px

เรื่อง : มหายุทธทลายดารา!
MS:บทที่ 2 มันทรงพลังจริงๆนะ!


MS:บทที่ 2 มันทรงพลังจริงๆนะ!

 

คมมีดส่องแสงประกายจ้าดุจหิมะขาว ความหนาวเย็นเข้าปกคลุมจนรู้สึกได้ชัดยามที่มีดกำลังตัดลงไปที่หัวของหลี่มู่

 

“ทำไมถึงเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้นะ? ผมมาจากแดนไกลแท้ๆ...คิดว่าเรื่องที่บอกเป็นเอเลี่ยนนั่นโกหกรึไง!? ผมพิสูจน์ให้ดูได้นะ! ผมพูดภาษาอังกฤษได้ เข้าใจในคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ทักษะคอมพิวเตอร์ของผมอยู่ในระดับ 3 ภาษาอังกฤษระดับ 4 ภาษาญี่ปุ่นที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่ในระดับ 10…ผมมาจากโลกที่มีอารยธรรมอันยาวนาน...เอ่อ...ซัก 5000 ปีได้...ตัวผมน่ะมีค่ามากกว่าของมีค่าอีกนะโว้ยยยยย” หลี่มู่ตะโกนออกไปเสียงดังและขนลุกซู่ เขาถอยหลังเรื่องๆพร้อมกระวนกระวายด้วยท่าทีที่เปี่ยมด้วยความสับสน

 

แต่ใครจะรู้ ว่าหลี่มู่นั้นสามารถหลบคมดาบที่เข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดนั้นได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆที่เขาดูเซ่อซ่าขนาดนั้นแท้ๆ

 

อะไรกันล่ะนั่น?

 

ทำไมเจ้าพวกที่จะเข้ามาฟันทั้งสองคนถึงช้าจังเลย?

 

ฟุบ!

 

แสงสะท้อนจากคมมีดเจิดจรัสและพุ่งตรงเข้ามายังเขาอีกครั้ง

 

คราวนี้หลี่มู่ก็ยังสามารถหลบได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปนะ? ทำไมพวกนั้นถึงสุภาพแบบนี้ ดูสิ มีทำสโลวโมชั่นให้ด้วย? อ้อ ผมมองพวกนายออกแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งเลย บางทีพวกนายก็ไม่ได้จะมาฆ่าผมหลอกใช่ไหมล่ะ แต่พวกนายกำลังแสดงละครอยู่ล่ะสิ?” หลี่มู่รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

 

แต่ทว่านักรบทั้งสองนั้นเปี่ยมไปด้วยความดุร้ายและอาฆาตซึ่งแสดงออกบนใบหน้าอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่การแสดงแน่ๆ 

 

“ว้าว นายน้อย… นายน้อยทรงพลังมากเลยเจ้าค่ะ! เอาเลย! อย่าเอาแต่หลบ แต่สวนกลับไปเลยเจ้าค่ะ! สวนกลับแล้วก็ปราบพวกคนชั่วเลย!” สาวน้อยที่อยู่ข้างๆนั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าที่ตรงนั้นอันตราย เธอทั้งส่งเสียงเชียร์และปรบมืออย่างตื่นตาตื่นใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มที่มากับเธอนั้นดูจะหวาดกลัวเอาเสียมากๆ เขาค่อยๆขยับถอยไปเรื่อยๆและคอยระวังคมดาบกับการโดนเหยียบเท้าไว้ด้วย

 

หลี่มู่หมดคำพูด

 

“ปากดีจังเลยนะยัยตัวเล็ก หืม?”

 

“เจ้าไม่คิดบ้างหรือไงว่าเจ้าควรทำตัวแบบเจ้าหนุ่มข้างๆเจ้าในสถานการณ์แบบนี้น่ะ?”

 

“เด็กก็ยังเป็นเด็กนั่นแหละ หรือไม่จริง?”

 

เสียงหวดลมดังระงมขึ้นอีกครั้ง

 

และเช่นเดิมมันมาพร้อมกับการกวัดแกว่งอาวุธในมือไปในอากาศโดยหาได้โดนหลี่มู่ไม่

 

“โฮ่ยๆ  พวกนายเบื่อหรือยังเนี่ย? พอได้แล้วมั้ง นี่ลองกันมาตั้ง 3 ครั้งแล้วนะ...ใจเย็นแล้วค่อยพูดค่อยจา โอเคไหม?” หลี่มู่เริ่มรู้สึกรำคาญผนวกกับความหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว เขาจึงพูดออกไปเสียงดัง “พวกนายจำผิดจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องยากหากจะยอมรับนะ ผมสามารถท่องตารางธาตุได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงสามารถท่องบทกวีทั้ง 300 บทอันโด่งดังสมัยราชวงศ์ถังได้ด้วย ผมสามารถทำหลายๆอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าผมนั้นเป็นเอเลี่ยน เพราะงั้นหยุด หยุดตรงนั้นแหละ!”

