MS:บทที่ 3 หลอกล่อเพื่อสวมรอยเป็นผู้พิพากษาประจำมณฑล
“ใช่แล้ว” สาวน้อยผงกหัวให้นิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “แม่ของข้าบอกให้เอาเจ้านี่มาให้พี่ชาย” ระหว่างที่พูดเธอก็ใช้สายตาชี้ไปยังข้างๆด้วย
และที่ปลายทางนั้นมีคู่รักวัยหนุ่มสาวยืนอยู่ข้างๆเธอด้วย
ชายวัยใกล้เคียง 30 รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราจนดูแข็งแกร่ง ในมือของเขาถือไม้กระบอกและฉมวกสำหรับล่าสัตว์เป็นจำนวน 3 อัน โดยที่บนหลังของเขานั้นมีหนังสัตว์มากมายที่เพิ่งจะถลกใหม่ๆพาดอยู่ เป็นชายร่างใหญ่ที่แต่งตัวเหมือนนักล่า ส่วนทางด้านหญิงสาวนั้นดูเด็กกว่า น่าจะซักราวๆ 23 ปีได้ เธอมีผิวขาวสวยเฉกเช่นใบหน้า บนอ้อมกอดนั้นมีเด็กน้อยที่ยังไม่ถึงวัยหย่านมอยู่อีก 1 คน ชุดที่สวมนั้นเป็นเพียงเดรสทั่วๆไปที่ไม่โดดเด่นให้อารมณ์เหมือนคนที่มีฐานะดีเลิศเลอไปมากนัก แต่อย่างหนึ่งที่สิ่งเหล่านั้นปกปิดเธอไม่ได้ ก็คือการแสดงออกของท่าทีที่เรียบง่ายสบายๆอันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความสง่าแบบลึกๆ เมื่อคุณเห็นเธอในจังหวะแรก คุณจะสัมผัสถึงความเปล่งปลั่งที่ออกมาจากเธอ ความเปล่งปลั่งที่ไม่ใช่ของผู้ยากไร้ หากแต่เป็นสตรีอันสูงส่ง
ที่ขาของเธอนั้นมีตะกร้าไม้ไผ่วางอยู่ 2 ใบ
ในตะกร้าไม้ไผ่นั้นมีลูกแอพริคอตสีทองอยู่และปล่อยกลิ่นแห่งผลไม้สดออกมาจนหอมตลบอบอวลไปหมด พวกมันต้องเป็นผลไม้ป่าที่เก็บได้จากภูเขาเพื่อนำไปขายในตลาดแน่ๆ
เมื่อพวกเขาเห็นหลี่มู่ รอยยิ้มอันอบอุ่นคือคำทักทายที่แสนดี
“ขอบคุณมากๆเลยครับ” หลี่มู่ป้องมือไปด้านหน้าเพื่อเป็นการแสดงความซาบซึ้งในน้ำใจก่อนจะหันไปรับเอาผลแอพริคอตจากเด็กสาวมา เขาสัมผัสไปที่หัวของเธอเบาๆพร้อมกับยิ้มและพูดต่อ “ขอบคุณนะสาวน้อย บอกชื่อของเธอให้ผมรู้ได้ไหม?”
