคลุมอีกต่อไป

 

เขารีบสวมหน้ากากทองแดงและรัดเชือกไว้หลังหัวของเขา อย่างไรก็ตามในใจของเขา เขาคิดว่าการที่ต้องมีคู่ซ้อมที่สวมหน้ากากรูปสัตว์นั้นค่อนข้างแปลก

 

มันไม่ได้เป็นการกระตุ้นการต่อสู้แก่นายน้อยและคุณหนูพวกนั้นหรอกหรือ? ด้วยหน้ากากเหล่านี้ พวกเขามีแนวโน้มว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อคู่ซ้อมของพวกเขาเยี่ยงสัตว์ร้ายและเอาชนะคู่ซ้อมอย่างดุเดือด!

 

ในขณะที่เจียงอี้กำลังตั้งคำถามสองสามข้อภายในใจเกี่ยวกับกฎต่างๆ เสียงฝีเท้าได้ดังขึ้นมาจากทางเดินด้านหลังเขา ผู้ดูแลเปลี่ยนสีหน้าเป็นการยิ้มแย้มในทันที

 

คนที่มาถึงคือเด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีแดงเพลิง พร้อมความหยิ่งผยองบนใบหน้าของนางและรูปลักษณ์ที่ดีในระดับปานกลาง นางดูด้อยกว่าเมื่อเทียบกับจีทิงยวี่ อย่างไรก็ตามในขณะที่นางกอดอกขณะที่สวมเสื้อคลุมศิลปะการต่อสู้ทำให้รูปร่างของนางปรากฏให้เห็น ทำให้นางดูน่ามอง

 

เด็กสาวกวาดสายตาไปที่เจียงอี้และบุคคลอื่นๆ นางค่อนข้างไม่พอใจและพูดว่า“ ผู้ดูแลหยางทำไมจึงไม่มีคู่ซ้อมระดับป้ายเงิน ทำไมพวกเขาถึงเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดงทั้งหมด?”

 

ผู้ดูแลอาวุโสยิ้มและตอบกลับอย่างรวดเร็ว“คุณหนูอี้ พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับคู่ต่อสู้คนอื่นๆอยู่ ทำไมท่านไม่รออีกสักหน่อยล่ะขอรับ”

 

“ ข้าจะไม่รออีกต่อไป ข้าจะต่อสู้กับพวกเขาก่อนแล้วกัน ข้าต้องเสียตำลึงทองเพื่ออยู่ต่อที่โถงวรยุทธของเจ้า ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเล่นนะ” เด็กสาวตะคอกอย่างเย็นชาสองครั้งก่อนที่จะเลี้ยวและเดินเข้าไปในสนามประลองห้องหนึ่ง

 

ผู้ดูแลหยางรีบตะโกนไปที่กลุ่มบุคคลที่มุมห้องที่เจียงอี้อยู่ "หมูป่า! ถึงเวลาต่อสู้แล้ว ลงสนามประลองได้! "

 

จอมยุทธที่สวมหน้ากากหมูป่าลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินไปที่สนามประลองห้องนั้น ไม่นานก่อนที่ประตูห้องจะปิดสนิท เสียงของการต่อสู้และเสียงที่ละเอียดอ่อนของเด็กสาวดังลั่นดังออกมาจากข้างใน

 

“อ่า…อ๊า!”

 

มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกมา “หมูป่า” เดินโซเซออกมา หน้ากากของเขาห้อยจากคอเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดสด เงาของ คุณหนูอี้ปรากฏขึ้นที่ประตู

 

นางพูดจาเย้ยหยันกับผู้ดูแลหยางอย่างเย็นชาและพูดว่า“ ผู้ดูแลหยาง ทำไมความแข็งแกร่งของคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดงช่างอ่อนแอเช่นนี้ เอามาให้ข้าอีกคน”

 

ไม่นะ…

 

เจียงอี้มองอย่างเห็นอกเห็นใจกับหน้ากากหมูป่าที่พึ่งถูกซ้อมกลับมา ชายคนนี้เป็นเพียงขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง เห็นได้ชัดว่าคุณหนูอี้มีระดับพลังงานน้อยที่สุดในขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง แม้ว่าแก่นแท้พลังของทั้งสองฝ่ายจะถูกผนึก แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ทันได้แข่งขันกันอย่างสมบูรณ์เลย

 

“หมีแดง ถึงเวลาสำหรับการต่อสู้แล้ว!” ผู้ดูแลหยางถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์เพราะเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชิญคู่ซ้อมเพื่อออกไปต่อสู้ ในขณะนี้คู่ซ้อมระดับป้ายเงินทุกคน ยังอยู่ในสนามประลองห้องอื่นๆ เช่นนี้เขาทำได้เพียงหาคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดงเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างในเวลานี้ก่อน

 

ปัง!

