MS บทที่ 7 ปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก
ในฐานะของผู้พิพากษาที่มาจากศตวรรษที่ 21 หลีมู่เคยเห็นเด็กถูกขโมยอมยิ้มจากเว่ยป๋อ เขาโกรธแทนมากจนแทบเม้นด่าพวกโจรเป็นเวลากว่าห้าวันเลยทีเดียว
“พวกมันช่างเหิมเกริมนัก! ไปพาตัวเจ้าของร้านยารายใหญ่นั่นมาซิ! ไปพาเขาเจ้าฆาตกรคนนั้นมาที่ศาลบัดเดี๋ยวนี้!”
หลีมู่ตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว ตอนแรกเขาแค่จะมาทำหน้าที่เล่นสนุกๆเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับโกรธจริงจัง
ทว่าทหารยามทั้ง 6 คนกลับไม่ทำตามคำสั่งเหล่านั้น
“ทำไมกันล่ะ?” ชายหนุ่มมองไปที่พวกเขา
“คือ... ใต้เท้าขอรับ เรื่องมันเป็นอย่างนี้” ทหารคนนึงเข้ามากระซิบข้างหูเขา
กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงแค่การใช้อำนาจของร้านยาใหญ่ เพราะร้านนั่นขึ้นตรงกับฝ่ายเฉินหนง หนึ่งในสี่ฝ่ายที่ยิ่งใหญ่ในไถไป๋ พวกเขาออกระรานชาวบ้านไปทั่วเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผู้พิพากษาที่ดีของเมืองนี้ควรทำก็คือปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รับรู้เรื่องนี้ไปซะ
“ข้าไม่สนหรอก ไปลากตัวมันมาเดี๋ยวนี้! ข้าคือผู้พิพากษานะ และคำสั่งของข้าคือที่สิ้นสุด!”
สี่ฝ่ายผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองนี้มีดีอะไรกัน ทำไมพวกมันถึงได้ทำตัวโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้?
นี่มันคือพวกแก๊งยามากุจิในโลกต่างดาวแบบนี้ด้วยเหรอ?
แต่ข้าไม่สนใจหรอก! ยังไงเสียข้าก็คือผู้พิพากษาของไถไป๋!
หลีมู่คิดในใจ ยังไงเสียพวกชาวแก๊งเหล่านั้นคงไม่กล้าจะต่อต้านอัครมหาเสนาบดีได้หรอก
“ถ้าเป็นเช่นนั้น....” ทหารยามเริ่มลังเล
ทหารอีกห้าคนที่เหลือเริ่มก้มหัวรับคำสั่ง เพราะพวกเขากลัวว่าหลีมู่จะประกาศชื่อเหล่านั้นมาให้พวกเขาตามจับ
“พวกเจ้ายืนหาพระแสงอะไรอยู่อีกล่ะ? ไปพาตัวมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” หลีมู่เริ่มหมดความอดทนจนต้องใช้ประโยคที่ดูหยาบคายขึ้นมาหน่อยเพื่อให้เข้ากับตำแหน่งผู้พิพากษาขึ้นมาหน่อย
และท้ายที่สุดทหารยามทั้งหกคนก็รีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ทั้งศาลจึงแทบไม่เหลือใครอยู่เลย ทำให้เสียงร้องไห้สะอื้นของเด็กสาวได้ยินชัดเจน
ชายหนุ่มรู้สึกผิดต่อเธอมาก เขาเดินไปปลอบและพูดกับแม่ของเธอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะนำความยุติธรรมมาใหแก่พวกเจ้าเอง”
ในฐานะของข้าราชการน้ำดี เขาต้องนำความถูกต้องมามอบให้แก่ผู้คนให้จงได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องถ่อกลับบ้านไปเสีย
แม้ว่าหลีมู่จะไม่ได้เป็นข้าราชการที่ถูกแต่งตั้งมาอย่างถูกวินัย แต่เขาก็จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