 

ในจังหวะที่หลี่มู่หลบคมดาบนั้น เขาก็จับแขนของนักรบทั้งสองไว้ได้ด้วยมือของเขาเอง

 

เขาตั้งใจจะผลักให้ทั้งสองล้มเพื่อจะได้คุยกันด้วยเหตุผลได้

 

แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เขาได้ยินเสียงดังกร๊อบราวกับเป็นเสียงของแรคคูนตัวน้อยที่วิ่งอย่างอ่อนช้อยไปบนกองใบไม้แห้ง

 

กระดูกแขนของนักรบทั้งสองนั้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในขณะที่เลือดสีแดงไหลพรากดั่งน้ำป่าฤดูฝน ร่างที่ถูกผลักออกทั้งสองนั้นกระเด็นไปกระแทกตนไม้จนล้มแอ้กลงไป ณ จุดนั้นเหมือนแตงโมที่โดนทุ่มใส่หินจนอ่อนล้า พวกเขากลิ้งทุรนทุรายลงไปบนพื้นจนดูเหมือนว่ายังไงก็ไม่รอดแน่ๆ….

 

ห้ะ?

 

หลี่มู่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขามองไปยังมือของตนเองด้วยสีหน้าที่เหมือนเจอผี

 

“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย?”

 

เขาจะสามารถฆ่าชายที่ดูแข็งแรงทั้งสองได้ยังไงในเมื่อเขาเพียงแค่ผลักออกไปเบาๆเท่านั้นเอง?

 

“ผมทำ...แบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”

 

หลี่มู่รู้สึกมึนงงไปหมดอีกครั้ง

 

“นั่นมัน...พลังอะไรกันน่ะ?” หัวหน้าของเหล่านักรบแทบจะสติแตกไปเลยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แต่เขาก็รีบกลับมาสุขุมเหมือนเดิมในทันที

 

เป็นพลังที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้!

 

แม้แต่ผู้ที่เป็นผู้นำของ 6 นักรบยังรู้สึกอึดอัดกับพลังนั้นแบบสุดๆเลย

 

เขามองไปยังหลี่มู่และเริ่มที่จะเศร้าหมองลงไปเรื่อยๆ ความกลัวที่พูดไม่ได้นั้นสะท้อนอยู่ในแววตาของเขา 

 

หลังจากเวลาผ่านมาครู่หนึ่ง เขาจึงเริ่มถอยเพิ่มระยะห่างก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก “เข้าใจละ ข้าไม่เคยคิดว่านายน้อยหลี่จะเป็นนักรบด้วย เจ้าถ่อมตัวเพื่อปกปิดความสามารถของเจ้าเอง สมแล้วที่เป็นผู้ที่ถูกบรรจุชื่ออยู่ในรายชื่อของจักรพรรดิในการสอบแข่งขันเข้าเป็นข้าราชการ แถมเจ้ายังมีวิชากังฟูที่แข็งแกร่งอีกด้วย...ข้าคิดว่าข้าคงจะเดินหมากผิดเสียแล้ว เอาเป็นว่าจะยอมรับในความพ่ายแพ้ครั้งนี้ละกัน แต่ยังไงก็แล้วแต่ ฝ่ายจันทราโลหิตจะไม่เคยยอมแพ้...กลับกันได้แล้ว!”

 

เป็นดั่งที่หัวหน้าของพวกนั้นพูด นักรบที่เหลือต่างพากันรีบหนีออกไปราวกับจะไปจัดพิธีศพ พวกเขาลอยลิ่วไปบนท้องฟ้าราวกับนกตัวใหญ่ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยบนท้องฟ้าในยามราตรีนี้ 

 

เหล่านักรบทั้ง 3 ที่ยังคงเหลืออยู่นั้นตามผู้เป็นหัวหน้าไปติดๆด้วยความหวาดกลัวก่อนจะหายวับไปในความมืดของท้องฟ้าเช่นเดียวกัน ดูท่าว่าจะไม่ได้กลับไปจัดงานศพจริงๆซะด้วยสิ เพราะถ้าจัดจริงๆ...เจ้าของงานคงไม่นอนเป็นซากอยู่ใต้ต้นไม้ทั้ง 2 ศพหรอก…

 

อ่า?