“ข้าชื่อ ยาย่า”
เด็กสาวยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะกระโดดกลับไปยังครอบครัวของเธอ
ผู้คนบนดาวเอเลี่ยนนี้ช่างใจดีจังเลยน้า
หลี่มู่ถอนหายใจด้วยความซาบซึ้งและหยดน้ำตา
แอพริคอตเพียง 2 ลูกก็มากพอที่จะทำให้หลี่มู่เกิดความรู้สึกดีๆต่อดาวเอเลี่ยนนี้แล้ว
เพราะว่าแอพริคอตทั้งสองลูกนั้นทั้งใหญ่และหวานฉ่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาหิวมากๆเช่นนี้ด้วย เขากินมันไปหนึ่งลูกและอีกลูกหนึ่งก็แบ่งให้เด็กๆผู้ติดตามทั้งสองให้ไปแบ่งกันกินเอง
ผู้คนที่ต่อแถวเข้าเมืองนั้นค่อยๆขยับทีละนิดทีละหน่อยแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามคิวที่วางไว้
และไม่นาน คู่รักหนุ่มสาวและยาย่าก็เดินทางถึงประตูเมือง
ชัดเจนเลยว่าพวกทหารและการ์ดเหล่านั้นตรวจคนที่จะผ่านประตูอย่างพิถีพิถันและซับซ้อน พวกเขาแต่งตัวหลวมๆและแสดงสีหน้าแห่งความละโมภออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครไม่โดนเอาเปรียบ แถมยังจ้องจะหาโอกาสโกยประโยชน์เข้าตัวเองอยู่เรื่อยๆ
ยามรักษาการณ์เหล่านั้นแอบเอาผลแอพริคอตของคู่รักหนุ่มสาวออกมาเป็นจำนวนครึ่งตะกร้า แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้แต่เก็บความโกรธไว้ในใจไม่แสดงท่าที่ต่อต้านออกมา เมื่อตรวจเสร็จและได้รับอนุญาติให้เข้าเมือง พวกเขาจึงรีบหิ้วตะกร้าแอพริคอตที่เหลืออยู่ไปพร้อมกับลูกๆเข้าเมืองไป
และแล้วก็ถึงคิวของหลี่มู่และเด็กๆที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าการ์ดหน้าเลือดนี่แล้ว
ชิงเฟิงในฐานะผู้ดูแลตัวน้อยก้าวขึ้นมาข้างหน้าหมายจะโชว์บัตรประจำตัวให้พวกการ์ดนั้นดู หากแต่หัวหน้าการ์ดกลับยกมือขึ้นปิดจมูกพร้อมมองต่ำลงไปยังเด็กทั้งสามคนตรงหน้า “อ่า เหม็นชะมัด ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ พวกขอทาน? ไปๆๆ ไปจากตรงนี้เร็วๆเลย แล้วอย่าสร้างปัญหาในเมืองด้วยล่ะ ไม่งั้นพวกเจ้าจะเจอปัญหาซะเองนะ...” เขาสั่งคนที่อยู่ใกล้ๆให้ลากเอาพวกหลี่มู่เข้าเมืองไปให้พ้นประตูเมืองด้วย
หลังจากที่หลี่มู่เข้าเมื่องมาได้ เขายังคงหันหลังกลับไปถึง 3 ครั้งในทุกๆก้าว หันกลับไปมองยังประตูเมืองที่เขาเพิ่งจะผ่านเข้ามาด้วยความรู้สึกที่ทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้พร้อมๆกัน
แม้จะประสบความสำเร็จในการเข้ามาภายในมณฑลได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะสายตาที่มองเขาแบบนั้นนั่นแหละ
มณฑลไถไป่ เป็นเมืองที่อยู่ในภูเขา
และคุณจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งสเน่ห์ของเมืองโบราณเมื่อได้ย่างกรายเข้ามา
ถนนหลักปูด้วยหินสีฟ้าซึ่งเป็นหินชนิดพิเศษที่จะพบได้ที่ภูเขาไถไป่เท่านั้น มันเรียบและแบน เปรียบเสมือนทางลาดยางบนโลก เส้นทางส่วนใหญ่นั้นคดเคี้ยวและลาดชันเป็นขั้นบ้าง นั่นก็เพราะว่าเส้นทางเหล่านั้นสร้างให้เสมือนเราอยู่ในสวนที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติจากภูเขาและทางน้ำหลากทั้งหลาย แม่น้ำมากมายไหลอยู่รอบเมืองโบราณแห่งนี้ และมีหลายสายที่ไหลจากสูงไปต่ำจนเกิดเป็นน้ำตกมามายภายในเมือง น้ำตกที่ไม่ได้ใหญ่แต่ก็ใสราวกับเป็นอัญมณีที่ไหลย้อยเรื่อยๆแบบไม่คงรูปเลย
นอกจากนั้นยังมีต้นไม้เก่าแก่มากมายที่อายุร่วมๆร้อยปีสูงเด่นเช่นหลังคาของเมือง
มันเป็นภาพที่สวยงามมากๆจนเมื่อคุณเดินเข้ามา คุณก็จะสามารถหลงทางได้ง่ายๆเลย