“เป็นพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” หญิงสาวรู้สึกตื้นตันจากใจจริง
สภาพของเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอหายใจรุนแรงพร้อมกับเลือดที่ออกมาจากริมฝีปาก
พูดให้ถูกก็คือ นี่เป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของเธอด้วยซ้ำที่มาร้องเรียนเรื่องราวนี้กับเขา ซึ่งถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากจะเสี่ยงดวงแขวนความหวังไว้กับผู้พิพากษาของเมืองนี้หรอก แต่บังเอิญว่าหลีมู่ดันเป็นผู้ที่รักในความถูกต้องเสียด้วยสิ
จากนั้นไม่นานนักหมิงหยู่ก็วิ่งกลับเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
หลีมู่หันกลับไปเห็นเขาพอดี “โอ้ เจ้านี่เอง มาพอดีเลย เจ้าเข้าไปในเมืองและพาหมอที่เก่งที่สุดในเมืองมารักษาทั้งสองคนนี้ที”
หมิงหยู่หยุดนิ่ง ความตื่นเต้นและอารมณ์ขันบนใบหน้าจางหายไปทันที “ไม่ล่ะเจ้าคะ ข้าอยากจะดูการตัดสินคดีที่นี่เจ้าค่ะ ให้หมอนั่นไปก็ได้นี่เจ้าคะ”
หมอนั่น ที่เธอหมายถึงก็คือชิงเฟิงที่กำลังนั่งบันทึกสำนวนคดีความอยู่
ชายหนุ่มมองเธอด้วยสายตาดูถูก “เจ้าอ่านหนังสือออกหรือ? เจ้าเขียนตัวอักษรได้ไหม? เจ้าบันทึกสำนวนคดีได้หรือเปล่า?”
หมิงหยู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหมุนตัวและรีบวิ่งออกไปตามหมอในเมืองทันทีด้วยความเขินอาย
1 ชั่วโมงผ่านไป
ทหารยามเหล่านั้นกลับมาด้วยมือเปล่า เขาบอกว่าผู้จัดการร้านยาไม่สามารถมาที่นี่ได้เพราะเขายุ่งมากวันนี้ เลยขอเปลี่ยนเป็นวันอื่นแทน
หลีมู่แทบจะอยากขำออกมาจากคำตอบเหล่านั้น
“ไปบอกเขาให้มาที่นี่ภายในเวลาหนึ่งกำยาน หรือไม่อย่างนั้นข้าจะบุกไปพังร้านเขาด้วยมือของข้าเอง”
ชายหนุ่มขบฟันด้วยความโกรธ
“แม่งเอ้ย! ไม่มาที่นี่เพราะว่าไม่ว่างเนี่ยนะ? นี่เขาเป็นนักแสดงตลกหรือยังไงกัน?”
แม้หลีมู่เองก็เป็นคนที่หาข้ออ้างเก่ง แต่เขาเองก็ไม่ชอบใจเหมือนกันเวลาที่เขาโดนแบบนี้กับตัว
ทหารเหล่านั้นเดินออกไปด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
สิบนาทีต่อมา เด็กสาวก็กลับมาที่ศาลพร้อมกับนายฮู หมอยาที่ไว้หนวดเครายาว เขาเช็คอาการบาดเจ็บของหญิงสาวก่อนที่จะบอกให้เธอไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องบาดแผลเพราะมันไม่ร้ายแรงขนาดถึงตาย และขอให้เธอนอนพักผ่อนและทานยาตามที่จัดให้ไว้ก็พอ
เขาคาดว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 หรือ 5 เดือนเธอถึงจะหายดี ลูกสาวของเธอขอบคุณหมอคนนี้มากจนก้มลงกราบแทบเท้า เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่ง
หลีมู่ถอนหายใจ
การที่ครอบครัวของเธอสามารถเปิดร้านยาในไถไป๋ได้นั้นจะต้องมีฐานะอยู่พอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจขัดขืนต่ออำนาจมืดในเมืองนี้ได้และนั่นทำให้ครอบครัวของเธอแทบจะแตกสลายในชั่วข้ามคืน