 

ไม่นานก่อนที่ประตูจะเปิดอีกครั้งในขณะที่จอมยุทธผู้สวมหน้ากากหมีแดงถูกเตะส่งออกมา ตามด้วยเสียงเยือกเย็นของคุณหนูอี้ “เปลี่ยนคู่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

 

เห้อ…การเป็นคู่ซ้อมการประลองนี้ไม่ใช่งานที่มนุษย์ควรทำ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงยังมีปัญหาการขาดแคลนคู่ซ้อม แม้จะมีข้อเสนอที่มีค่าตอบแทนสูง นายน้อยและคุณหนูเหล่านี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อคู่ซ้อมของพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์เลย

 

เจียงอี้ถอนหายใจอย่างเงียบๆกับตัวเอง อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่ส่งเสียงอึกทึก เขาหันหัวของเขาไปรอบ ๆ คู่ซ้อมที่เหลือทั้งหมดถอยห่างออกไปหลายเมตร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ต้องการเข้าร่วมการต่อสู้และโดนดูถูกอีก...

 

การจัดการกับความน่าปวดหัวนี้ ผู้ดูแลหยางมองไปที่กลุ่มคู่ซ้อมซึ่งทุกคนเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บก่อนที่จะได้พักมาจากสนามประลองอื่นๆแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีคู่ซ้อมระดับป้ายเงินออกมาจากห้องไหนเลย เขาก็ชี้ไปที่เจียงอี้อย่างไร้ประโยชน์และออกคำสั่ง“หมาป่าเดียวดาย ตาเจ้าแล้ว”

 

"ข้าหรอ?"

 

เจียงอี้ตกใจ แต่เมื่อเขานึกขึ้นมาได้ เขาก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่สวมหน้ากากหมาป่าอยู่หรอกหรือ? เขารีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปในสนามประลองห้องนั้น อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจอยู่หน้าประตูที่จะหันหลังกลับมาและมองไปภายในห้อง สิ่งที่เขาเห็นก็คือสายตาของคู่ซ้อมที่เหลือทั้งหมดที่ดูเหมือนจะสังเกตและอยู่อย่างเงียบๆและมองเหมือนเจียงอี้เป็นเพียงของบรรณาการให้แก่คุณหนูอี้

 

ปัง!

 

ไม่นานหลังจากเจียงอี้เข้ามาในห้องแล้วประตูปิดสนิท เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบๆ และเห็นว่าห้องนั้นค่อนข้างกว้างขวางโดยมีไข่มุกราตรีแขวนอยู่รอบมุมทั้งสี่ของห้อง นี่เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการฝึกฝน

 

ฟึบบ!

 

ทันใดนั้น ผนังภายในห้องก็ปรากฏแสงที่น่าทึ่งออกมา เจียงอี้รู้สึกถึงพลังที่คลุมเครือซึ่งดูเหมือนจะจำกัดเขาไว้อย่างแน่นหนา เขาพยายามรีบขยับร่างกาย แต่ก็ไม่พบว่ามันมีอิทธิพลทางกายภาพหรือไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

 

มันเป็นเพียงเมื่อตอนเขาตั้งใจที่จะใช้แก่นแท้พลังของเขา เขาตระหนักได้เลยว่าเขาไม่สามารถไหลเวียนแม้เพียงเศษเสี้ยวของแก่นแท้พลังสีน้ำเงินได้เลย

 

แก่นแท้พลังของข้าถูกผนึกไว้อย่างแน่นอน! ช่างวิเศษเหลือเกิน!

 

เจียงอี้ถอนหายใจอย่างเงียบๆกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่ามีเวทย์มนต์คาถาลึกลับบางอย่างในห้องประลองนี้ สามารถห้ามไม่ให้จอมยุทธใช้แก่นแท้พลังได้

 

ในกรณีที่ไม่มีแก่นแท้พลังให้ใช้ จอมยุทธที่แสวงหาการต่อสู้สามารถพึ่งพาสัญชาตญาณการต่อสู้และความเร็วในการตอบสนองได้อย่างสมบูรณ์รวมถึงทักษะในศิลปะการต่อสู้ ด้วยวิธีนี้ระหว่างการฝึกซ้อม ความเร็วในการตอบโต้ของจอมยุทธและระดับความสามารถจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

 

"ไม่มีทาง!"