2 ชั่วโมงต่อมา
หลี่มู่พาผู้ดูแลทั้งสองไปด้วยกัน เด็กๆเหล่านั้นปีนป่ายไปเรื่อยขณะเดียวกันก็ถามทางไปด้วย และแล้วพวกเขาก็มาถึงประตูของที่ทำการหน่วยงานราชการซึ่งอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของมณฑลหลังจากที่เดินทางมานาน
ใช่แล้ว หลังจากที่เขาทะเลาะกับตัวเองมาพักใหญ่ๆ หลี่มู่ตัดสินใจแล้วว่าจะเออออห่อหมกเรื่องนี้ต่อไป เขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะสวมลอยเป็นผู้พิพากษาประจำมณฑลไถไป่ให้ได้
มันมี 3 เหตุผลสำหรับเรื่องนี้
ข้อแรกเลย เขามีเรื่องกับฝ่ายจันทราโลหิตและดูท่าว่าเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆจนกว่าเขาจะกลายเป็นปุ๋ย ดังนั้นแล้วการมีอำนาจในมือเพื่อปกป้องตัวเองย่อมดีกว่า ข้อสอง หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลหลายๆอย่างกับชิงเฟิง ทำให้เขารู้ว่า การที่ไม่มีทะเบียนบ้านเป็นหลักเป็นแหล่งจะต้องกลายเป็นทาสให้กับรัฐบาลในพื้นที่ส่วนทิศตะวันตกของอาณาจักรฉิน และข้อที่สาม ง่ายๆเลย เพราะหลี่มู่แค่จบการศึกษาในระดับมัธยมต้นบนโลกโดยไม่มีทักษะการเอาตัวรอดติดตัวมาเลย เขาต้องตายด้วยความหิวเป็นแน่แท้หากหลงทางเป็นเวลาหลายวัน
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เป็นผู้พิพากษาประจำมณฑลในขณะที่ตัวเขาเองเพิ่งจะเดินทางมาที่แห่งนี้
ที่หน้าประตูทางเข้าที่ทำการนั้นมียามรักษาการณ์เฝ้าอยู่
และทันทีที่เขาเห็นทั้ง 3 มายังประตู ยามไม่รอช้าที่จะเดินมาและสบถถ้อยคำหยาบคายใส่ “พวกขอทานสกปรกทั้งสาม ที่นี่เป็นที่ตั้งของสำนักงานราชการประจำมณฑล ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องต้องออกไปจากที่นี่ ไม่งั้นก็อย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ” พวกเขาพูดด้วยคำพูดที่ดูดุร้ายไม่ต่างอะไรกับเสียงที่ฟังดูร้ายกาจนั่น
“เจ้าตาบอดหรือไง? กล้าดียังไงถึงได้สบถถ้อยคำหยาบคายแบบนั้นใส่นายน้อยของพวกข้ากันน่ะ? แกจะโดนกำราบจนต้องดิ้นตาย เชื่อหรือเปล่าหล่ะ?” สาวน้อยอารมณ์รุนแรงและบ้าดีเดือด ผู้ที่ซึ่งเป็นผู้ดูแลอีกคนของหลี่มู่นี้ชื่อว่า หมิง หยู่ เธอยืนเท้าสะเอวและสบถถ้อยคำหยาบคายกลับไป “เลิกทำตัววางกล้ามได้แล้ว นายน้อยของพวกข้าเป็นผู้พิพากษาประจำมณฑลไถไป่คนใหม่ ทำไมเจ้าถึงได้โง่นักนะ? รีบๆมาต้อนรับผู้พิพากษาประจำมณฑลของข้าเสียที”
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“ถวายบังคม ท่านผู้พิพากษา”
ท่ามกลางโถงของสำนักงานราชการ
หลังจากได้ทำการตรวจสอบจดหมายแต่งตั้งและตราประทับทางราชการ หมู่ข้าราชการทั้งชั้นสูงและชั้นผู้น้อยเช่นเดียวกับเหล่านายทหารต่างพากันโค้งคำนับให้กับผู้พิพากษาประจำมณฑลคนใหม่
หลี่มู่นั่งลงไปบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งด้วยหน้าตาที่นิ่งเฉย
แม้ว่าเขาจะยังอ่อนด้อยประสบการณ์ที่นี่ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าเหล่าข้าราชการพวกนั้นไม่ได้ให้ความเคารพหรือเกรงกลัวเขามากนัก อย่างไรก็ตาม เหล่าทหารที่หยาบคายใส่เขาก่อนหน้านี้กลัวเขาอย่างสุดๆและตอนนี้พวกเขาก็กำลังคุกเข่าอยู่ด้านนอกพร้อมกับสั่นสะท้านไปด้วย
“ไม่เป็นไร กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ”
เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องทัศนคติของข้าราชการเหล่านั้นซักเท่าไหร่
เขากลัวที่จะถูกจับได้มากกว่า!