จริงๆแล้วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะครอบครัวของเธอนั้นไม่ได้อิทธิพบมากมายอะไรที่จะพอปกป้องตัวเองได้ขนาดนั้น
การกระทำอันป่าเถื่อนโหดร้ายแบบนี้คือวิธีที่รวดเร็วและได้ผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนยุคโบราณ
นั่นทำให้หลีมู่เริ่มรับรู้ว่าการมีอำนาจในดาวดวงนี้สำคัญมากเพียงใด
และอีก 1 ชั่วโมงต่อมา
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมถูกนำตัวขึ้นศาล
“ทางนี้ขอรับท่านฮวง” ทหารดูเหมือนจะให้เกียรติชายคนนี้มาก เขาหันไปทำความเคารพหลีมู่ “ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยนำตัวเขามาที่นี่แล้ว เขาคือ ฮวงเหว่ย ผู้จัดการร้านโอสถวิเศษ”
หลีมู่มองไปที่นายฮวง
“ข้าเคยเห็นท่านมาก่อน ท่านผู้พิพากษาแห่งไถไป๋” ชายคนนั้นตัวไม่สูงมาก เขายิ้มให้กับหลีมู่พร้อมกับโค้งคำนับ
แม้ว่าภายนอกเขาจะดูดี แต่หลีมู่ก็มองเขาทะลุปรุโปร่ง ซึ่งความสามารถนี้เขาได้มาจากการฝึกพลังเชียนเถียน
“ท่านหลี นี่คือคนที่พรากชีวิตครอบครัวของท่านไปหรือไม่?” หลีมู่ถามหญิงสาว
เธอมองไปที่ฮวงเหว่ยซักพัก ก่อนที่จะส่ายหัว “เรียนใต้เท้า ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้ และเขาไม่ใช่คนที่ฆ่าครอบครัวของข้าด้วยเจ้าค่ะ”
หลีมู่มองไปเหล่าทหารยามด้วยความโกรธจนพวกเขาไม่กล้าจะสบตามอง
ฮวงเหว่ยยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมตัวมาอย่างดิบดี “ใต้เท้า ดูเหมือนว่าจะมีข้อผิดพลาดที่นี่นะขอรับ ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังตามหาผู้ใดกันอยู่ และเขาผู้นั้นก็คือหนึ่งในลูกจ้างของข้าน้อยเอง แต่ช่างน่าเสียดายยิ่งที่ข้าได้ทำการไล่เขาออกไปเมื่อสามวันก่อนหน้านี้แล้วเพราะความผิดที่เขาได้ก่อเอาไว้... ข้าต้องขอแสดงความเสียใจต่อนางหลีจริงๆ แต่ข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้แล้วจริงๆ”
อะไรนะ?
บ้าจริง!
เขาทำแบบนี้ได้ยังไง?
ถ้างั้นก็แสดงว่าบนดาวดวงนี้ก็มี ลูกจ้างชั่วคราว ด้วยสินะ
หลีมู่ตะลึงพร้อมกับความโกรธในจิตใจ เขาถูกคนพวกนี้หลอก
“แหม ช่างน่าเสียดายจริงๆ อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้กันน้อ?” หมิงหยู่ตะโกนขึ้นมาด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงที่หยาบคาย
ฮวงเหว่ยหันมามองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา แต่เขาก็คลายสีหน้านั้นออกเมื่อเห็นว่านางเป็นแค่เด็กรับใช้
“ทำไมท่านถึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ? ท่านไม่คิดว่าเจ้านายของข้าจะทำร้ายท่านจนตายได้หรือ?” หมิงหยู่ เด็กสาวอายุ 12 ปี ดวงตาที่สดใสและฟันที่สวยงามพร้อมด้วยผิวสะอาดดั่งหยกที่ได้รับการขัดมาเป็นอย่างดี ราวกับว่าเธอคือหมาป่างามที่พร้อมจะกัดคนที่มาห้ามเธอได้ทุกเมื่อ
ตึง!