 

ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกถึงบางสิ่งและพึมพำกับตัวเองว่ามีบางอย่างผิดปกติ การใช้แก่นแท้พลังสีดำนั้นถูกผนึกด้วยหรือไม่? มันไม่ได้อยู่ในตันเทียนของเขาหรอกหรือ? เนื่องจากแก่นแท้พลังถูกผนึกไว้จากการใช้งาน แก่นแท้พลังสีดำของเขาจะถูกปิดผนึกด้วยเช่นกันหรือไม่นะ?

 

หากไม่มีแก่นแท้พลังสีดำ เขาก็ไม่มีผลลัพธ์อื่นใดนอกจากจบลงในสภาพที่คล้ายคลึงกับคนสองคนก่อนหน้าเขา: คนหนึ่งถูกทุบตีจนเลือดออกและอีกคนถูกเตะปลิวออกไป...

 

“ฮึ่ม! หมัดวายุ รับไปซะ!”

 

คุณหนูอี้ผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก นางรีบพุ่งไปที่เจียงอี้ โดยขาทั้งสองของนางเคลื่อนไหวเร็วราวกับลูกธนูและหมัดทั้งสองของนางพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรงราวกับพายุ

 

"ไม่นะ!"

 

แม้ว่าคุณหนูอี้คนนี้จะไม่ใช้แก่นแท้พลังใดๆเข้าไปในหมัดของนาง แต่ความแข็งแกร่งในการโจมตี กำปั้นของนางนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ในขณะนั้นเจียงอี้ก็ยืนยันได้มากยิ่งขึ้นว่าบุคคลผู้นี้นั้นมีระดับพลังถึงขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง

 

เป็นเวลาหลายปีของการใช้แก่นแท้พลัง ทำให้ร่างกายของนางแข็งแกร่งถึงหนึ่งแรงม้าหรือมากกว่านั้น ความเร็วในการต่อสู้ของนางนั้นเร็วกว่าจอมยุทธผู้ที่เป็นขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง หากไร้แก่นแท้พลัง จุดจบของเจียงอี้ก็คงน่าอนาถเช่นกัน

 

แก่นแท้พลังสีดำ ข้าขอเรียกเจ้า! เจียงอี้ตะโกนเสียงดังในใจ ทำให้ใจของเขาเรียกและรวบรวมแก่นแท้พลังสีดำของเขา

 

สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นและสับสนก็คือแก่นแท้พลังสีดำไหลเวียนออกมาจากตันเทียน ไหลไปยังเส้นลมปราณของเขา

 

เจียงอี้เพลิดเพลินใจเป็นอย่างมาก เขาไม่สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เขารีบลงมือโต้ตอบ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วและควบคุมแก่นแท้พลังสีดำของเขาและถ่ายโอนการไหลของมันไปทางตาซ้าย

 

ไม่นานก่อนที่แสงสีดำจะวาบผ่านเข้ามาในตาของเจียงอี้และหมัดของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังพุ่งผ่านอากาศราวกับพายุ ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างดูชัดเจนและดูเหมือนจะช้าลง

 

โอ้…!

 

สิ่งที่เจียงอี้เห็นก่อนหน้านี้คือเงาหมัดที่พุ่งทะลวงอากาศ แต่ในขณะนี้สิ่งที่เขาสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายคือหมัดสองหมัดที่แท้จริง เท้าของเขาไหลไปตามกระบวนท่าของตระกูลเจียงและถอยกลับไปที่ด้านข้าง

 

"ฮะ?"

 

หมัดวายุของนางโจมตีไม่โดนอะไรนอกจากอากาศรึ? ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของ คุณหนูอี้เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ ซึ่งกลายเป็นความอับอายและความโกรธที่ตามมาในทันที นางแสดงกระบวนท่าหมัดทะลวงอากาศและซ่อนหมัดไว้ในเงาของนางอีกครั้ง

 

ดวงตาของเจียงอี้นั้นเพ่งอยู่กับสองหมัดของนางอย่างจดจ่อ ในขณะที่เขาคำนวณด้วยความเร็วที่รวดเร็วในสมองของเขา ถึงวิถีการโจมตีและความเร็วของฝ่ายตรงข้าม

 

เมื่อเขาคาดการณ์การโจมตีล่วงหน้าแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี เขาถอยกลับไปด้านหลัง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีอะไรไม่ได้ นอกจากอากาศอีกครั้ง

 

“ นี่มันแปลกมาก…ลองนี่!”

