px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 22 เจ้าสมควรเป็นนักปรุงยา


"ข้าหรือขอรับ?"

 

               เจียงอี้จ้องไปที่นางอย่างว่างเปล่า เขามั่นใจว่าในวันนั้นที่เขาอยู่ที่หอสมบัติ คุณหนูจีควรจะไม่เห็นหน้าเขาสิ นางจะจำเขาได้อย่างไรด้วยการมองเพียงครั้งเดียว?

 

               ผู้ดูแลหยางก็มองไปที่นางอย่างตะลึงงันเช่นกัน ในขณะที่สุภาพบุรุษสามคนจ้องมองไปที่เจียงอี้ที่สวมหน้ากากทองแดงด้วยสายตาที่ประหลาดใจมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่คุณหนูจีกับระดับพลังขั้นที่แปดของขอบเขตฉูติ่งของนางมาเลือกคู่ซ้อมระดับป้ายทองแดงไปเป็นคู่ซ้อม การโจมตีแค่นิ้วของนางเพียงนิ้วเดียวจะไม่ทำให้เจียงอี้ไปสู่ความตายใช่ไหม?

 

               อย่างไรก็ตาม สุภาพบุรุษทั้งสามก็ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็วจากความตะลึงงัน พวกเขาทั้งหมดคิดว่าเป็นความพยายามของแม่นางจีทิงยวี่ที่จะหลีกเลี่ยงพวกเขาอย่างจงใจและทำให้พวกเขาไม่สามารถออกความคิดเห็นใดๆได้ พวกเขายืนที่จุดเดิมด้วยความรู้สึกอับอาย

 

               "หมาป่าเดียวดาย เตรียมเข้าประลอง!"

 

               แม้ว่าโถงวรยุทธจะไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตความดูแลของเมือง แต่ตระกูลจีก็เป็นถึงผู้ปกครองเมือง โดยปกติแล้ว ผู้ดูแลหยางก็ไม่กล้าต่อกรกับจีทิงยวี่อยู่แล้ว ดังนั้นเจียงอี้ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น และเขาก็รีบเดินตามนางเข้าไปในห้องซ้อมประลองในทันที

 

               "ปัง!"

 

               ประตูห้องถูกปิดลง สุภาพบุรุษทั้งสามยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็ว แม่นางจีทิงยวี่ผู้นี้ไม่เคยอ่อนไหวต่อความพยายามของชายทั้งสามในการจีบนางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเลย เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเคยเจอมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของนางมากเกินไป

 

               ในห้องซ้อมประลอง...เจียงอี้จ้องมองหญิงสาวผู้มีเสน่ห์จากตระกูลจียืนอยู่ตรงข้ามกับเขาอย่างเขม็ง การจ้องอย่างเขม็งของเขาเป็นนัยของความกลัวที่จะได้มองนางโดยตรง โชคดีที่เขาสวมหน้ากากอยู่ ดังนั้นจีทิงยวี่จึงไม่สามารถเห็นใบหน้าแดงระเรื่อที่ร้อนผ่าวของเขาได้

 

                ดวงตาของจีทิงยวี่เผยให้เห็นถึงความสุขเพียงเล็กน้อย นางจ้องมองเจียงอี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก จนกระทั่งนางไม่สามารถกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไป นางเปิดปากพูดว่า "นายน้อยอี้ ไม่ได้พบกันเสียนาน!"

 

               "จริง..."

 

               เจียงอี้ยิ้มด้วยความขมขื่น วันนั้นเขาใช้นามแฝงว่า "อี้เจียง" ที่หอสมบัติ อย่างไรก็ตาม เขามองจีทิงยวี่และถามว่า "คุณหนูจี ท่านจำข้าได้อย่างไร? ท่านไม่เห็นดวงตาของข้าในวันนั้น หรือเห็นกันนะ?"

 

               "ข้าแค่เดาเฉยๆ!"