หลีมู่ทุบค้อน พร้อมพูดด้วยความโกรธ “ข้าไม่สน ร้านโอสถวิเศษต้องพาฆาตกรมาให้ข้าภายในสามวัน หรือไม่เช่นนั้นร้านของเจ้าจะต้องถูกสั่งปิด และคืนร้านของเจ้าให้กับท่านฉางพร้อมด้วยค่าปรับจำนวน 500 เพื่อเป็นค่าทำขวัญให้กับท่านหลี และยังเป็นการเพื่อ... เอ่อ... เพื่อเยียวยาจิตใจ”
เขาจะยอมถูกหลอกด้วยคำว่า ลูกจ้างชั่วคราวได้ยังไงกัน?
หลีมู่เริ่มตัดสินคดีตามสัญชาตญานของเขา หลังจากที่ทางคู่กรณีเริ่มเล่นเล่ห์กลกับเขา
“ใต้เท้า ท่านกำลังกล่าวหาข้าอยู่นะขอรับ” ฮวงเหว่ยขมวดคิ้วพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจ “เจ้าฆาตกรนั่นไม่เกี่ยวกับร้านของข้าแล้ว และข้าก็จ่ายเงินไปมากเพื่อซื้อร้านนั้นมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ข้ายังมีสัญญาที่ลงลายมือของนายฉางด้วยถ้าท่านต้องการจะดูหลักฐาน...”
เขาหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาและมอบให้ทหารยาม
“ไม่จริง นี่มันของปลอมเจ้าค่ะ!” ทันทีที่นางหลีเห็นมัน เธอก็คุมสติตัวเองไม่อยู่และเข้าไปทำร้ายฮวงเหว่ยด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าปลอมมันขึ้นมาแน่ๆ! เจ้าฆ่าครอบครัวของข้าและตัดนิ้วของเขามาใช่ไหม? เขาคงจะไม่ต้องมาแบบนี้ถ้าเขายินดีขายร้านนี้ให้กับเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์”
ทหารยามรีบมาจับตัวเธอแยกออกมาจากเขา “หยุดนะ ห้ามทะเลาะกันในศาล”
แต่เธอพยายามขัดขืนพร้อมกับกระอักเลือดออกมาและล้มลงไปกองบนพื้น
“แม่จ๋า แม่จ๋า แม่เป็นอะไรหรือเล่า? ตื่นเถอะ ข้าไม่อาจสูญเสียแม่ไปอีกคนนะ...” ลูกสาวของเธอประสบกับเหตุการณ์ที่เหมือนกับสรวงสวรรค์เพิ่งพังทลายลงมา ทุกสิ่งที่เธอผ่านมันมาจนถึงตอนนี้มันทำให้ดวงตาของเธอมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา ร่างกายของเธอสั่นเทาราวกับลูกเป็ดที่กำลังอยู่ท่ามกลางพายุฝน
หลีมู่หยิบกระดาษสัญญาแผ่นนั้นมาฉีกทิ้งโดยไม่ทันได้อ่าน
“ท่าน...” ฮวงเหว่ยหน้าซีด “ใต้เท้า ท่านทำแบบนี้กับสัญญาที่มีตราประทับของท่านโชวบนอยู่นั้น ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร?”
หลีมู่ยืนขึ้น และเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฮวงเหว่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ข้าหมายความว่า ข้าเบื่อที่จะเล่นลิ้นกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องอธิบายความจริงทั้งหมดทุกอย่างรวมไปถึงหนังสือสัญญานั่นด้วย... ข้าจะไม่ถอนพูดใดๆทั้งสิ้น กลับไปบอกเจ้านายของเจ้าแบบนี้ซะ ว่าถ้าพวกเจ้าหาหลักฐานที่แท้จริงมาแสดงความบริสุทธิ์ใจของเจ้าต่อหน้าข้าไม่ได้ภายในสามวัน ร้านของเจ้าได้ถูกข้าถล่มแน่”