MS บทที่ 20 มวยเจิ้งหวู่กระบวนท่าที่สอง
ที่ว่าการส่วนปกครอง
ในห้องฝึกตนด้านหลัง
หลีมู่กำลังนั่งสมาธิพร้อมกับใช้พลังเชียนเถียน เพื่อควบคุมเลือดงูในร่างกายของเขา
ควันสีขาวลอยขึ้นมาจากหัวราวกับไอน้ำ
เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความร้อนของเลือดในร่างกายที่ค่อยๆเลือนหายไปจนร่างของเขากลับมามีอุณหภูมิปกติ
เจ้างูยักษ์ตัวนั้น หรือที่ฉีกงจิ้งเรียกว่า มังกรมรกต ถูกเลี้ยงด้วยยาและสมุนไพรสารพัดจนมันเริ่มจะกลายร่างเป็นมังกร ทำให้เลือดของมันมีปราณวนเวียนอยู่ข้างในนั้นด้วย ว่ากันว่าหากผู้ใดที่ได้มีเลือดงูไหลเวียนอยู่ร่างกายนั้นจะมีความสามารถในการต้านพิษได้เกือบทุกชนิด
ฉีกงจิ้งใช้เวลากว่าสิบปีในการใช้งูตัวนี้เพิ่มทักษะและพลังของเขา
เขาหวังจะฆ่าหลีมู่และงูตัวนี้เพื่อดูดกลืนเลือดของมัน
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป 3 วัน
หลีมู่ยังคงปล่อยควันไอน้ำออกมาอยู่ตลอดเวลาจนทั้งห้องเริ่มร้อนขึ้น
“เฮ้อ...” เขาถอนหายใจยาวๆก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆด้วยความสบายใจ
แผลที่ไหล่ของเขาในตอนนี้หายดีแล้ว
หลีมู่เปิดผ้าพันแผลดูก็ต้องตกใจ “โว้ว? แผลหายดีได้ยังกันเนี่ย? แถมไม่มีรอยแผลเป็นด้วยนะ”
เขาไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เพราะแผลที่เป็นรูแบบนั้นไม่น่าจะหายได้ในเวลาที่รวดเร็วเพียงนี้ มิหนำซ้ำยังไม่ทิ้งร่องรอยของการสมานตัวไว้อีกด้วย
ทำไมกันล่ะ?
“มันเป็นเพราะเลือดงูหรือว่าพลังเชียนเถียนกันนะ?”
หลีมู่อยากจะหาข้อพิสูจน์ เขาหยิบมีดขึ้นมาเตรียมจะแทงแขนตัวเองแล้ว แต่ก็คิดได้ว่ามันน่าจะเจ็บจนเกินทนก็เลยวางมันลงไปก่อน
ยังไงก็ตามนี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับเขาเลยทีเดียว
เขารู้สึกได้เลยว่าร่างกายของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนที่จะไปถล่มรังพวกเฉินหนงมาก เขารับรู้ได้เลยว่าเขาสามารถต่อยเพื่อทลายผืนฟ้าแยกแผ่นดินได้ในหมัดเดียวและไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เขายกไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นประสาททั้งห้าของหลีมู่เริ่มฉับไวขึ้นหลังจากการต่อสู้ ราวกับว่าโซ่ที่ล่ามเขาไว้อยู่ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น
หลีมู่พยายามฝึกมวยเจิ้งหวู่อีกครั้งจนสำเร็จกระบวนท่ายกหอกอย่างง่ายดาย
ความรู้สึกแบบเมื่อครั้งก่อนมลายหายไปสิ้น เขาเริ่มไม่รู้สึกเจ็บหรือกล้ามเนื้อฉีกแบบครั้งก่อนอีกแล้ว
หลีมู่ดื่มด่ำไปกับความรู้สึกนี้มาก
จนเขาสามารถฝึกกระบวนท่าค้อนหินเมฆาได้แล้วแต่ก็ยังไม่เลือกไปขั้นต่อไป เขาฝึกท่าค้อนหินเมฆานั่นต่อ
ยิ่งฝึกไปการเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งเฉียบคมขึ้น
หลีมู่รู้สึกได้ถึงสิ่งประหลาดปรากฎขึ้นในหัวของเขา มันคือพลังที่ใช้ในการเก็บเกี่ยวพลังที่โผล่ขึ้นมาเพียงแว้บเดียวราวกับภาพหลอน จิตใจของเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย
เด็กหนุ่มเริ่มเหงื่อไหล โชคยังดีที่เวลาเขาใช้กระบวนท่านี้ยังไม่มีการระเบิดใดๆเกิดขึ้นตามมา ทุกครั้งที่เขาใช้มันจะเป็นเพียงก้อนเมฆพุ่งผ่านกันไปเท่านั้น
หลีมู่หยุดมือลงแล้วนั่งคิดทบทวนถึงพลังในกายของเขา
มวยเจิ้งหวู่นั้นไม่ได้ถูกใช้ในการฆ่าคนหรือทำร้ายร่างกายเป็นหลัก แต่มันเอาไว้ใช้ในการเสริมกำลังทางด้านวิชายุทธ์ ตาเฒ่าเคยบอกไว้ว่ามวยเจิ้งหวู่นี้มันเหมือนกับหมัดเซียน ซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มก็ได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ถึงกระนั้นการที่วิชายุทธ์ระดับพื้นฐานแบบนี้จะมีพลังแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้
มวยเจิ้งหวู่และพลังเชียนเถียนเป็นความลับยิ่งยวดของหลีมู่ ที่ไม่ควรจะถูกแพร่งพราย
ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าพวกจ้าววรยุทธ์ล่วงรู้ถึงเคล็ดวิชานี้ มันจะก่อให้เกิดการต่อสู้กันแบบในยุคของอู๋หลิน ที่ปรากฎอยู่ในนิยายของจิงหยง ถึงหลีมู่จะมั่นใจขนาดไหนเขาก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้
เขาเก่งกาจจนถึงขั้นกวาดล้างพวกเฉินหนงได้ก็จริง แต่พวกนั้นก็เป็นเพียงแค่กลุ่มเล็กๆเท่านั้นและหลีมู่อาจจะไม่สามารถรับมือกับพวกจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งจริงๆก็ได้
เด็กหนุ่มเดินไปมาในห้องฝึก
เขาเดินไปที่โต๊ะหินและต่อยมันลงไปตรงๆ
ไม่มีแม้แต่รอยร้าวเกิดขึ้น
ต่อมาเขาจึงได้ออกแรงต่อยมันลงไปอย่างเต็มเหนี่ยว
ตู้ม!
