px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 211 : สัตว์อสูรปีศาจ ราชาวานร!!


บทที่ 211 : สัตว์อสูรปีศาจ ราชาวานร!!

 

 

“อะไรนะขอรับ ครึ่งก้าวธรรมชาติ?” ม่านตาของจางเฉวียนและจ้าวกังถึงกับหดแคบลง หลังจากได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลทันที

หากมันเป็นสัตว์อสูรปีศาจจริงๆล่ะก็ แน่นอนว่าระดับบ่มเพาะของมันย่อมเทียบเท่าระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขึ้นไป!

แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงราชาวานรเลย เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นวานรศิลาที่มีระดับบ่มเพาะแค่ครึ่งก้าวธรรมชาติ ก็ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาจะสามารถรับมือได้แล้ว

"นายน้อย แล้วนี่พวกเรายังจะ... " จางเฉวียนและจ้าวกังหันมาจับจ้องต้วนหลิงเทียน ด้วยแววตาทอความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าสุราวานรจะมีคุณค่ามากนักแต่มันก็ยังไม่เทียบเท่าชีวิตของตัวเอง!!

"พวกเราจะเคลื่อนไหวตามสถานการณ์" ต้วนหลิงเทียนพาจางเฉวียนจ้าวกังเข้าลึกไปยังใจกลางหุบเขากางเขนใต้ อย่างระมัดระวัง ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าใดๆ  แน่นอนว่าสมาธิของคนทั้ง 3 ถูกรีดเค้นขึ้นมาเต็มที่ สมาธิถูกใช้อย่างเต็มกำลัง เพื่อจับตาดูรอบด้าน ไม่ให้เกิดอะไรผิดพลาด

ไม่นานกลุ่มของพวกเขาก็พบวานรศิลาที่อยู่รวมกันฝูงหนึ่ง

"นายน้อย นั่นมันสุราวานรใช่หรือไม่?"

ต้วนหลิงเทียนมองไปตามทิศทางที่จางเฉวียนชี้ไป เมื่อเขาหรี่ตามองก็พบว่ามันเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ทั้งภายในบ่อนั้นยังมีน้ำสีอำพันแลดูบริสุทธิ์ สีของมันเหมือนกับสีของสุราวานรที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเคยลิ้มรสไม่ผิดเพี้ยน

"ถูกแล้ว มันเป็นสุราวานร" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า "เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาหาวิธีขโมยสุราวานรกันเถอะ"

จางเฉวียนและจ้าวกังรีบพยักหน้าตอบรับทันที แน่นอนว่าพวกมันเองก็ย่อมสนใจสุราวานรนี่อยู่ไม่น้อย

"เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้า 2 คนไปล่อพวกวานรศิลากลุ่มนี้ออกไปให้ไกล ...แล้วข้าจะอาศัยจังหวะนี้ เข้าไปรวบรวมสุราวานรออกมาเอง พวกเจ้าเห็นว่าเป็นไงบ้าง " ต้วนหลิงเทียนมองไปยังจางเฉวียนและจ้าวกัง ทว่าเขาก็พบว่าสีหน้าของพวกมันยามนี้กลับเป็นกังวลอย่างมาก เขาพลันแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาทันที "พวกเจ้าทั้ง 2 คนคิดหรือว่าข้าจะให้พวกเจ้าไปเสี่ยงอันตราย? วานรศิลาตรงนั้น ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังนับว่าอ่อนด้อยกว่าพวกเจ้า ... ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถล่อมันออกไปได้ล่ะก็ ข้าย่อมสามารถฉกชิงสุรามันมาได้อย่างง่ายดาย "

"นายน้อยท่านสามารถระบุความแข็งแกร่ง หรือระดับบ่มเพาะพวกมันได้อย่างไรกันขอรับ?" จางเฉวียนมองต้วนหลิงเทียนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ใบหน้าของมันยามนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ มันรู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ล้วนไม่เคยเกินความสามารถของนายน้อยมันผู้นี้ทั้งสิ้น

