px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 27 ไม่เลวเลย!


 


         “ข้าลบตัวอักขระที่อยู่บนตราประทับไปแล้วสี่ร้อยตัวและทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้าเทียบเท่ากับลูกหลานในตระกูลที่มีความสามารถทั่วไป!”

 

 

         “อืม… แล้วถ้าหากตัวอักขระถูกทำลายไปจนหมด ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้าจะพุ่งทะยานขึ้นไปถึงระดับไหนกันนะ?”
 


         เจียงอี้ลืมตาขึ้นและเริ่มครุ่นคิดหลังจากที่หยุดพักจากการบ่มเพาะพลังภายในห้องฝึกซ้อม ภายในตราประทับที่อยู่บนตันเทียนของเขามีตัวอักขระอยู่ที่แปดหมื่นตัว แต่เพียงแค่สี่ร้อยตัวที่ถูกทำลายไปก็ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นมาขนาดนี้แล้ว

 

 

         เขาแทบจะไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากพวกมันทั้งหมดถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ โชคชะตาของเขาจะพลิกผันไปเช่นไร
 


         เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปนับตั้งแต่ที่เจียงอี้เลือกมาอาศัยอยู่ในโถงวรยุทธ นอกเหนือจากการบ่มเพาะพลังแล้ว เขาก็ใช้พลังทั้งหมดไปกับการทำลายอักขระบนผนึกเหนือตันเทียน

 

 

         จากการประเมิน ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนครึ่งในการทะลวงไปสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่
 


         การเลื่อนระดับจากขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามไปสู่ขั้นที่สี่นั้นย่อมใช้พลังงานมาก แต่โชคดีที่เจียงอี้สามารถใช้เม็ดยาวิญญาณได้ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ประสิทธิภาพในการดูดซับเม็ดยาของเขายังเพิ่มขึ้นเนื่องจากแก่นแท้พลังสีดำ เมื่อรวมทุกอย่างแล้วความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาอาจจะเทียบได้กับเจียงเฮิ่นซุ่ยในตอนนี้
 


         ในทางกลับกัน มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบรรลุขอบเขตฉูติ่งในสี่ขั้นแรก แต่การทะลวงระดับหลังจากนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นที่ห้าของขอบเขตฉูติ่ง มันเป็นดั่งคอขวดที่ยากจะทะลวงผ่าน แก่นแท้พลังที่จำเป็นต้องใช้เทียบเท่าได้กับผลรวมของทุกระดับก่อนหน้านี้รวมกัน

 

 

         ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกยุทธเสเพลจำนวนมากอย่างเช่นเจียงหยูหู่และหม่าเฟยที่ติดอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่เป็นเวลานานหรือบางทีอาจจะต้องอยู่ในขั้นนี้ตลอดไป เพราะสุดท้ายแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลจะยอมเสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือลูกหลานที่มีศักยภาพธรรมดา
 


         นอกจากนี้ประสิทธิภาพของเม็ดยาจะลดลงเมื่อผู้ฝึกยุทธมีระดับการบ่มเพาะพลังที่สูงขึ้น เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีเม็ดยาระดับพิภพหรือเม็ดยาระดับสวรรค์ อย่างไรก็ตามยิ่งระดับของเม็ดยาสูงมากเท่าไหร่ ราคาของมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจมากขึ้นเท่านั้น

 

 

         เม็ดยาระดับพิภพมีราคาอยู่ที่หนึ่งร้อยตำลึงทองต่อหนึ่งเม็ด ในเมืองเล็กๆอย่างเมืองเทียนอวี่ แม้แต่ตระกูลจีก็ไม่สามารถใช้เม็ดยาระดับพิภพกับลูกหลานพวกเขาได้ในระยะยาว สำหรับเม็ดยาระดับสวรรค์นั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำออกมาใช้


         “เอาเถอะ เมื่อถึงเวลาตัดสินใจก็ค่อยว่ากันอีกที ก่อนอื่นข้าต้องรีบทะลวงไปสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ให้ได้เสียก่อน!”

