MS บทที่ 5 ขี้ขลาด?
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?” เฉิงหลงซิงลูบเคราตัวเองด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าหลีมู่คือปราชญ์กระจอกงั้นหรือ? เขาจะเชี่ยวชาญวรยุทธ์ได้อย่างไร? ถึงแม้ว่ากำลังของกองทัพผสมจะไม่แข็งแกร่งมากนักแต่กลับถูกกำราบลงได้ด้วยเวลาไม่กี่วินาทีเนี่ย ข้าว่าข่าวจากเมืองหลวงผิดพลาดหรือเปล่า?”
เฉิงหลงซิงยังมีหน้าที่อื่นนอกจากเป็นผู้เฝ้าประตูเตียนฉีของไถไป๋ นั่นก็คือเป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพแห่งจันทราโลหิต
และก็เป็นเขาเองที่เป็นคนออกคำสั่งให้มีการลอบสังหารหลีมู่ ฝีมือของเขาเองก็ถือว่าอยู่ในระดับสุดยอดเหมือนกัน
ถึงแม้ว่ากองทัพผสมจะเน้นไปที่การใช้เพลงหมัดหรือวรยุทธ์อะไรหลายอย่าง แต่นั่นก็ยังมีการใช้ปราณอยู่บ้างประปราย อย่างไรก็ตาคนที่เข้าร่วมกองทัพนั้นได้ก็ย่อมต้องมีฝีมือที่เก่งกาจในระดับสามของผู้ใช้วรยุทธ์แห่งโลกใต้พิภพ
ฝ่ายจันทราโลหิตเองก็ส่งคนที่มีฝีมือสูงส่งมาจัดการลอบสังหารหลีมู่ มีทั้งหมด 5 คนที่เป็นระดับสามและหัวหน้าทีมที่น่าจะเป็นระดับยอดวรยุทธ์ แต่พวกเขากลับถูกชายหนุ่มคนนั้นฆ่าทิ้งอย่างน่าเวทนา
“บางทีหลีมู่อาจจะปกปิดพลังบางอย่างในตัวของเขาไว้ ข้าไม่รู้มาก่อนจริงๆว่าเขาจะมีวิชายุทธ์ด้วย” ชายนักรบในชุดดำโค้งหัวให้กับเขา
เฉิงหลงซิงครุ่นคิดเมื่อครั้งที่หลีมู่มายังที่ว่าการประจำเมืองในช่วงเที่ยง
ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้วยสภาพนิ่งสงบ แต่จริงๆแล้วก็กำลังตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อยถึงจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติอย่างไรก็ยังมีคนดูออกผ่านท่าทางการหายใจหรืออื่นๆ นั่นหมายความว่าเขาเป็นแค่มือสมัครเล่น ไม่ได้มีท่าทีหรือออร่าความเป็นปราชญ์หรือยอดวรยุทธ์เลยแม้แต่น้อย
ซึ่งถ้าหลีมู่ปิดบังได้อย่างมิดชิดจริงๆล่ะก็ เขาจะเป็นบุคคลอันตรายมาก
ในคราวนี้เฉิงหลงซิงพยายามบีบบังคับให้จันทราโลหิตส่งคนมาลอบสังหารหลีมู่ในระหว่างทางที่เขาไปไถไป๋อีกครั้ง เพราะจริงๆแล้วตัวเขาเองก็ต้องการตำแหน่งผู้พิพากษาเหมือนกัน
อาณาจักรฉินตะวันตกหรือแม้แต่ทั่วทั้งประเทศ สถานะของวรยุทธ์และตระกูลต่างๆล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก
นักการเมืองหรือข้าราชการทั้งหลายต่างก็มาจากฝ่ายที่ใช้วรยุทธ์หรือตระกูลเหล่านั้น เขาว่ากันว่าโลกใต้พิภพกับพวกราชสำนักนั้นแบ่งอำนาจการปกครองเมืองกันมาอย่างดิบดี ตามกฎแล้วชาวเมืองใต้พิภพนั้นได้รับสิทธิ์ที่มากกว่า ตัวของเฉิงหลงซิงเองก็เคยเป็นเพียงแค่ทหารคุ้มกัน แต่เขาก็เข้าร่วมกับจันทราโลหิตในภายหลังและทำคุณงามความดีไว้มากมาย ดังนั้นเขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปถึงขั้นสุดยอด
ภายใต้การทำงานให้กับจันทราโลหิต เฉิงหลงซิง นับได้ว่าเป็นราชทูตของไถไป๋ที่สามารถกุมอำนาจทางทหารไว้ได้ส่วนหนึ่ง
ตอนนี้อาณาจักรฉินตะวันตกเองก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย เกิดการฉ้อราษฎรบังหลวงขึ้นมากมาย เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าทั้งอาณาจักรกำลังจะถึงคราวล่มสลาย
เขาวางแผนนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว ทันทีที่หลีมู่ถูกสังหาร เขาจะรีบกำจัดโชวหวูทันที แล้วจากนั้นเขาจะใช้อำนาจของจันทราโลหิตเพื่อทำให้เขากลายเป็นผู้พิพากษาคนใหม่ของไถไป๋
ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของเขามาก
ในมุมมองของเขา ไถไป๋ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีจุดหนึ่ง ถ้ามีการจัดการดูแลที่ดีมันจะกลายเป็นดั่งสรวงสวรรค์ ที่จะทำให้เขาสามารถเสริมกำลังตัวเองได้อย่างช้าๆ
แต่ทว่าตอนนี้แผนของเขากลับมีอุปสรรคมาขัดขวางเสียได้
เขาฝึกตนในห้องลับของเขามาเนิ่นนาน จนสุดท้ายเขาก็แสดงสายตาดุร้ายออกมา “ไม่ว่าจะยังไงแผนก็ยังไม่ถูกยกเลิก ข้าจะไม่รีรออีกแล้ว และข้าจะสั่งให้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจันทราโลหิตมาสังหารหลีมู่ก่อนที่จะทันได้เริ่มทำงาน แผนของข้าจะต้องไม่ล่าช้าอีกแล้ว ”
และแล้วค่ำคืนก็ได้ผ่านไป ดวงตะวันฉายแสงเข้ามา
ดวงอาทิตย์ที่นี่มีสองดวง ทั้งเล็กและใหญ่ เป็นแสงแดดที่ทำให้รื่นรมย์ยิ่ง
ประตูได้ถูกเปิดออก
หลีมู่เดินออกมาจากห้องด้วยสภาพและกำลังใจเต็มเปี่ยม
“นายน้อย...ท่าน...” หมิงหยู่มองไปที่เจ้านายของเขา แต่จากนั้นเขาก็วิ่งหนีออกไปพร้อมกับตะโกน “กลิ่นตัวท่านโคตรเหม็นเลย! นายน้อยท่านไปทำอะไรมา? ทำไมท่านถึงได้มีกลิ่นเหม็นราวกับกองขยะเยี่ยงนี้?”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก จริงอยู่ที่ว่าเขาฝึกพลังและทักษะอยู่ทั้งคืน แต่เขาก็ไม่ได้นึกถึงว่าเจ้าสิ่งสีดำที่ปกคลุมตัวเขาอยู่นี่จะส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวออกมาได้ขนาดนี้
“เอ่อ เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำร้อนให้ข้าที... ข้าอยากจะอาบน้ำ...”