 

“พวกนั้นสามารถวิ่งไปตามกำแพงและหลังคาบ้านได้เหรอ?

 

“แถมยังลอยตัวเหนือยอดหญ้าได้ด้วยนะ?”

 

“แสดงว่าพวกนั้นต้องมีวิชาเชียงกงแน่ๆ”

 

“พวกเขาเป็นจ้าววิทยายุทธ”

 

ดวงตาของชายหนุ่มเปิดกว้างและส่องประกาย ที่นี่ คือโลกแห่งวิทยายุทธจริงๆงั้นเหรอ?

 

“แต่เดี๋ยวสิ...แย่ล่ะ เรื่องมันยังไม่จบสิ เขาต้องโดนตามไล่ล่าและฆ่าโดยคนพวกนั้นแน่ๆหากยึดเอาตามที่นิยายบนโลกชอบพูดกันนะ...นั่นก็เพราะว่าเขาได้กระตุ้นวิทยายุทธที่อยู่ภายในให้ตื่นขึ้นและเผลอฆ่าพี่น้องของพวกนั้น...?”

 

“อ่า รอก่อน! อย่าเพิ่งไปเซ่! ขออธิบายก่อนนนน ให้ผมอธิบายเรื่องทั้งหมดก่อนนน” หลี่มู่ออกวิ่งตามและกวักมือเรียกพวกนักรบเหล่านั้น เพื่อให้กลับมาฟังเขาก่อน “สวัสดีพี่ชาย ผมเป็นเอเลี่ยนจริงๆ และพวกนายจำคนผิดจริงๆ ผมไม่ได้ฆ่าพี่น้องนายโดยเจตนานะ รอก่อนนน ขออธิบายให้เคลียร์ก่อนน” ถ้าไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนเกิดพวกนั้นวกกลับมาฆ่าเขาใหม่จะทำยังไงกันล่ะ?

 

แต่กระนั้นเหล่านักรบที่มีอาวุธครบมือก็ดูจะกลัวหลี่มู่เกินกว่าที่จะหยุดหรือหันกลับมามอง พวกเขาหนีหายไปเพราะกลัวว่าหลี่มู่จะจับพวกเขาได้และฆ่าพวกเขาทิ้ง

 

“ว้าว~ นายน้อยแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเจ้าคะ?” เด็กสาวกระโดดขึ้นไปหาหลี่มู่

 

ตาที่โตและสดใสของเธอนั้นกำลังเปล่งประกายไปด้วยความรัก

 

หลี่มู่เองก็ทำได้เพียงเหลือบตามองเธอเท่านั้น

 

แม่สาวนี่ท่าทางจะชอบการต่อสู้มากๆเลยสินะ

 

“นายน้อยขอรับ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไหร่ที่จะอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้ เรารีบไปกันเถอะขอรับ เพราะระยะทางจากที่นึ่ถึงมณฑลไถไป่นั้นยังคงยาวไกลนักขอรับ” เด็กหนุ่มนี่ดูจะปกติสุดแล้วล่ะมั้ง ใบหน้าของเขาดูตื่นกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่น้อยเลย ชั้นหนังสือไม้ไผ่ที่เขาแบกมาด้วยนั้นแอบชวนให้หัวเราะน้อยๆเหมือนกันนะ แต่กระนั้นเขาก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจและกริยาที่ดูสุภาพ “นายน้อยไม่จำเป็นต้องกลัวคนจากพวกฝ่ายจันทราโลหิตนั่นหรอกขอรับ เพราะเมื่อไหร่ที่นายน้อยเข้ารับตำแหน่งกับหน่วยงานรัฐภายในมณฑลนั้น นายน้อยจะสามารถส่งทหารออกไปล้อมคอกแล้วจัดการพวกนั้นได้เลยขอรับ”

 

“โอ้?” หลี่มู่ประหลาดใจที่เจ้าเด็กหนุ่มที่เผลอชมว่าปกติไปเมื่อครู่ ใช้น้ำเสียงที่ฟังดูจองหองได้ขนาดนี้ ตัวก็เตี้ยกว่าชั้นหนังสือแท้ๆแต่ความโอหังนั้นเหมือนจะสูงนำไปแล้ว “เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาและส่งทหารออกไปหยุดยั้งพวกนั้นเหรอ?”