 


         เจียงอี้ถอนหายใจขณะที่หยิบดาบสั้นสีนวลออกมา เมื่อจ้องมองไปที่ตัวดาบ ความหนักใจก็ปรากฏอยู่บนหน้าของเขา หม่าเฟยใช้เวลาร่วมเดือนในการออกตามหาเขา เจียงอี้ยังคงสงสัยว่าถ้าหากเขาหายตัวไป หม่าเฟยจะหันไประบายความแค้นใส่เจียงเสี่ยวนู๋แทนหรือไม่?



         “หมาป่าเดียวดาย ออกมาสู้ได้แล้ว!”
 


         เสียงผู้ดูแลหยางดังออกมาจากด้านนอก เจียงอี้นำดาบสั้นสีนวลที่ได้มาจากหม่าเฟยเก็บกลับไปและสวมหน้ากากหมาป่าอีกครั้ง
 


         คุณหนูตระกูลอี้ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ไม่ว่าเจียงอี้จะเอาชนะนางได้กี่ครั้ง นางยังคงมาที่นี่ทุกวันเพื่อประลองกับเขา แม้แต่เจียงอี้และผู้ดูแลหยางก็จนปัญญาและไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากนางเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของโถงวรยุทธ
 


         “หืม?”
 


         เมื่อออกมาจากห้อง เจียงอี้ก็มองเห็นใครบางคนที่สวมชุดสีขาวซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอี้หลิงเสวี่ย นางมีใบหน้าที่น่ารักและดูแล้วอาจจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอี้หลิงเสวี่ย
 


         โดยไม่ต้องการเสียเวลา เมื่อเห็นเจียงอี้ที่ก้าวออกมา อี้หลิงเสวี่ยก็รีบเดินไปใกล้เขาและกระซิบเบาๆ “หมาป่าเดียวดาย นี่คือลูกพี่ลูกน้องของข้า อี้เฟยเอ๋อ ข้าอยู่ในช่วงการบ่มเพาะพลัง ดังนั้นขอฝากนางไว้กับเจ้าด้วย!”



         “เอ่ออ…”
 


         เจียงอี้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันตา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาปฏิเสธคำชวนของตระกูลอี้ อี้หลิงเสวี่ยมักจะนำญาติหรือคนในตระกูลมาแนะนำให้เขารู้จัก แน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพยักหน้าตอบรับด้วยความขมขื่น
 


         เห็นได้ชัดว่าอี้เฟยเอ๋อไม่ได้มีความสนใจในตัวเจียงอี้ หลังจากที่อี้หลิงเสวี่ยจากไป นางก็ละความสนใจจากเขาและเดินตรงเข้าไปในห้องซ้อมทันทีโดยที่ไม่หันกลับมามองเจียงอี้แม้แต่นิดเดียว เมื่อมาหยุดที่หน้าประตู นางก็กล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

 

 

         “ทำไมเจ้าไม่เข้ามา?”
 


         เจียงอี้ทำได้แค่เพียงเดินตามอย่างเงียบๆ แต่ในชั่วขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง การแสดงออกของอี้เฟยเอ๋อก็เปลี่ยนไป ร่างของนางกระโจนขึ้นจากพื้นพร้อมทั้งเหวี่ยงหมัดใส่เจียงอี้อย่างไม่ออกแรง
 


         เพียงแค่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สาม? แต่กลับหยิ่งยโสถึงเพียงนี้?
 