 

               จีทิงยวี่หัวเราะเบาๆและอธิบายว่า "ข้าแค่ตกใจเล็กน้อยที่เจ้ามองเมื่อตอนที่อยู่ข้างนอกห้องตอนนั้นและพยายามซ่อนร่างกายของเจ้าทันทีหลังจากที่เราเข้าไปในห้อง เมื่อมองรูปร่างของเจ้า ข้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดูคุ้นเคย ในที่สุดข้าก็สามารถเดาได้หลังจากมองไปที่รองเท้าของเจ้า"

 

               เจียงอี้ก้มศีรษะลงเพื่อดูและเขาก็เริ่มหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อเห็นรองเท้าผ้าที่ขาดรุ่งริ่งที่เขาสวมใส่อยู่ เจียงเสี่ยวนู๋เย็บรองเท้าคู่นี้ให้เขา เนื่องจากเขาไม่ได้ซื้อรองเท้าใหม่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเลย ซึ่งมีรอยปะสามจุดที่สะดุดตามาก

 

               เขาพึมพำและเยาะเย้ยตัวเอง "คุณหนูอี้ ข้าคิดว่าท่านไม่ควรเรียกข้าว่านายน้อย ทำไมท่านไม่เรียกข้าว่าอี้เจียงเฉยๆ! ท่านเคยเห็นสุภาพบุรุษหรือนายน้อยสวมรองเท้าที่ขาดรุ่งริ่งเช่นนี้หรือ? "

 

               "เจ้าเข้าใจผิดแล้ว อี้เจียง!"

 

               จีทิงยวี่ส่ายหัวแล้วตอบว่า "ใครถูกกำหนดให้เป็นผู้ที่เลิศเลอตั้งแต่ต้นเมื่อเกิดมา? ไม่มีใครสามารถละทิ้งภูมิหลังครอบครัวของตัวเองได้ แต่เราสามารถกำหนดและควบคุมโชคชะตาของเราเองได้ ข้าเรียกเจ้าออกมาด้วยความเคารพ ไม่ใช่เพราะภูมิหลังของเจ้า จำนวนผู้เยาว์ในเมืองเทียนอวี่ที่หล่อและมีความสามารถนับไม่ถ้วน แต่ข้ามักจะขี้เกียจเกินกว่าที่จะพูดคุยกับพวกเขา เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้ากล่าวหรือไม่?"

 

               "ขอบคุณที่ให้คำชี้แนะ!"

 

               ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายขึ้นมา เขาป้องกำปั้นของเขาและคำนับด้วยความเคารพ จิตวิญญาณของความกล้าหาญในใจเขาล้นเอ่อ เขายิ้มตอบว่า "ในอนาคตข้าจะยิ่งใหญ่แน่นอน ข้าจะไม่ลืมคำสอนและคำชี้แนะของท่านเลย"

 

               "เฮ้อ…"

 

               เมื่อเห็นว่าแววตาของเจียงอี้เปล่งประกายภายใต้หน้ากาก จีทิงยวี่ก็นิ่งงันไป ในตอนแรกนางเพียงต้องการปลอบเจียงอี้และไม่อยากให้เขารู้สึกอึดอัด สิ่งที่นางไม่คาดหวังก็คือเจียงอี้รู้สึกเปลี่ยนไปราวกับเป็นอีกคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง

 

               ความรู้สึกของความเชื่อมั่นและความยิ่งใหญ่ที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเขาทำให้นางมีความรู้สึกลึกลับที่คุ้นเคยราวกับว่าเขาเป็นเหมือน ... พ่อของนางเมื่อตอนที่เขาได้รับฉายาผู้ปกครองเมืองเทียนอวี่

 

               หลังจากที่เจียงอี้เห็นแววตาที่จีทิงยวี่มองเขา เขาก็เริ่มเคอะเขินและรีบเปิดบทสนทนา "คุณหนูจี ตั้งแต่เรียกข้ามาเพื่อเป็นคู่ซ้อมในการประลอง เราจะสู้กันในตอนนี้เลยหรือไม่? ข้าหวังว่าท่านจะมีเมตตาต่อข้าด้วยนะขอรับ"

 

               "คู่ซ้อมในการประลอง?"