 

“ใช่แล้วขอรับ อ่า...นายน้อยต้องลืมไปแล้วแน่ๆว่านายน้อยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้พิพากษาประจำมณฑลไถไป่ในตอนที่นายน้อยได้รับการเสนอชื่อจากการสอบข้าหลวงชั้นสูง เอาเถอะ ตอนนี้เราใกล้จะถึงที่นั่นกันแล้วนะขอรับ...”

 

“จักรวรรดิ? อะไรล่ะนั่น?”

 

“จักรวรรดิฉิน...นายน้อยปกติดีหรือเปล่าขอรับ?” 

 

“โอ้...จักรวรรดิฉิน แสดงว่าตอนนี้จักรวรรดิฉินนั่นกำลังครองโลกอยู่หรือเปล่า? มีราชวงศ์ฉินอยู่ในประวัติศาสตร์ไหม? ว่าแต่นายสามารถอธิบายเกี่ยวกับดวงจันทร์ทั้งสองดวงนั่นได้หรือเปล่า?”

 

“ครองโลก?มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกันขอรับ? แผ่นดินแม่ของจีนถูกแบ่งออกเป็น 9 ส่วน และทั้ง 9 ส่วนนั้นถูกครอบครองโดย 3 มหาจักรวรรดิและ 9 ฝ่าย ราชวงศ์ฉินกำลังครอบครองพื้นที่ส่วนทิศตะวันตกกับทิศเหนือของแผ่นดินแม่ เอ่อ...นายน้อยปกติดีใช่ไหมขอรับ? นี่มันเป็นเรื่องที่ปกติมากๆเลยนะขอรับ...ดวงจันทร์ทั้งสองดวงนั่นมันก็เป็นเรื่องปกติของท้องฟ้าอยู่แล้วนะขอรับ”

 

“แล้วกลางวันล่ะ? มีดวงอาทิตย์ 2 ดวงด้วยหรือเปล่า?”

 

“ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วสิขอรับ จะมีแค่ 1 ได้อย่างไรกัน นายน้อยไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหมขอรับ?”

 

“อ๋าาาาาาาาาาาาาาา หนอยแน่ตาแก่! ส่งฉันมาที่ไหนกันเนี่ย! ดาวดวงนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว ฉันอยากกลับโลกที่ผมรู้จักกกกกกก”

 

 

 

มณฑลไถไป่ ตั้งอยู่ที่ตีนเขาไถไป่ ส่วนแตกแขนงที่โด่งดังที่สุดของภูเขาชิงหลิงในดินแดนทิศตะวันตกของแผ่นดินใหญ่

 

แสงแรกของวันเริ่มแง้มออกมาจากเงาเมฆแล้วเมื่อหลี่มู่และเด็กน้อยทั้งสองมาถึงประตูแห่งมณฑลไถไป่

 

ประตูบานโตนั้นเปิดกว้างในช่วงกลางวันและปิดสนิทในช่วงกลางคืน

 

ผู้คนมากหน้าหลายตากว่าพันคนค่อยๆเดินต่อแถวเป็นทางยาวที่บริเวณทางเข้าเมือง ที่นั่นจะมีกองทหารรักษาการณ์ที่คอยตรวจตราอย่างละเอียดแบบตัวต่อตัวก่อนที่จะปล่อยให้คนๆนั้นเข้าเมืองไปได้ 

 

หลี่มู่ยืนนิ่งและเพ่งมอง

 

มันเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม ช่วงที่เหล่าพืชผักกำลังผลิดอกออกผลจนเหมือนยุคเฟื่องฟูของผักผลไม้เลย

 

อย่างที่บอกว่ามณฑลไถไป่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาไถไป่ ที่นั้นถูกห้อมล้อมด้วยป่าดั้งเดิมและกำแพงโค้งสูงตระหง่าน มันมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี เมื่อยืนอยู่ด้านนอกเมือง คุณสามารถเห็นตึกทรงเก่าแก่ที่ก่อด้วยอิฐสีเขียวและกระเบื้อง ตึกเหล่านั้นกลมกลืนไปกับต้นไม้สีเขียวจนดูรมรื่นไปหมด ที่แห่งนี้มีทั้งความดั้งเดิมและความพิถีพิถันประสานควบคู่ไปด้วยกันจนเกิดเป็นความงดงามที่ไม่แตกแยกเช่นเดียวกับนครแอตแลนติส

 

“เหมือนได้ย้อนอดีตกลับมาเลย...สวยจริงๆ...”