หลีมู่ร้องขอจากข้ารับใช้คนอื่น และไม่นานนักน้ำร้อนก็ถูกเตรียมให้ในอ่าง
ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ
หลังจากล้างคราบสีดำเหล่านั้นออกไปได้ เขาก็พบว่าผิวพรรณของเขาดูนุ่มและมีน้ำมีนวลมากขึ้น หลังจากส่องกระจกก็พบว่าผมของเขายาวขึ้นมากทั้งๆที่เมื่อคืนยังสั้นอยู่เลย แม้แต่ความสูงเองก็เพิ่มด้วยเช่นกัน
หลีมู่ประหลาดใจและกังวลในเวลาเดียวกัน เพราะเขาไม่มีชุดอื่นจะใส่เลยนอกจากชุดประจำตำแหน่ง
เขาคงไม่คิดจะใส่รองเท้าผ้าใบ,กางเกงขาสั้น หรืออื่นๆที่นำมาจากโลกแน่ๆ
ถ้าเกิดใส่ไปล่ะก็ได้เป็นขี้ปากชาวบ้านชาวเมืองกันพอดี อย่างดีที่สุดก็คงเก็บมันไว้เป็นความทรงจำหลังจากกลับไปที่โลกก็พอ
หลีมู่สำรวจไปรอบๆที่ว่าการของเขาและพบว่ามีกล่องที่มีเสื้อผ้ามากมายอยู่ข้างในนั้นวางอยู่ข้างในห้องปรุงยา บางทีเขาอาจจะยืมมาใส่ก่อนก็ได้ ทันทีที่เขาได้รับเงินเดือนเขาจะรีบนำมันมาคืนและไปซื้อชุดใหม่ใส่ทันที
แม่งเอ้ย! เป็นผู้พิพากษาที่น่าอนาถาชะมัด
ชายหนุ่มรีบเดินไปที่ห้องปรุงยาอย่างไม่สบอารมณ์
ข้างในห้องนั้นเงียบสงบ เขาเดินผ่านประตูลับของห้องฝึกตนเข้าไปข้างในนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่อุปกรณ์ปรุงยามากมายในนั้นแต่ยังมีทั้งฝืนที่จัดเรียงมาอย่างดี... หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการทำยามันกองอยู่ในห้องนี้เกือบหมดแหละ มองแค่แว่บเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าของห้องเป็นคนที่ขยันในการทำงานมากแค่ไหน
และมันทำให้หลีมู่รู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด
เพราะบนโลกของเขาในห้องของตาเฒ่านั่นก็มีการจัดวางเหมือนกับที่วัดเหรินเติ้งไม่มีผิด
เขามองหาหีบไม้สีดำใบหนึ่งในห้องนั้นและเปิดมันออก และพบกับเสื้อผ้าจำนวนมากอยู่ข้างในนั้น
อย่างไรก็ตาม เขายังพบว่ามีผ้าเนื้องามอีกตั้งหกชุดแถมยังมีสีที่แตกต่างกันด้วย
ทั้งหมดนั่นถูกทักด้วยไหมทองคำแถมขนาดและสีสันของมันก็แตกต่างไปจากชุดผ้าไหมเงินอีกด้วย ลวดลายบนนั้นมีตั้งแต่ ตะวัน,จันทรา,หมู่ดาว,นกกระเรียน,แปดเหลี่ยม,เจดีย์,มังกร,ฟินิกซ์ และอื่นๆอีกมากมาย ทุกชุดนั้นมีเสื้อข้างในอีกตัวพร้อมด้วยรองเท้า เรียกได้ว่าสภาพแม่งโคตรจะดี
“โฮ่? เจ้าของคนก่อนคงจะมีฐานะน่าดูเลยนะเนี่ย”
บอกตามตรงเลยว่าหลีมู่เองก็เริ่มสงสัยเสียแล้วว่าเจ้าของชุดเหล่านี้เป็นใครกันแน่
เขาสวมชุดสีน้ำและพบว่ามันพอดีตัวเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
วัตถุดิบที่นำมาทำชุดเหล่านี้นั้นนุ่มสบายราวกับว่าเป็นผ้าฝ้ายชั้นดีก็ไม่ปาน
เขาเดินออกจากห้องปรุงยาและกลับไปส่องกระจกที่ห้องของเอง
ชายหนุ่มรูปร่างเพรียวบาง สูงและองค์อาจในชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน ดูแล้วราวกับว่าเป็นเซียนลัทธิเต๋าก็ไม่ปาน
“ค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว”
หลีมู่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังมีข้อที่น่าหงุดหงิดใจอยู่บ้าง นั่นก็คือแขนเสื้อที่ยาวและใหญ่เกินไปนั่นเอง