 

คุณหนูอี้เริ่มบ้าคลั่งและก้าวเข้ามาใกล้กับเจียงอี้อย่างรวดเร็ว นางพยายามใช้กระบวนท่าการต่อสู้ที่แตกต่างหลากหลาย ขณะที่นางไล่ต้อนเจียงอี้อย่างไม่หยุดยั้งและพยายามโจมตีเขา

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านางจะใช้วิธีการโจมตีแบบใดก็ตาม เจียงอี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวล่วงหน้าไปแล้ว การก้าวของเขาเบาและอ่อนโยนเคลื่อนไหวอย่างไม่เร่งรีบราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นในสวนหลังบ้านของเขา

 

“ อืม…ข้าไม่ต่อสู้แล้ว!”

 

หลังจากนั้นประมาณสามนาทีคุณหนูอี้ก็หยุดการโจมตีเนื่องจากหายใจไม่ทัน  การที่ร่างกายของนางเหงื่อออกอย่างมากมาย เสื้อคลุมสีแดงของคุณหนูอี้เริ่มแนบร่างกายแล้วยิ่งเผยให้เห็นเรือนร่างที่ละเอียดอ่อนและประณีตของนาง เส้นเว้าที่สมบูรณ์แบบของนางช่างเป็นรูปร่างที่น่าตราตรึงยิ่งนัก

 

หากไม่ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากแก่นแท้พลัง และเพิ่งต่อสู้ไปสองรอบของการต่อสู้ ถือว่าน่าทึ่งที่นางยังคงสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน นางใช้แรงเต็มที่ในการชกทุกครั้ง วิธีนี้ใช้พลังงานทางร่างกายของนางมากเกินไปในคราวเดียว

 

นางเดินไปที่ประตู นางกดแผ่นหินที่ยื่นออกมาจากกำแพงข้างประตู ทันใดนั้นห้องฝึกซ้อมก็เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างจ้าเมื่อประตูถูกเปิดขึ้น

 

เจียงอี้เงียบ และเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาอย่างเงียบๆ เขาตระหนักว่าเขาสามารถเรียกแก่นแท้พลังสีน้ำเงินได้อีกครั้งจากตันเทียนของเขาและรู้สึกประหลาดใจอย่างเงียบๆ แก่นแท้พลังสีดำอาจจะไม่ใช่แก่นพลังหรือ? ทำไมพลังของแก่นแท้สีน้ำเงินที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่แก่นแท้พลังสีดำนี้สามารถเคลื่อนที่ได้?

 

เขาตรวจสอบแก่นแท้พลังสีดำสิบเส้นในดันเทียนของเขาและตระหนักได้ว่าเขาเหลือแก่นแท้พลังสีดำเพียงเส้นเดียว เจียงอี้ส่ายหัวและถอนหายใจ ดูเหมือนว่าการเป็นคู่ซ้อมนี้คงไม่เหมาะกับเขา ถ้าคุณหนูอี้คนนั้นอดทนนานกว่านี้อีกนิดและถ้าแก่นแท้พลังสีดำของเขาหมดลง สภาพเดิมของเขาก็จะถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์และเขาจะต้องทนต่อการถูกโจมตี...

 

เขาเดินออกจากห้องประลอง สิ่งที่เขาเห็นก็คือสายตาของคู่ซ้อมที่จ้องมองเขาราวกับว่าพวกเขาเพิ่งเห็นสัตว์ประหลาด เหมือนว่าพวกเขาตกใจจริงๆที่เห็นเจียงอี้เดินออกมาโดยไม่มีอาการบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว

 

สำหรับคุณหนูอี้นั้น…ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

 

“ ผู้ดูแลหยาง เจ้าช่างกล้าจริง ๆ !” นางพูดเสียงดัง “เพียงแค่เจ้าไม่พอใจข้า อี้หลิงเสวี่ยผู้นี้ใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้แกล้งจัดคู่ซ้อมระดับป้ายทองนี่ให้มาเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดง…สนุกมากมั้ยที่เจ้าเล่นตลกกับข้าแบบนี้?”

 

“คู่ซ้อมระดับป้ายทอง?”

 

ผู้ดูแลหยางรู้สึกงุนงง เขามองเจียงอี้ราวกับว่าเขาเห็นผี จอมยุทธผู้นี้อยู่ในขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่ง จะเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองได้อย่างไร หากทุกคนเป็นคู่ซ้อมระดับป้ายทองกันหมด โถงวรยุทธก็คงไม่ต้องจ้างพนักงานใหม่แล้ว...

รีวิวผู้อ่าน