"ความแข็งแกร่งของวานรศิลานั้นจะสามารถระบุได้โดยง่ายโดยการดูที่สีขนของพวกมัน ... พวกเจ้าเห็นหรือไม่วานรศิลาฝูงนั้นมีสีขนที่แตกต่างกัน 3 สี  ตัวที่ขนมีสีเหลืองเข้มนั้น มันหมายความว่ามันยังเป็นวานรศิลาวัยเยาว์ ระดับบ่มเพาะของพวกมันนั้นอยู่ในช่วงกำเนิดแก่นแท้ และกล่าวได้ว่าสีขนสีนี้นับเป็นวานรศิลาที่อายุเยาว์เกือบที่สุดแล้ว  ส่วนพวกที่มีสีเหลืองธรรมดานั้นหมายความว่ามันอยู่ในวัยที่เติบโตเต็มที่แล้ว ระดับบ่มเพาะของพวกมันจะอยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง และตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนั่น เป็นวานรศิลาขนสีเหลืองอ่อนตัวนั้น ระดับของมันอยู่ราวๆ วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6"

"สำหรับวานรศิลาที่จะมีระดับบ่มเพาะสูงกว่าระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ขึ้นไป นั้นสีขนของมันจะเริ่มเปลี่ยนไปคล้ายกับสีทองเข้ม แต่ยามนี้ไม่มีให้เห็น ...ข้าเดาว่าวานรศิลาที่มีระดับบ่มเพาะสูงน่าจะอยู่ในถ้ำ" ต้วนหลิงเทียนมองวานรศิลาที่อยู่ในหุบเขา ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างผู้เชี่ยวชาญ

"นายน้อยท่าน กระทั่งเรื่องพวกนี้ท่านยังรู้อีกหรือขอรับ?" จางเฉวียนและจ้าวกังนั้นแสดงความประหลาดใจออกมาไม่น้อย ก่อนที่จะกล่าวถามต่อไป "แล้วถ้ำของวานรศิลามันอยู่ที่ใดหรือขอรับ?"

"เบื้องหลังพุ่มไม้แถวนั้น พวกเจ้าเห็นแล้วหรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนชี้ไปยังทิศทางหนึ่งที่ห่างไกล ดูเหมือนมันจะทีถ้ำที่ถูกพุ่มไม้ปกคลุมทางเข้าไว้จนแทบมิดอยู่ตรงนั้น ...คงไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นถ้ำนี่ได้เป็นแน่ หากไม่จ้องมองอย่างละเอียด

จางเฉวียนแล้วจ้าวกังหันมองหน้ากันเองก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาหาต้วนหลิงเทียน  "นายน้อยงั้นพวกเราจะเข้าไปล่อพวกมันเองขอรับ"

“ไปเถอะ! แล้วพวกเจ้าก็จำเอาไว้ให้ดี อย่าได้พลั้งมือทำร้ายวานรศิลาพวกนี้จนบาดเจ็บเด็ดขาด  ไม่งั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้!” ต้วนหลิงเทียนเองก็พยักหน้ากล่าวตอบไป ในใจของเขาเองก็มีความกังวลไม่น้อย ‘หวังว่าข้าคงจะไม่บังเอิญเจอราชาวานรหรอกนะ... และหากมันจะมีราชาวานรจริง ก็ขอให้สวรรค์อย่าได้กลั่นแกล้งข้า ให้พบเจอราชาวานรที่เป็นสัตว์อสูรปีศาจเลย หาไม่แล้วอย่าว่าแต่ขโมยสุราวานร กระทั่งคิดหนียังยากแล้ว’

สมบัติที่มีค่ามหาศาลมักมีความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย!

ต้วนหลิงเทียนเองก็เลือกที่จะเสี่ยงโชคดู!

จักรพรรดิกลับขาติมาเกิดนั้น พบกับฝูงวานรศิลาหลายครั้ง แต่ตัวเขาก็ได้พบราชาวานรเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น

เขาเองก็ไม่คิดว่าโชคของเขาจะ ดี ถึงขั้นนั้น!

