MS บทที่ 15 เกือบลืมสิ่งสำคัญ
ชายวัยกลางคนทั้งสองต่างก็เดินเข้าไปข้างในด้วยอารมณ์ดี
ความรู้สึกกดดันและหวาดกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้ก็ได้มลายหายไปสิ้น
ไม่ว่าใครก็ตามที่แข็งแกร่งมากขนาดไหน นั่นก็เป็นกรณีที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาหรอก แต่กลับกันถ้าหากว่าคนคนนั้นตายไปแล้วก็ไม่ต้องมีอะไรให้กังวล
เมื่อคิดได้ว่าหลีมู่น่าจะตายไปแล้วข้างในนั้น โชวหวูและเฉิงหลงซิงก็รู้สึกผ่อนคลายสุดๆราวกับว่าพวกเขากำลังพักผ่อนนอนอาบแดดโดยที่มีแตงโมเย็นฉ่ำในหน้าร้อน
จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ของชิงเฟิงดังตามมา
“โถ่ นายน้อย...”
เสียงนั่นเศร้าโศกเสียจนจะพาลทำให้คนที่ได้ยินร้องไห้ตาม
แต่โชวหวูและเฉิงหลงซิงที่ได้ยินนั้นกลับคิดว่านั่นเป็นเสียงของธรรมชาติอันร่มรื่นย์
“เดี๋ยวก่อน... นี่มันอะไรน่ะ”
“นั่นสิ... นี่มันกลิ่นอะไรน่ะ?”
ทหารบางคนกระซิบกัน
พวกเขาทั้งหมดเดินเข้ามาถึงส่วนลึกสุดของถ้ำ โชวหวูกับเฉิงหลงซิงรีบวิ่งเข้าไปข้างในนั้นทันที
แต่ทว่า
“นี่มัน...”
“อะไรวะเนี่ย?”
สิ่งที่โชวหวูและเฉิงหลงซิงเห็นก็คือ หลีมู่ที่ควรจะตายไปแล้วกำลังนั่งปิ้งบาร์บีคิวกินอย่างสบายใจเฉิบอยู่กลางห้อง
ใช่แล้วพวกเขามองไม่ผิดหรอก ไอ้เด็กคนนี้มันกำลังกินบาร์บีคิวอยู่
บนหัวไหล่ของเขายังมีลูกธนูปักทะลุอยู่เลยด้วยซ้ำ เลือดยังไหลออกมาอยู่เรื่อยๆเลยด้วย แต่เขายังทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
เขาจุดกองไฟตรงหน้า และใช้ลูกธนูเลาะเนื้อที่ไม่รู้ว่าของตัวอะไรออกมาย่างไฟอย่างสบายใจเฉิบ
กลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลฟุ้งไปทั่วห้องโถงหลักของถ้ำนี้ ช่างเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาดและน่าพิศวงยิ่ง
มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
โชวหวูและเฉิงหลงซิงอ้าปากค้าง
หลีมู่มันยังไม่ตาย!
ไม่ใช่แค่นั้นมันยังกินบาร์บีคิวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ด้วยซ้ำ
มัน... เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
โชวหวูและเฉิงหลงซิงแทบจะเป็นบ้าที่ได้เห็นภาพนี้
“โอ้ พวกท่านที่มาทั้งหมดนี้ข้าคุ้นใบหน้าพวกท่านยิ่งนัก... แต่ก็นึกไม่ออกแหะ เอาเป็นว่าท่านชื่ออะไรนะ?” หลีมู่ชี้นิ้วไปที่โชวหวูแต่สายตาของเขากำลังจดจ้องอยู่ที่บาร์บีคิว
โชวหวูเริ่มสิ้นหวัง ‘ข้าทุ่มเททุกสิ่งอย่างลงไปเพื่อกำจัดเจ้าเด็กนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ามันฆ่าไม่ตายงั้นรึ? ดีล่ะ’
“ใต้เท้า ข้าคือโชวหวู นายอำเภอของมณฑลที่ท่านประจำการอยู่” เขาเผยรอยยิ้มออกมา “ยินดีด้วยขอรับกับการที่ท่านปราบพวกเฉินหนงลงได้ด้วยตัวท่านเอง ผู้คนทั้งไถไป๋จะต้องชื่นชมในตัวท่านเป็นอย่างแน่”
หลีมู่พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรในคำพูดเหล่านั้น เขาหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาแล้วมองมันด้วยใบหน้าที่ไม่สุขใจยิ่ง “อืม... ถ้าไม่มีเครื่องเทศแม่งโคตรจืดเลย... โอ้ แล้วท่านล่ะ? ท่านที่ดูเป็นคนจากทางการคนนั้นน่ะ ท่านมีนามว่าอะไร?”