 

               จีทิงยวี่ตะลึงงันอีกครั้งกับคำพูดของเขา ด้วยพลังที่มีอันน้อยนิดของเจียงอี้ เขาพร้อมที่จะต่อสู้กับนางในการประลอง แม้ว่าแก่นแท้พลังของพวกเขาทั้งสองถูกปิดผนึกจากการใช้งานแล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างพลังของพวกเขาจะไม่ห่างเกินไปหรือ เป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะอยู่นิ่งๆและให้เจียงอี้เป็นผู้โจมตีนางแทน? นี่ถือเป็นการอนุญาตให้เขาเป็นคู่ซ้อมของนางหรือไม่?

 

               อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้อเสนอเจียงอี้ ทำให้นางไม่รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะไม่สุภาพและปล่อยให้เขาต้องเสียหน้าแบบนั้น นอกจากนี้เมื่อเข้ามาในห้องซ้อมประลองยุทธแล้ว หากไม่มีการต่อสู้กับคู่ซ้อมอาจจะทำให้เกิดความสงสัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 

               จีทิงยวี่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องที่เจียงอี้สามารถนำเม็ดยาที่มีลวดลายนั่นเช่นกัน นางยิ้มแล้วตอบว่า "นายน้อยอี้ ได้โปรดอย่าออมมือเช่นกัน เตรียมสู้ได้เลย!"

 

               "เจียงอี้ตระหนักถึงบางสิ่งอย่างรวดเร็ว...เขาไม่ใช่คนที่เป็นคู่ซ้อมหรอกหรือ? เขาจะเป็นคนเริ่มโจมตีได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มแห้งและพูดว่า "คุณหนู โปรดเริ่มได้เลยขอรับ คู่ซ้อมผู้นี้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของท่านเอง"

 

               "เอาล่ะ!"

 

               นางกระโดดด้วยขาข้างหนึ่งของนาง และบินไปมาเหมือนผีเสื้อกำลังตอมดอกไม้ มือของนางร่ายรำไปในอากาศราวกับว่ากำลังดีดกู่ฉิน[1]อยู่ ภาพหลายภาพถูกผลิตขึ้นมาจากกระบวนท่าตามมือของนาง มองดูแล้วช่างสับสน

 

               ในระหว่างนี้ เสียงของนางดังขึ้นราวกับระฆังเงินและพูดว่า "โปรดระวัง นายน้อยอี้! กระบวนท่านี้มาจากตระกูลจีของเรา..เป็นกระบวนท่าระดับมนุษย์ขั้นสูง...กระบวนท่าระบำวิญญาณ"

 

               ช่างเป็นท่วงท่าที่งดงามนัก! แก่นแท้พลังสีดำ!

 

               ความเร็วของฝ่ามือที่เคลื่อนไหวชะลอตัวลงในทันที เขาใช้กระบวนท่าจิตลวง และหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วและหลบการโจมตีที่เข้ามา

 

“ฮะ?”

 

               ในตอนแรกจีทิงยวี่เกรงว่านางจะส่งเจียงอี้ปลิวไปภายในหนึ่งกระบวนท่า ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะใช้กำลังเต็มที่ในการโจมตีครั้งแรกนี้ แถมนางยังใช้กระบวนท่าการต่อสู้ระดับมนุษย์ ใครจะคิดว่าเจียงอี้จะสามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย? การเคลื่อนไหวของเขาผ่อนคลายและราบรื่นเป็นธรรมชาติเหมือนเมฆที่กำลังเคลื่อนที่และน้ำที่ค่อยๆไหล

 

“อึก!”

 

               นางรู้สึกประทับใจมาก รอบนี้นางกระโดดสองขาของนางซึ่งเพิ่มความเร็วในการดีดกู่ฉินของนางขึ้น ก่อนที่จะไหลเวียนกระบวนท่าระบำวิญญาณอีกครั้งและโจมตีไปที่เจียงอี้

 

               "หวด!"

 

                สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจคือ เจียงอี้ซึ่งระดับพลังงานเป็นเพียงขั้นที่สองของ ขอบเขตฉูติ่งเท่านั้น แต่เขาสามารถหลบการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง คราวนี้นางยังไม่สามารถแตะได้แม้กระทั่งชายเสื้อของเขาเลย

 

               มันแปลกมาก เป็นไปได้ไหมที่นายน้อยผู้นี้ปกปิดพลังอันยิ่งใหญ่ของเขาอยู่?