โต๊ะหินนั่นถูกหมัดของเขาต่อยทะลุไปจนแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง
เด็กหนุ่มรู้สึกพอใจขึ้นมาทันที
กระบวนท่าค้อนหินเมฆานั้นอยู่ในคอนเซปของการจัดการวัตถุด้วยพลัง หมัดทรงพลังเมื่อกี้แม้จะดูเบาบางแต่ก็มีพลังทำลายล้างที่มากมายจนสามารถล้มศัตรูได้
“สิ่งเดียวที่ฉันทำไม่ได้ในตอนนี้ก็คือใช้ปราณภายในที่จะทำให้กลายเป็นปรมาจารย์ของโลกนี้สินะ?”
หลีมู่เริ่มเข้าไม่ถึงเรื่องนี้
พลังเชียนเถียนไม่สามารถใช้ในการฝึกปราณภายในได้ ทุกครั้งที่เขาหายใจออกปราณเหล่านั้นก็ไหลออกไปด้วย
“บางทีฉันอาจจะต้องฝึกใช้วรยุทธ์ของโลกนี้สินะ?”
ข้างนอกนั้นมืดมากแล้ว
แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วบริเวณด้วยความนุ่มนวล
ร่างผอมบางร่างหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังก้อนหินนอกประตูนั่นเงียบๆราวกับผี
“โฮ้ย?” หลีมู่กลัวมากในตอนแรกแต่เมื่อเดินไปก็พบว่าเป็นหมิงหยู่ “โธ่เอ้ย เจ้านี่เอง ทำไมต้องทำอะไรลับๆล่อๆแบบนี้ด้วยล่ะ? เจ้าทำให้ข้ากลัวนะ”
หมิงหยู่หันมาหาเขา ดวงตาของเธอส่องประกายดังดวงจันทร์ เธอพูดด้วยความไม่พอใจ “สวัสดีนายน้อย ท่านใช้คำผิดนะ ข้าน่ะมาดูดวงจันทร์ต่างหากล่ะ... เอ้อ ใช่ นายเฟิงขี้ประจบอะไรนั่นน่ะกำลังรอท่านอยู่ในที่ว่าการน่ะ เขามารอท่านชั่วโมงกว่าแล้วด้วย”
ได้ยินแบบนั้นหลีมู่ก็หัวเราะ ไม่คิดว่าหมิงหยู่จะเรียกเฟิงหยวนซิงว่าคนขี้ประจบ
บางทีเขาอาจจะมารายงานเรื่องราวของวันนี้ก็ได้
เด็กหนุ่มเองก็คิดจะไปพบเขาอยู่แล้วหลังจากที่คิดเรื่องอะไรซักอย่างเสร็จ เขาหันไปพูดกับหมิงหยู่ด้วยรอยยิ้ม “หลังที่ว่าการเรามีไก่หรือเป็ดบ้างไหม?”
...
ด้านหน้าที่ว่าการส่วนปกครอง
เฟิงหยวนซิงกำลังรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย แม้จะรอมามากว่า 1 ชั่วโมงแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าไม่พอใจได้
ในตอนนั้นเขาเลือกหักหลังโชวหวูอย่างไม่ลังเลเพราะเขาคิดว่าหลีมู่นั้นยังเด็กและถูกชักจูงได้ง่าย
เฟิงหยวนซิงนั้นใช้เล่ห์กลมากมายและแฝงตัวอยู่กับพวกคนเลวมานานหลายปี จนเขามั่นใจว่าสามารถควบคุมทุกอย่างได้แล้วจึงดำเนินแผนการขั้นต่อไป และในตอนนี้เขาไม่ได้คิดว่าจะสามารถบงการหลีมู่ให้ทำตามที่เขาหวังได้แล้ว
การแสดงพลังในครั้งนั้นของหลีมู่ทำให้เขาหวาดกลัวฝังลึกลงไปในใจ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เฟิงหยวนซิงตกใจและรีบจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้ดูเข้าทีเข้าทางที่สุด
และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจเป็นอย่างมาก
หลีมู่เดินออกมาจากด้านหลังจริงๆ แต่สัมผัสของพลังดูแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้อยู่ในชุดตามปกติที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ เลือดยังคงไหลออกมาย้อมผ้าพันแผลนั่นมันทำให้เขาดูหวาดกลัวในสายตาของเฟิงหยวนซิงมาก
“สวัสดีขอรับใต้เท้า” เขารีบทำความเคารพทันที