         เจียงอี้หัวเราะด้วยความเย้ยหยันภายในใจ เขาไม่ได้ตอบโต้และไม่คิดที่จะใช้แก่นแท้พลังสีดำ เขาเพียงแค่หลบหลีกการโจมตีที่เข้ามาไปเรื่อยๆด้วยท่าก้าวหลอนประสาท
 


         แม้จะปราศจากพลังจากแก่นแท้พลังสีดำ แต่ความเร็วในการตอบสนองและสัญชาตญาณการต่อสู้ของเจียงอี้ก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะการซ้อมประลองหลายครั้งที่ผ่านมา มันไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวผู้เย่อหยิ่งจากตระกูลอี้ผู้นี้จะเทียบได้
 


         เจียงอี้สามารถหลบหลีกการโจมตีของอี้เฟยเอ๋อได้อย่างง่ายดายตลอดสามนาที นางไม่แม้แต่จะได้สัมผัสกับชายเสื้อของเขา
 


         ทุกหมัดที่อี้เฟยเอ๋อปล่อยออกไป ไม่สามารถสัมผัสกับเป้าหมายได้นอกจากอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ความโกรธของนางปะทุออกมา จากนั้นสีหน้าของนางก็เผยให้เห็นความดูถูกและกล่าว “เจ้าเป็นลิงหรือไงถึงทำได้เพียงแค่กระโดดหลบไปมา?”
 


         เจียงอี้ยังคงแสดงสีหน้าเฉยเมยขณะกล่าวตอบ “คิดจะให้ข้าตอบโต้?”



         อี้เฟยเอ๋อยังคงมีสีหน้าบึ้งตึง นางกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจและกล่าว

 

 

         “ทำไม? หรือเจ้าไม่กล้า? แน่จริงก็อย่าเอาแต่หนีสิ”

        

         “ตกลง… งั้นก็เตรียมรับมือให้ดี!”
 


         เมื่อได้ยินเช่นนั้น อี้เฟยเอ๋อก็ลงมือโจมตีอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เจียงอี้ได้โคจรแก่นแท้พลังสีดำไปยังบริเวณดวงตาและสะบัดมือข้างหนึ่งออกไปก่อนที่จะพันรอบแขนของอี้เฟยเอ๋อเหมือนกับต้นสาหร่าย
 


         เห็นได้ชัดว่าวิทยายุทธและความสามารถในการต่อสู้ของนางนั้นต่ำกว่าอี้หลิงเสวี่ยมาก เจียงอี้แค่ออกแรงผลักเล็กน้อย อี้เฟยเอ๋อถึงกับรักษาสมดุลไว้ไม่ได้และล้มลงไปกับพื้นอย่างง่ายดาย

        

         “ไม่นะ!”
 


         อี้เฟยเอ๋อเผยอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของนางกลับกลายเป็นสีแดงด้วยความอับอายและโกรธ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นางระเบิดโทสะออกมาอีกครั้งและเริ่มโจมตีเจียงอี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม นางดูคล้ายกับของเล่นที่ทำได้เพียงถูกเจียงอี้ปั่นหัวเท่านั้น
 


         “เจ้า!... พอที ข้าไม่เอาแล้ว!”
 


         หลังจากที่ผ่านไปหลายนาที อี้เฟยเอ๋อก็เดินออกไปทางประตูด้วยความไม่พอใจและหายลับไปอย่างรวดเร็ว
 


         เจียงอี้ทำได้เพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและกลับไปบ่มเพาะพลังต่อ แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับถูกผู้ดูแลหยางเรียกตัวกลับมาในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เนื่องจากมีคุณชายผู้หนึ่งต้องการที่จะใช้เขาเป็นคู่ซ้อม
 


         หืม? ช่างเป็นกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดายิ่งนัก อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีระดับไม่ต่ำกว่าขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หก เขาเป็นนายน้อยจากตระกูลไหนกัน? ทำไมถึงอยากประลองกับข้า?
 


         เจียงอี้ยังคงสับสน นายน้อยผู้นั้นเดินเข้าไปในห้องซ้อมโดยที่ไม่กล่าวอะไร เจียงอี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามเขาเข้าไป
 


         นายคนผู้ที่ดูเย็นชาผู้นั้นรอจนกว่าประตูจะปิดสนิทก็เริ่มแนะนำตัว “เจ้าคือหมาป่าเดียวดายสินะ? ข้ามีนามว่าอี้หลงยวี ข้าได้ยินจากหลิงเสวี่ยพูดถึงเจ้ามานานแล้ว เช่นนั้นก็มาประลองกันเถิดและจงใช้ทุกสิ่งที่เจ้ามี”
 