 

               จีทิงยวี่สับสนกับสิ่งที่นางเพิ่งพบเห็น นางตัดสินใจที่จะไม่ผ่อนพลังของนางอีกต่อไป นางเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

นิ้วทั้งสิบบนมือทั้งสองข้างของนางเคลื่อนไหวราวกับกำลังดีดกู่ฉิน เผยให้เห็นภาพคล้ายพลังงานหลายๆเส้นกำลังพุ่งตรงไปพันรอบเจียงอี้

 

พลังขั้นที่แปดของขอบเขตฉูติ่งนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ! หากผู้ที่อยู่ขั้นที่แปดนั้นพึ่งพาความแข็งแกร่งและความสามารถทางร่างกายเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ใช้แก่นแท้พลังใดๆ

 

ความเร็วตามธรรมชาติของผู้นั้นจะเทียบเท่ากับผู้ที่ใช้แก่นแท้พลังขั้นที่สามหรือสี่ของขอบเขตฉูติ่งได้เลย!

 

เมื่อเห็นเงาหมัดที่เผยมามากมายเท่าที่สายตาเจียงอี้จะเห็นได้ เขาถอนหายใจด้วยความเสียใจเล็กน้อย ในใจของเขาลึกๆแล้ว เขาไม่ต้องการที่จะเสียหน้าต่อหน้าสาวงามผู้นี้

 

เขารู้ดีว่าความเร็วของเขาจะไม่สามารถเอาชนะจีทิงยวี่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหยุดพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการโจมตีที่เข้ามาอีกต่อไปและใช้สายตาของเขาเพ่งไปที่ฝ่ามือของจีทิงยวี่แทน

 

ด้วยความคิดที่รวดเร็วเขาสามารถประเมินกระบวนท่าการโจมตีของคู่ต่อสู้และปล่อยฝ่ามือม้วนอาภรณ์ทั้งสองข้างพุ่งไปข้างหน้าเป็นเกลียวราวกับสาหร่ายทะเล

 

“ปัง!”

 

ก่อนที่ฝ่ามือม้วนอาภรณ์ของเจียงอี้จะหยุดฝ่ามือของคู่ต่อสู้ได้ ฝ่ามือของคู่ต้อสู้ก็ได้ปัดฝ่ามือของเขาไปเสียก่อน ความเจ็บปวดของเขาแผ่ซ่านออกมาซึ่งทำให้เขากระเด็นกลับมาประมาณสามเมตร

 

ด้านจีทิงยวี่ ร่างของนางยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิมของนางในขณะที่นางก็คอยสังเกตุเจียงอี้ด้วยรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของนาง

 

"พลังของคุณหนูจีนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ข้าขอชื่นชมและยอมรับว่าข้าน้อยด้อยกว่ามาก" เจียงอี้ยิ้มด้วยความเจ็บปวด

 

หากไม่ใช่เพราะแก่นแท้พลังของพวกเขาถูกปิดผนึก เขาอาจจะพ่ายแพ้ไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกเลยก็ได้

 

จีทิงยวี่ยิ้มอย่างแผ่วเบาและส่ายหัว นางยกย่องเขาด้วยใจจริงและพูดว่า "นายน้อยอี้มากกว่าที่ทำให้ทิงยวี่ประหลาดใจมาก! แม้แต่คู่ซ้อมระดับป้ายทองก็ไม่สามารถขัดขวางการโจมตีของข้าได้ ไม่ใช่เหรอ?"