หลังจากนั้น หลี่มู่พยายามที่จะทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญดังเช่นผู้ที่สอบผ่านการทดสอบวิทยาศาสตร์ของข้าหลวง นอกจากนั้นเขายังต้องเป็นผู้รอบรู้ไปเสียทุกเรื่องและต้องรู้คำสั่งจากทางการของพื้นที่ส่วนตะวันตกของอาณาจักฉินอีกด้วย แม้ว่าจริงๆแล้วเขาจะเป็นเพียงนักเดินทางที่ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับวงการข้าราชการในโลกนี้มากนัก
“อะไรน่ะ?”
เหล่าข้าราชการและทหารต่างพากันรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมเขาถึงให้ข้าราชการเหล่านั้นออกไปตอนนี้ล่ะ?
ผู้พิพากษาคนใหม่นี้ไม่คิดจะรับรู้เหรอว่าสถานการณ์ของมณฑลในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างหลังจากเพิ่งรับตำแหน่งเช่นนี้?
“ท่านครับ นี่มันก็กว่า 1 ปีแล้วตั้งแต่มณฑลไถไป่ไม่มีผู้พิพากษาหลังจากที่ผู้พิพากษาคนก่อนอย่างท่านหลู่ลาออกไป และในตอนนี้เรามีเอกสารจำนวนมากที่รอการได้รับอนุมัติอยู่...” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น ชายผู้ที่มีรูปร่างอ้วยนิดหน่อยดูๆไปก็แอบดูมีภูมิฐานคล้ายที่ปรึกษากระทรวงไม่น้อย เขาโค้งคำนับให้ก่อนจะยิ้มบางๆและพูดต่อ “ข้าน้อยเตรียมบันทึกของเหตุการณ์ต่างๆทั้งเล็กและใหญ่ แฟ้มข้อมูล รวมไปถึงเอกสารทั้งหมดทุกกรณีไว้ให้ท่านได้ตรวจสอบแล้วครับ...”
หลี่มู่โบกมือเพื่อให้เขาหยุดซักครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไป “ท่านเป็นใครกัน?”
“ข้าน้อย โจว วู และข้าน้อยเป็นอัครมหาเสนาบดีของมณฑลครับ” ชายวัยกลางคนตอบพร้อมกับส่งยิ้มตลอด
ดีเลย อัครมหาเสนบดี ผู้ที่เคยเป็นรักษาการตำแหน่งผู้พิพากษามาก่อน
แต่ถ้าตามที่เขาพูดมา ผู้พิพากษาคนเก่าลาออกงั้นเหรอ?เป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรนะ?