         คนจากตระกูลอี้อีกแล้ว…
 


         เจียงอี้เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้วจริงๆ ดูเหมือนว่าอี้หลิงเสวี่ยตั้งใจจะให้ลูกหลานตระกูลอี้เรียงแถวเข้ามาประลองกับเขา อย่างไรก็ตามเจียงอี้ยังคงสงสัยในความสามารถของตัวเอง เขาสามารถช่วยให้ผู้อื่นพัฒนาได้อย่างมหัศจรรย์เช่นนั้นจริงๆหรือ?
 


         แน่นอนในตอนนี้เจียงอี้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถปฏิเสธได้ โชคดีที่เขาทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามซึ่งทำให้แก่นแท้พลังสีดำมีความเข้มข้นมากขึ้น สีของมันก็ยิ่งดูสว่างมากกว่าเดิม

 

 

         แม้ว่าเขายังคงกักเก็บแก่นแท้พลังสีดำได้เพียงแค่สิบเส้น แต่ระยะการใช้งานของมันกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมจนคงอยู่ได้นานถึงห้านาที ต้องขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้เจียงอี้สามารถต่อสู้ได้โดยแทบไม่ต้องเสียเหงื่อ
 


         ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หก!
 


         การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในระดับนี้ทำให้เจียงอี้รู้สึกกดดันไม่น้อย เขาไม่กล้าประมาทและเริ่มโคจรแก่นแท้พลังสีดำให้ทันทีขณะที่จับจ้องไปอย่างคู่ต่อสู้ด้วยความระมัดระวัง
 


         “รับไป! ฝ่ามือม้วนเมฆา!”
 


         เมื่อรู้ว่าเจียงอี้พร้อมแล้ว อี้หลงยวีก็เริ่มลงมือในทันที ฝ่ามือของเขาแปรเปลี่ยนปลดปล่อยพลังที่แหลมคมคล้ายกับใบมีดออกมาและฟาดไปข้างหน้าตามแนวขวาง
 


         อะไรกัน?! ทักษะต่อสู้นี้ค่อนข้างอ่านทางได้ยาก มันดูคดเคี้ยวไปมาอย่างไม่สิ้นสุด แม้แต่เจียงอี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาวิถีของมัน
 


         เจียงอี้เพ่งมองไปยังฝ่ามือของอีกฝ่าย แต่เพราะความตกใจจึงทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าอี้หลงยวีสามารถเบี่ยงเบนทิศทางของการโจมตีได้อย่างน้อยสามหรือสี่ครั้งเลยทีเดียว
 


         ถ่อยก่อน!
 


         เจียงอี้ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วของผู้ฝึกยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถประมาทได้ พริบตาเดียวอี้หลงยวีก็มาปรากฏตัวอยู่ไม่ห่างจากเจียงอี้มากนักและตวัดฝ่ามือมาที่คอของเขาในทันที
 

        

         “ยังไม่หมดแค่นี้! รับไป!”
 


         แม้ว่าการโจมตีด้วยฝ่ามือนี้จะดูอันตรายแต่ก็ไม่ได้ทำให้คอของเจียงอี้บาดเจ็บมากนัก แต่มันก็สร้างความเจ็บปวดให้เขาจนทำให้ความคล่องแคล่วลดลงและถูกบีบให้ทำได้เพียงแค่ตั้งการ์ดเพื่อป้องกัน
 


         “เหอะ!”
 


         อี้หลงยวีแสยะยิ้มด้วยความเย้ยหยัน เจียงอี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามเท่านั้น แม้ว่าแก่นแท้พลังของทั้งสองฝ่ายจะถูกผนึกไว้ แต่พละกำลังทางกายภาพของเจียงอี้ก็ด้อยกว่าเขามาก

 

 

         อี้หลงยวียังคงกดดันเจียงอี้อย่างต่อเนื่อง เขายังคงเลือกที่จะโจมตีไปยังส่วนคอขอเจียงอี้เพื่อลดโอกาสในการตอบโต้ของอีกฝ่าย
 


         เยี่ยม! เช่นนั้นก็เตรียมตัวไว้ได้เลยหากว่าเจ้ายังไม่คิดที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์!