 

"เฮ้อ ... น่าเสียดาย นายน้อยอี้ ที่ระดับพลังของท่านนั้นยังต่ำเกินไป. มิฉะนั้นการประลองของเรานี้ ท่านคงช่วยข้าฝึกฝนได้เป็นแน่...และแน่นอน ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกท้อแท้เลย นายน้อย...มีผู้คนที่ฝึกการบ่มพลังช้าอยู่มากมายบนโลกใบนี้ที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้"

 

นางถอนหายใจอย่างเงียบๆอยู่ภายในใจ...โชคไม่ดีสำหรับเจียงอี้ เขานั้นอายุมากแล้วและระดับพลังของเขาก็อยู่เพียงขั้นที่สองของขอบเขตฉูติ่ง เว้นแต่ตระกูลครอบครัวที่มีอำนาจยิ่งใหญ่จะใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการฝึกฝนเขา และยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งเป็นการยากที่พลังจะเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

นอกจากนี้การพึ่งพาน้ำอมฤตเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างจอมยุทธที่ทรงพลังได้ในทันที ทรัพยากรที่จำเป็นคือสิ่งที่ครอบครัวธรรมดาไม่สามารถที่จะใช้จ่ายและบริโภคได้

 

"เอาล่ะนายน้อยอี้ ข้าต้องขอตัวก่อน!"

 

เมื่อนางเดินไปถึงประตูทางออกของห้อง นางก็หันกลับมาและกล่าวว่า "นายน้อย ข้าคิดว่าสิ่งที่ดีต่อเจ้าคือการเรียนปรุงยาต่อไปเรื่อยๆกับนักปรุงยาที่ปรุงเม็ดยานั้นขึ้นมา...เขามีความรู้และมีพลังมาก หากเจ้าติดตามเขาต่อไป เจ้าจะมีความเจริญรุ่งเรืองและไม่ต้องกังวลไปตลอดชีวิตของเจ้าเลย"

 

คุณหนูอี้เปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป ปล่อยเจียงอี้ที่กำลังสับสนงุนงงเรื่องที่นางบอกให้ติดตามนักปรุงยาไป นางหมายถึงใคร? หรือนั่นจะเป็นผู้เฒ่าหลิ่ว เขาจะทำอย่างไรได้เพราะผู้เฒ่าได้ตายไปแล้ว? แล้วเขาจะมีชีวิตที่ดีเพียงใด จากการเป็นนักปรุงยาอันดับหนึ่งกันนะ?

 

หลังจากคิดไปสักพัก เจียงอี้ก็ไม่สามารถคิดอะไรต่อได้เลยและจบลงด้วยการไม่คิดเรื่องนี้อีกต่อไป หลังจากไปรายงานตัวกับผู้ดูแลหยางแล้ว เขาก็เดินออกจากโถงวรยุทธและกลับไปที่พัก

 

แม้ว่าเจียงอี้จะยืนยันเรื่องการจ้างงานของเขากับโถงวรยุทธแล้ว แต่เขาก็มีนิสัยที่เป็นธรรมชาติ เรื่องที่ไม่มีสิบตำลึงทองในมือของเขาและยังไม่ได้แลกป้ายคำสั่งกลับคืนมา เขาไม่ได้บอกอะไรเสี่ยวนู๋เลยแม้แต่เรื่องที่เขาต้องพบเจอในโถงวรยุทธ

 

เขาบอกเสี่ยวนู๋เพียงว่า ตั้งแต่ตอนนี้เขาทำงานให้กับโถงวรยุทธ ไม่ต้องกังวลอะไรและยังสั่งนางไม่ให้ออกไปนอกบ้านเพื่อทำงานใดๆเลย

 

วันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จภารกิจของหัวหน้าหรงในตอนเช้า เจียงอี้ก็ตรงไปที่โถงวรยุทธอีกครั้ง ผู้ดูแลหยางให้ยาเม็ดวิญญาณแก่เขาสามเม็ด และปล่อยให้เขาบ่มเพาะพลังตลอดทั้งวันนอกจากตอนที่อี้หลิงเสวี่ยสั่งให้เจียงอี้เป็นคู่ซ้อมอย่างเจาะจง

              

คราวนี้อี้หลิงเสวี่ยยืนยันที่จะให้เจียงอี้โจมตีนางก่อน เจียงอี้ไม่มีทางเลือกและสุดท้าย…เขาสามารถจับการเคลื่อนไหวนางได้ทั้งหมดและเริ่มโจมตีเป็นครั้งแรกทำให้เขาสามารถโจมตีนางได้อย่างง่ายดาย โชคดีของนาง ที่ทุกครั้งเจียงอี้ไม่ได้ใช้กำลังมากเกินไปในการโจมตีของเขาและหยุดการโจมตีทันทีที่เขาถูกตัวนาง