เฉิงหลงซิงที่ถูกชี้นิ้วมาพูดตอบเขาไป “ใต้เท้าขอรับ ข้าคือนายทวารประตูเตียนฉี เฉิงหลงซิง คือนามของข้า”
ด้านหลังของเขาก็คือเหล่าทหารที่ก้มหัวทำความเคารพเขาเช่นกัน “ใต้เท้า”
หลีมู่มองพวกเขาแต่ก็ไม่ได้เอะใจหรือเอ่ยคำพูดใดๆออกมา
พวกเขาปล่อยให้มะเร็งร้ายอย่างกลุ่มเฉินหนงกัดกินชาวบ้านและมณฑลมามากกว่า 20 ปี มันไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งหลีมู่เองก็ไม่ได้พอใจกับพวกข้าราชการที่จัดการพวกมันไม่ได้ซักเท่าไหร่
โชวหวูและเฉิงหลงซิงมองไปที่ชิงเฟิงพร้อมกัน
“ข้าสับสนกับท่าทีของเจ้ามากเลยเจ้าเด็กน้อย”
“ถ้านายน้อยของเจ้ายังไม่ตาย แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ร้องไห้ออกมาอย่างโศกเศร้าขนาดนั้นกันเล่า?”
ชิงเฟิงไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย เขาร้องไห้พลางเช็ดเลือดที่หัวไหล่ของหลีมู่ต่อไปแล้วจึงพันผ้าพันแผลให้เขาที่ไม่มีใครรู้ว่าไปเอามาจากไหน แต่เขาก็ไม่สามารถดึงลูกธนูออกมาได้ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้มันปักคาอยู่อย่างนั้น ด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
ส่วนหมิงหยู่เองก็จ้องมาที่บาร์บีคิวของหลีมู่ด้วยสายตาที่เปล่งประกาย น้ำลายเริ่มไหลออกมาจากปาก
จริงดิ? นี่เอ็งร้องไห้เพราะนายน้อยมึงบาดเจ็บแค่นั้นเหรอ?
มันต้องไม่ใช่แน่ๆ
สำหรับหมิงหยู่แล้ว ตราบใดที่นายน้อยของเธอยังไม่ตาย เธอก็ไม่สนใจอะไรหรอก
มีอะไรจะสำคัญไปกว่าการกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าอีกล่ะ?
กองไฟถูกสุมให้ลุกขึ้น กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยไปทั่ว บรรยากาศแม่งโคตรจะแปลกเลย
จากนั้นโชวหวูก็ได้พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบงัน “ใต้เท้า ท่านต้องรีบไปรักษาตัวในเมืองนะ”
“ใช่แล้วใต้เท้า ท่านได้รับบาดเจ็บหนัก ท่านควรจะรีบไปรักษาที่โรงหมอในเมืองเถิด ให้ข้าจัดการเรื่องที่นี่เสีย” เฉิงหลงซิงคะยั้นคะยอให้หลีมู่รีบออกไปจากที่นี่
เขาพลาดโอกาสสำคัญที่จะฆ่าหลีมู่ไปเสียแล้ว
เฉิงหลงซิงเองก็โมโหที่เขาไม่สามารถดำเนินการแผนขั้นต่อไปได้ ไม่ใช่แค่แผนในครั้งนี้ แต่เป็นแผนทั้งหมดที่เขาเคยใช้มันมาล้วนแล้วแต่พังไม่เป็นท่าเพราะพลังของหลีมู่
“ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าแค่สู้มานานจนหิวน่ะ รอให้ข้าจัดการอาหารตรงหน้านี่เสร็จก่อนค่อยไปก็แล้วกัน” หลีมู่ค่อยๆกัดชิ้นเนื้ออย่างช้าๆก่อนจะบ่น “เฮ้อ สงสัยต้องย่างต่ออีกนิดแหะเจ้าชิ้นนี้”
ไม่นานนักทั้งโชวหวู,เฉิงหลงซิงและทหารทั้งหลายก็เพิ่งสังเกตเห็นงูยักษ์กว่า 30 เมตรนอนตายอย่างสงบอยู่ด้านหลังของหลีมู่
งูตัวนี้เริ่มจะมีเขางอกออกมาจากหัว นั่นหมายความว่ามันกำลังจะกลายเป็นมังกรในไม่ช้าแล้ว แต่ก็ดันมาตายเสียก่อนโดยไม่ต้องสืบเลยว่าเป็นฝีมือของใคร หางที่ยาวกว่า 1 เมตรของมันถูกตัดขาดด้วยคมดาบเผยให้เห็นเนื้อสีขาวสดที่หลีมู่ใช้ย่างกินจนถึงตอนนี้
งูที่กำลังจะกลายเป็นมังกร โดนเชือดเสียจนตายอย่างน่าสงสาร
โชวหวูกับเฉิงหลงซิงตะลึงอีกครั้ง
ดูจากรูปร่างลักษณะแล้ว งูตัวนั้นน่าจะเป็นสัตว์นำเข้าที่มีราคาสูง สำหรับนักรบทั้งหลายแล้วมันมีค่ามากตั้งแต่ผิวหนังชั้นนอกไปจนถึงกระดูกเลยทีเดียว ทุกชิ้นส่วนของมันสามารถใช้ในการเสริมพลังปราณได้ทั้งนั้น
กลุ่มเฉินหนงไปหาสิ่งมีชีวิตแบบนี้ได้ยังไงกัน?