ถ้าจะให้สู้กันเขาก็คงต้องถกแขนเสื้อขึ้นเหมือนกับพวกนักเลงข้างถนนยังไงยังงั้น แต่เอาเถอะปัญหาเรื่องเสื้อผ้าก็จบไปแล้ว
จากนั้นคือเวลาอาหารเช้าจากเหล่าข้ารับใช้
ผู้ติดตามของเขานำอาหารเช้ามาให้และไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นหลีมู่ในชุดเลิศหรูแบบนั้น
“นายน้อยกลับมาเป็นปกติแล้ว” ชิงเฟิงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันทีราวกับว่าพ่อที่ได้เห็นลูกชายตัวเองหายบ้า
หมิงหยู่ดีใจเป็นพิเศษ “นายน้อยดูดีมากเลยเจ้าค่ะ”
จากนั้นหลีมู่ก็ได้รับรู้ว่าที่อาณาจักรฉินนั้นส่วนใหญ่พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายล้วนแล้วแต่จะใส่ชุดเต๋ากัน พวกเขาให้ความสำคัญกับชุดพวกนี้มาก และชุดพวกนั้นจะดูดีมีราคามากแม้ในสายตาของคนธรรมดาก็ตาม ดังนั้นการที่หลีมู่ผู้ซึ่งเป็นผู้พิพากษาจะใส่มันก็ย่อมไม่แปลกอะไร
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะจัดการอาหารเช้าเสร็จ ข้ารับใช้คนหนึ่งก็มารายงานหลีมู่ว่า โชวหวู ผู้ตรวจตราของมณฑลนี้กำลังจะเดินทางมาขอคำแนะนำจากหลีมู่และคนอื่น
“ไม่ล่ะ ข้าไม่มีเวลาให้พวกเขาหรอก” หลีมู่ปฏิเสธห้วนๆ จริงๆแล้วเขาแค่ไม่อยากจะพบคนแปลกหน้าเพื่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก
“โถ่ นายน้อย... ท่านช่างอ่อนแอเสียจริง...” ชิงเฟิงรู้สึกสมเพชเจ้านายตัวเองขึ้นมานิดๆ
หลีมู่โบกมือและรีบกลับขึ้นไปทันที โดยที่ข้างหลังเขา หมิงหยู่กำลังหัวเราะออกมาอย่างไร้ความปราณี
สามวันผ่านไปไวเหมือนโกหก
ด้านหน้าที่ว่าการส่วนปกครอง
“นี่เขายังไม่คิดที่จะพบเราอีกงั้นเหรอ?”
โชวหวู ผู้ตรวจตรามณฑลมองไปที่หมิงหยู่ที่มาให้คำตอบกับเขา “นี่ท่านผู้พิพากษาไม่คิดจะรับรู้เรื่องราวทางการเมืองใดๆเลยหรือ?”
หมิงหยู่ เด็กสาวตัวน้อยที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในที่ว่าการในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอมีดวงตาและคิ้วที่สวยงามพร้อมกับริมฝีปากที่แดงและฟันสีขาว เธอยิ้มให้กับเขาและพูดตอบ “นายน้อยของข้าบอกว่า ท่านโชวสามารถจัดการเรื่องทางการเมืองได้อย่างเต็มที่เลยเจ้าค่ะ ใช่แล้วค่ะเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยซักนิด”
หลังจากนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเนื้อเหลืออยู่จากการทานมื้อเที่ยงมา เด็กสาวจึงรีบหมุนตัวและวิ่งออกไปทันที
“ถ้าอย่างนั้น...”
โชวหวูและข้าราชการคนอื่นต่างก็มองหน้าด้วยความสงสัย
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาวางแผนที่จะกลั่นแกล้งหลีมู่ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าชายหนุ่มคนนี้จะเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองที่ไม่มีใครอาจเข้ามาเห็นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนั้นสนใจในเรื่องการเมืองบ้างหรือไม่ หรือเขาเพียงแค่มาก่อความวุ่นวายก่อนที่จะเงียบหัวหายไป
...