 

ในตอนที่หลี่มู่ยืนอยู่ในแถวนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

 

ความหิวเริ่มจะงอแงซะแล้ว ท้องของเขาเองก็เริ่มจะส่งเสียงโครกครากจนออกนอกหน้าไม่แพ้กัน จ้าๆรู้แล้วว่าหิว

 

เมื่อมองย้อนกลับไป หลี่มู่ไม่ได้กินอะไรเลยหลังจากฝึกที่วัดเหรินเติ้งเสร็จตอนที่อยู่บนโลกนั้น จู่ๆตาเฒ่าก็ส่งเขามายังโลกนี้เลย แล้วนี่ก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาเอาแต่เดินทางจนตอนนี้มันทั้งหิวและก็เวียนหัวไปหมด

 

“มาทางนี้เร็วขอรับนายน้อย ถ้าไปถึงสำนักงานได้ ที่นั่นจะมีของกินเตรียมไว้เพียบเลยนะขอรับ”

 

หนุ่มน้อยที่กำลังพูดอยู่ชื่อ ชิงเฟิง

 

จริงๆชิงเฟิงเองก็พอจะมีพวกอาหารแข็งอาหารแห้งอยู่บ้าง แต่ทว่าเขาทำมันหายตอนที่หนีพวกคนจากฝ่ายจันทราโลหิตที่พยายามจะตามเอาชีวิตพวกเขา และแน่นอน เขาเองก็หิวเช่นกัน แต่สำหรับตัวเขาเอง นายน้อยถือเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าอื่นใด ดังนั้นแล้วการทำให้นายน้อยสบายต้องมาก่อนเรื่องตัวเอง

 

“เข้าใจแล้ว อืออออ”

 

หลี่มู่เหม่อลอยไปแล้ว แม้แต่ตอนตอบกลับก็เช่นกัน

 

เสียงท้องดังกึกก้อง!

 

และมันดังขึ้นอีกครั้ง ดังเรื่อยๆ 

 

ดังจนเหล่าผู้คนที่อยู่ในแถวต้องพากันหันกลับมามองหลี่มู่

 

และเมื่อโดนมองแบบผิดปกติจากคนแปลกหน้า หลี่มู่ก็รู้สึกได้และเกิดอาการเขินจนหน้าแดงขึ้นมา 

 

เพราะเมื่อคืนขณะที่พวกคนที่มาจากฝ่ายจันทราโลหิตกำลังไล่ล่าพวกเขา ความกระวนกระวายและตื่นตระหนกทำให้พวกเขาทำรองเท้าหาย และในตอนนี้ เด็กน้อยทั้งสองกับ 1 นายเหนือหัวกำลังอยู่ในภาวะหวาดหวั่นและยากจน ไม่ต่างอะไรกับผู้อพยพ… สภาพแบบนี้เป็นอะไรที่น่าอัปยศสำหรับเหล่านักเดินทางผู้ฝักไฝ่หาสิ่งที่ตัวเองต้องการจะเป็น

 

“สวัสดีพี่ชาย ท่านไม่ได้กินอะไรมานานแล้วหรือเปล่า? เอ้า เอานี่ไปสิ”

 

ทันใดนั้นน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา ชัดเจน และไพเราะราวกับนกน้อยที่กำลังร้องเสียงหวานอยู่ในหุบเขาก็ลอยเข้าสู่โสตประสาทของเขามาพร้อมกับความเหนียมอาย

 

หลี่มู่หันกลับไปด้วยความเร็วเหนือจิตใต้สำนึก

 

และเขาก็พบเด็กสาวที่อายุประมาณ 7-8 ขวบ เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่เลิศเลอะอะไรมากนัก เสื้อแจ็คเก็ตผ้าหยาบๆนั้นเป็นตัวยืนยันได้ดี กางเกงถูกปกคลุมไปด้วยชิ้นผ้า รองเท้าฟางกับเปียทั้ง 2 ข้างบนหัวรวมเข้ากับใบหน้าที่ดูแดงระเรื่อเสริมสร้างให้เธอดูน่ารักสดใส ตากลมโตเปล่งประกายชัดแจ๋วจนดูเหมือนเป็นอัญมณีสีดำที่ปราศจากสิ่งเจือปน ขนตาที่ยาวสลวยนั้นกำลังพริ้วไปตามการกระพริบของดวงตา ในมือของเธอถือลูกแอพริคอตสีเหลืองอร่ามที่ใหญ่จนเต็มฝ่ามือเล็กๆนั้น และเธอยื่นมันให้หลี่มู่

 

“ว้าว ให้ผมเหรอ?” หลี่มู่ตกใจเล็กน้อย

 

แต่เขากับแม่ตัวเล็กนี่ยังเคยไม่รู้จักกันเลยนี่นา

 

... 

 

รีวิวผู้อ่าน