หลี่มู่พยักหน้าเบาๆและพูดขึ้น “ข้าเหนื่อยจากการเดินทางเป็นไกลเวลานาน เก็บเรื่องบ้านเมืองไว้ก่อน...พวกท่านออกไปได้แล้ว”
ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว เขาไม่ควรพูดอะไรมากกับคนเหล่านี้
ไม่อย่างนั้นมันคงนำหายนะมาให้แน่ๆ
อย่างที่พวกข้าราชการได้ยิน พวกเขามองขึ้นมายังหลี่มู่ด้วยอารมณ์มากมายบนใบหน้า บ้างก็ผิดหวัง บ้างก็มีความสุข บ้างก็ดูหมิ่น แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะคารวะอีกครั้งก่อนจะทยอยออกไปเรื่อยๆ
“อ่า ขอเวลาซักครู่สิ ท่านโจว...” ทันใดนั้น หลี่มู่ยกมือและชี้ไปยังผู้ช่วยผู้พิพากษาอย่าง โจว วู
โจววูที่โดนชี้นั้นรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยและรีบเปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นปกติทันที เขาหันกลับมาและมองไปยังหลี่มู่
“จริงๆ เอ่อ...ข้าแค่หิวนิดหน่อย ช่วยไปจัดเตรียมอาหารมาให้ที่ด้านหลังที่ทำการหน่อย” หลี่มู่พยายามทำตัวเป็นธรรมชาติและพูดขึ้น “เอ้อ อาหารที่ว่าน่ะ...ต้องเป็นไวน์กับเนื้อนะ”
“เข้าใจแล้วขอรับรับ” ผู้ช่วยผู้พิพากษาตัวท้วมนั้นไม่ได้กลัวในหลี่มู่อีกต่อไปแล้ว ในขณะเดียวกันเขากลับฉายแววแห่งการดูถูกไว้ภายในสายตาที่เหลือบมองนั่นด้วย เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่ดูแปลกออกไป “จัดให้เลย”
ในที่สุดข้าราชการทั้งหมดก็เดินออกไปจากที่ทำการแห่งนั้น
และมันก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นดังมาจากด้านนอกตามมาแทบจะทันที
ผู้ดูแลทั้งสองอย่างชิงเฟิงและหมิงหยู่เองก็พากันอายจนต้องยกมือปิดหน้าตนเองเอาไว้
ชัดเจนแล้วว่าในตอนนี้ การทำงานของนายน้อยของพวกเขานั้นกลายเป็นเรื่องตลกในสายตาของเหล่าข้าราชการพวกนั้นไปแล้ว และเรื่องนี้จะต้องกระจายวงกว้างไปหมู่พวกเบื้องบนของมณฑลในเร็วๆนี้แน่ นี่มันถือเป็นเรื่องที่น่าขายน่าไม่น้อยก่อนที่เขาจะได้ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆภายในสำนักงานเสียอีก
หลี่มู่นั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งตัวเดิม เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ แถมยังหัวเราะคิกคักอีกด้วย
ทั้งหมดที่กำลังทำอยู่นั้น ก็เพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่รอดได้ในฐานะผู้พิพากษาเฉยๆ ไม่ได้สนใจหรอกว่าจะถูกพูดถึงอย่างไร
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ตัวเขาเองนั่นแหละ เอเลี่ยน
เขามาที่นี่เพื่อจะได้ฝึกวิทยายุทธและสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ตาแก่ขี้โกหกนั้น อย่างน้อยก็ยังพูดเรื่องจริงไว้บ้าง ทักษะเซียนเทียนและมวยเจิ้งหวู่นั้นน่าจะมีพลังของเซียนเป็นส่วนประกอบ และเข้าน่าจะสามารถสำเร็จวิชาเหล่านี้ได้บนดาวดวงนี้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาได้รับพลังของวิชาวิเศษเหล่านี้---ไม่สิ เพียงแค่ขั้นต้นของมัน ก็คงจะมีพลังมากพอที่จะก้าวข้ามดาวที่มีระดับวรยุทธ์ต่ำนี่ได้แล้ว และจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน 3 อาณาจักร หรือที่รู้ๆกันในนามของผู้ปกครองทั้ง 9 ฝ่าย จะต้องสยบแทบเท้าเข้าเป็นแน่ และนั่นหมายความว่า เขาจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นข้าราชการแผ่นดินอีกแล้ว ในเวลานั้นเขาจะเฟื่องฟูไปด้วยเงินทาง สาวงาม ข้าราชการชั้นสูง และเงินเดือนมากมายก่ายกองก็จะอยู่ในกำมือของเขา
“อ่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”
หลี่มู่ที่กำลังเพ้อฝันถึงอนาคตอันสดใสนั้นไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้หัวเราะได้บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง
และนั่นยิ่งทำให้ชิงเฟิงและหมิงหยู่พูดไม่ออกไปอีก
เป็นคนไม่ได้เรื่องอะไรแบบนี้นะ ทำไมนายน้อยถึงดูมีความสุขออกนอกหน้าขนาดนั้น?