ยิ่งคิดเฉิงหลงซิงก็ยิ่งไม่สบายใจ เพราะเขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมพวกเฉินหนงให้อยู่ใต้กำมือของเขามาได้โดยตลอด แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพวกมันซ่อนความลับดำมืดอะไรไว้มากมายจากเขา
“นายน้อย ข้า ข้า ข้า ข้า...” หมิงหยู่ชี้ไปที่ตัวเองและพูด “อย่าเห็นแก่ตัวสิเจ้าค่ะ แบ่งให้ข้าน้อยด้วย!”
หลีมู่ยื่นชิ้นเนื้อย่างให้กับทั้งสองคนและพูดกับชิงเฟิง “เจ้าจะร้องไห้ทำไมล่ะ? กินเนื้อเข้าไปสิ เนื้อที่ทำมาจากงูอายุรุ่นทวดของเจ้าเลยนะ แม่งโคตรอร่อยเลย!”
ชิงเฟิงเช็ดน้ำตาและกินชิ้นเนื้อไปทั้งอย่างนั้น เขาพูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้นนอกจากเสียงสะอื้นในลำคอ
หลีมู่หัวเราะออกมาดังๆ
บอกตรงๆเลยว่าเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของเขานั้นมาจากข้ารับใช้สองคนนี้ล้วนๆ
ในบรรดาหลากหลายคนในถ้ำนี้ มีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นที่เขาภาวนาให้ปลอดภัย... แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนโงที่ไม่รู้หรอกว่าชายวัยกลางคนทั้งสองนั้นมาที่นี่ทำไม
ในตอนนี้นอกจากเสียงของหลีมู่และข้ารับใช้กำลังกินเนื้อย่างนั่น ก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆออกมาทั้งนั้น
บรรยากาศก็ยิ่งพิลึกไปกันใหญ่
หัวใจของโชวหวูและเฉิงหลงซิงเต้นระรัวราวกับมีคนมาละเลงกลองในนั้น
ทันใดนั้นหลีมู่ก็นึกขึ้นได้ เขาตะโกนขึ้นมา “โอ้!”
ชายทั้งสองรีบก้มหัวและถามเขาทันที “มีอะไรหรือใต้เท้า?”
“ใช่เลย ข้าเกือบเรื่องสำคัญไปเสียสนิท”
ชายทั้งสองมองหน้ากันด้วยความสงสัย
จะมีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องการกินงูของเขาอีกเหรอ?
หลีมู่พูดต่อ “นี่เป็นคำสั่งจากข้า พวกเจ้าจงไปพาฮวงเหว่ยเจ้าของร้านโอสถวิเศษมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
โชวหวูรับคำสั่ง ถึงแม้จะไม่รู้จุดประสงค์ก็ตามแต่เขาก็หันไปสั่งทหารของเขาต่อ
จากนั้นไม่นานนัก ฮวงเหว่ยก็ปรากฎกายที่ถ้ำแห่งนี้ด้วยสภาพหวาดกลัว
“ใต้ ใต้ ใต้เท้าขอรับ...” สีหน้าของเขาซีดลงด้วยความผวา ปากของเขาสั่นเทาจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ร้านโอสถวิเศษนั่นเป็นหนึ่งในการดูแลของเฉินหนง แล้วในตอนนี้มันก็ได้ล่มสลายไปแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่กลัว?
ทันทีที่ฮวงเหว่ยได้รับข่าวว่ากลุ่มเฉินหนงล่มสลายไปแล้ว เขาคิดว่านี่ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆ ไม่มีใครในไถไป๋สามารถทำลายล้างกลุ่มเฉินหนงได้หรอก แต่จากนั้นไม่นานนักเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้เผชิญหน้ากับหลีมู่ในตอนนี้
เขาเห็นภาพของสถานที่ที่ถูกทำลายจนราบคาบ กองซากศพที่ร่างกายแหลกเหลว เสาหินที่พังทลาย ทุกสิ่งอย่างนี้บีบให้เขากลัวเด็กคนนี้แบบสุดๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของฉีกงจิ้งแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าสรวงสวรรค์ของเขาก็ได้พังทลายลงมา