 

 

         ฝ่ามือม้วนอาภรณ์! ท่าก้าวหลอนประสาท!
 


         เมื่อเจียงอี้ยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดที่จะเปลี่ยนกระบวนท่า เขาก็เกร็งฝ่ามือและเหวี่ยงออกไปเพื่อคว้าแขนของอี้หลงยวีในฉับพลัน ในขณะเดียวกันก็เบี่ยงการโจมตีทั้งหมดออกไป จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปด้านหลังอี้หลงยวีอย่างรวดเร็ว
 


         หืม? ไม่เลวเลยนี่!
 


         แต่ดูเหมือนว่าอี้หลงยวีเองก็ไม่น้อยหน้า ความสามารถของเขาไม่ใช่อะไรที่อี้เฟยเอ๋อจะเทียบได้ เขาไม่ยอมปล่อยช่องว่างให้เจียงอี้ได้ลงมือง่ายๆและรีบหันหลังกลับมาพร้อมกับดวงตาที่ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้

 

 

         ผู้ฝึกยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกที่ไม่สามารถมีชัยเหนือผู้ฝึกยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามได้ในเวลาอันสั้น หากเรื่องนี้หลุดออกไปคงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันในเมืองเทียนอวี่แน่ ในฐานะทายาทแห่งตระกูลอี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลต้องเสื่อมเสียด้วยเรื่องเช่นนี้!
 


         อี้หลงยวียังคงปล่อยการโจมตีออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ละกำปั้นอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะหยุดจนกว่าเจียงอี้จะล้มลงไปกองกับพื้น
 


         เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญครางออกมา เขาแทบจะทำอะไรไม่ได้นอกจากการป้องกันและหลบหลีกไปมา ยังโชคดีที่เขาดวงตาของเขาถูกเพิ่มศักยภาพการมองเห็นด้วยพลังจากแก่นแท้พลังสีดำซึ่งยังพอทำให้เขาเอาตัวรอดได้
 


         “ปังง!”
 


         หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจียงอี้ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงกับพื้นและหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แม้จะไม่สบอารมณ์เล็กน้อยและเขาก็ยังคงกล่าวออกมา

 

 

         “นายน้อยอี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าขอยอมแพ้จากใจจริง”

 

         “ฮ่าๆ!”
 


         เช่นเดียวกับเจียงอี้ ร่างของอี้หลงยวีถูกชโลมไปด้วยเหงื่อและเมื่อยล้าถึงขีดสุด สีหน้าของเขาไม่ได้เผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ แต่เป็นสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงการเยาะเย้ยตัวเอง

 

 

         “หมาป่าเดียวดาย เจ้านี่มันช่างสมกับที่หลิงเสวี่ยประเมินไว้สูงจริงๆ ความเร็วและปฏิกิริยาการตอบสนองของเจ้ามันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!”

 

 

         “ลืมเกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะพลังของข้าไปได้เลย หากเจ้าทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่เมื่อไหร่ เกรงว่าแม้แต่ข้าก็จะไม่ใช่คู่มือของเจ้าอีกต่อไป! ข้อเสนอของทางตระกูลอี้ยังคงอยู่… เจ้าสนใจที่จะมาเป็นผู้อาวุโสสองแห่งตำหนักฝึกฝนวรยุทธของตระกูลข้าหรือไม่?”

 

 

         “หากเจ้าตอบตกลง… ก็ปล่อยให้เรื่องการเจรจากับตระกูลเจียงเป็นหน้าที่ของทางเรา นอกจากนี้ข้ายังสามารถเป็นตัวแทนท่านพ่อเพื่อจัดงานแต่งงานระหว่างเจ้ากับหลิงเสวี่ยได้!”
 

 

รีวิวผู้อ่าน