…
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง โต๊ะของเขาก็เต็มไปด้วยอาหารที่น่าเอร็ดอร่อยเต็มไปหมดซึ่งถูกจัดมาให้โดยอัครมหาเสนาบดีอย่างคุณโจว และเป็นไปอย่างที่คิด มันมีเนื้อและไวน์ตามที่เขาขอจริงๆ พวกมันดูน่ากินสมกลับเป็นอาหารอันโอชะบนผืนโลกและแผ่นน้ำเลย
หลี่มู่และผู้ดูแลทั้งสองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกเขาตรงเข้าไปกินอาหารเหล่านั้นด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความสุขแต่หารู้ไม่ความอาการปอบลงเช่นนั้นทำเอาเหล่าคนใช้ถึงกับตาโตกันเลยทีเดียว
หลังจากที่ทานมื้อเย็นกันเสร็จ มา จุนวู ผู้เป็นคนที่รับผิดชอบกองกำลังป้องกันเขตแดนก็ได้เข้ามาเพื่อพบและสอบถามถึงการจัดการป้องกันเขตแดนจากผู้พิพากษาคนใหม่
การแบ่งงานของฝ่ายธุรการภายในตะวันตกของอาณาจักรฉินนั้น ง่ายและชัดเจนมาก พวกเขามีขุนนางใหญ่ๆอยู่ 3 ตำแหน่ง ซึ่งอยู่ภายใต้ผู้พิพากษา นั่นคือ หัวหน้าเขตการปกครอง จะรับผิดชอบในการบริหารแผ่นดิน รองผู้ว่าราชการจะรับผิดชอบเรื่องการเก็บภาษีเงินและธัญพืช ส่วน ราชทูตจะรับผิดชอบเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ทางการทหาร
ราชทูตนั้นเปรียบเสมือนผู้จัดการความปลอดภัยให้แก่สาธารณชนบนโลกที่เขาจากมา
และมันยังมี 3 ส่วนหลักๆที่อยู่ใต้การดูแลของราชทูตอีกทีหนึ่ง นั่นก็คือ หัวหน้าของกองกำลังป้องกันเขตแดน หัวหน้าของยามรักษาการณ์ที่คอยสั่งดำเนินการให้ล่าสัตว์หรือไล่ล่าฆาตรกร และท้ายสุด หัวหน้ายามรักษาความปลอดภัยพลเรือน จะคอยควบคุมดูแลยามรักษาการณ์อีกที ซึ่งส่วนเหล่านี้เปรียบได้กับ ยามรักษาการภายใน ตำรวจติดอาวุธ ตำรวจที่เอาไว้ตามจับผู้ร้าย และยามรักษาการบนโลกทั่วๆไป
มา จุนวู เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันเขตแดน ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการจัดการป้องกันตามแนวเขตของมณฑล เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ตรวจการในการกระทำสิ่งต่างๆ
“ไม่”
หลี่มู่ปฏิเสธที่จะให้อีกฝ่ายเข้าพบอย่างไม่ลังเล นอกจากนั้นยังบอกให้ชิงเฟิงไปพูดกับเขาเองด้วย
ส่วนตัวเขาเองนั้นรีบหนีไปหลบอยู่ด้านหลังสำนักงานอย่างเร็วไว
...