 

คู่ซ้อมมากมายต่างอิจฉาเขาแต่เขาก็ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับคุณหนูอี้หรือแม้แต่คุณหนูจีเลย เขารู้ดีว่าจีทิงยวี่แตกต่างจากคุณหนูตระกูลอี้ทั้งชนชั้นและสถานภาพทางสังคม ส่วนคุณหนูอี้ก็เพียงแค่ต้องการที่จะซ้อมประลองกับเขาก็เท่านั้น

 

ด้วยเม็ดยาวิญญาณฟรีที่เขาได้รับอย่างไร้ขีดจำกัด รวมถึงความเร็วในการฝึกที่โถงวรยุทธ นอกเหนือจากการกระตุ้นโดยแก่นแท้พลังสีดำ การฝึกฝนของเจียงอี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว...

 

อย่างไรก็ตามปริมาณของพลังที่จำเป็นต้องใช้ในการบรรลุไปยังขั้นที่สามของ ขอบเขตฉูติ่งนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปกติ เพราะระดับพลังงานของเขาติดอยู่ในขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว เพื่อบรรลุไปยังขั้นที่สามของ ขอบเขตฉูติ่งได้และไม่ต้องคิดเลยว่า แม้ว่าเขาจะมีความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นมาก มันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุขั้นที่สามโดยไม่ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนในการบ่มเพาะพลัง

 

ทุกอย่างราบรื่นไปจนผ่านไปหลายวัน และจีทิงยวี่ก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก เจียงเฮิ่นซุ่ยและเจียงหยูหลงก็เช่นกัน เจียงอี้ใช้เวลาทุกวันในการไปมาระหว่างโถงวรยุทธ เขาซีชานและลานบ้านพักตำหนักเจียง เพียงแค่ซ้อมกับอี้หลิงเสวี่ยหรือบ่มเพาะพลัง วันเวลาของเขาก็ผ่านไปค่อนข้างไว

 

เวลาได้ผ่านพ้นมาถึงวันที่สิบ ผู้ดูแลหยางได้ให้สิบตำลึงทองแก่เจียงอี้ตามข้อตกลง หลังจากเจียงอี้ได้รับตำลึงทองมาเขาขอโทษผู้ดูแลหยางและรีบวิ่งไปที่หอนางโลมเฟิงเยว่อย่างไม่รีรอเลยแม้แต่วินาทีเดียว

 

เนื่องจากเป็นเวลาเที่ยง จึงไม่มีลูกค้าในหอนางโลมเฟิงเยว่เลยแม้แต่รายเดียว เมื่อเจียงอี้เดินเข้าไปในหอนางโลมเฟิงเยว่ เขาเห็นพ่อบ้านผู้นั้น นอกจากพ่อบ้านแล้วเขายังเห็นนายน้อยตระกูลใหญ่ซึ่งเขาเคยเห็นอยู่สองครั้งที่โถงวรยุทธ

 

เขาไม่รู้จักชื่อของนายน้อยท่านนั้นนอกเหนือจากแซ่ 'หม่า' ในตอนนี้พ่อบ้านนั่นพูดกับเขาด้วยเสียงเบาๆและประจบสอพลอ ทำให้เจียงอี้รู้สึกว่าเขาเหมือนคนรับใช้  ครั้งนี้ทำให้เจียงอี้เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ที่สนับสนุนหอนางโลมเฟิงเยว่ทันที ซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากตระกูลหม่าซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมือง

 

นี่อาจจะเป็นปัญหา ...

 

ตระกูลหม่าและตระกูลเจียงเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน นอกจากนี้พ่อบ้านนี้ก็รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของตระกูลเจียง

 

เจียงอี้พูดพึมพำกับตัวเองว่ามีบางอย่างผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้รับความสนใจจากพ่อบ้านแล้ว เขาก็ทำได้เพียงบังคับตัวเองและเดินเข้าไปในอาคาร

 

หมายเหตุ: [1] กู่ฉิน คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายหยกพิณ

รีวิวผู้อ่าน