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

จางเฉวียนแล้จ้าวกังพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเคลื่อนร่างวูบไหวหายไปปรากฏตัวบนโขดหินเรียกร้องความสนใจจากฝูงวานรศิลาโดยพลัน

ทางด้านฝูงวานรศิลาเอง ก็แตกตื่นขึ้นมาโดยพลัน ดูเหมือนพวกมันเองก็ค่อนข้างตกตะลึงไม่น้อยเมื่ออยู่ๆ ก็พบมนุษย์ล่วงล้ำเข้ามาลึกถึงขนาดนี้ แต่พวกมันก็ชะงักเพียงครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานทั้งหมดก็กระโจนเข้าใส่จางเฉวียนและจ้าวกัง กระทั่งวานรศิลาตัวที่เฝ้าบ่อหมักบ่มสุราเองก็ลงมือด้วย

"ตอนนี้ล่ะ!" เมื่อเห็นว่าวานรศิลาทั้งหมดล้วนถูกจางเฉวียนและจ้าวกังดึงความสนใจไปหมดสิ้น ต้วนหลิงเทียนก็ลงมือทันที

วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ต้วนหลิงเทียนระเบิดพลังทั้งหมดออกมา เงาร่างช้างแมมมอธโบราณปรากฏขึ้นเหนือศีรษะเขาถึง 21 ตัว!!

ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 ตัวเขาเองก็มีความแข็งแกรงสูงถึง 19 ช้างแมมมอธโบราณแล้ว!    

ทว่าเมื่อครึ่งเดือนที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็สามารถทะลวงผ่านระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 ไปได้ อีกทั้งเขายังได้ใช้โอสถโลหิตมังกรเพื่อหลอมกลั่นร่างกายด้วยพลังงานต้นกำเนิดจนเสร็จสิ้น ทำให้เขาได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มมาทั้งสิ้น 2 ช้างแมมมอธโบราณ

กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของเขายามนี้เหนือล้ำกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นแรก เสียอีก!!

เมื่อเข้าใกล้บ่อหมักบ่มสุราวานร ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนที่จะส่องประกายเรืองวูบออกมา

พริบตานั้นเอง เตาหลอมโอสถพลันปรากฏขึ้นมาในมือเขา....ที่ต้องใช้เตาหลอมโอสถเพราะ มันเป็นภาชนะใบเดียวที่เขามี

ตุบ!

ต้วนหลิงเทียนกระโดดมาหยุดร่างไว้ที่ปากบ่อบ่มสุราวานร

ทว่าในยามที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะใช้เตาหลอมโอสถตักสุราวานรนั้นเอง ก็บังเกิดลมกรรโชกพัดมาที่เขา ก่อนที่จะมีเส้นแสงเส้นหนึ่งเรืองวูบแหวกฝ่าอากาศ...

ร่างกายของต้วนหลิงเทียนแข็งทื่อไปในทันใด “ข้าคงจะไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกนะ?”

เงาร่างสีทองที่ส่องประกายแว่บขึ้นมาเมื่อครู่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเย็นเยียบไปถึงไขสันหลัง ใจของเขาเองก็เริ่มบังเกิดความกลัวแผ่ซ่านขึ้นมา

เมื่อต้วนหลิงเทียนหันหลังกลับไป  ร่างด้านหลังนั้น ยืนตระหง่านอย่างสงบนิ่ง ต้องแสงจันทร์กระจ่างสว่างไสว เรือนขนสีทองทอประกายงดงาม

วานรศิลาตัวนี้นับว่าตัวใหญ่กว่าวานรศิลาทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนเห็นมาตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา หลายเท่านัก กล่าวได้ว่าขนาดตัวของมันเพียงเตี้ยกว่าหลิงเทียนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ที่สำคัญยามนี้วานรศิลาเบื้องหน้ากำลังใช้ดวงตาที่ทอประกายสีทองจ้องมองมายังต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นปรปักษ์

"สะ ... สัตว์อสูรปีศาจ ราชาวานร!"ร่างของต้วนหลิงเทียนพลันแข็งทื่อเพราะความตื่นตระหนก เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้พบราชาวานรตั้งแต่เขาพบฝูงวานรศิลาครั้งแรก

สัตว์อสูรปีศาจ ราชาวานรตัวนี้คือตัวตันระดับ แรกสัมผัสธรรมชาติ และยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนก็สามารถเห็นสีขนของมันได้อย่างชัดเจน และกล่าวได้เลยว่า ราชาวานรตัวนี้ มันหาได้พึ่งเปลี่ยนเป็นสัตว์อสูรปีศาจแต่อย่างใด

ความแข็งแกร่งของมันนั้นอย่างต่ำๆ ต้องอยู่ในระดับ แรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 4!

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ตอนนี้เองวานรศิลาก็พุ่งตัวออกมาจากถ้ำมาปิดล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้อยู่ตรงกลาง

วานรศิลากลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากนัก แต่ทว่าสีขนของพวกมันนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสีทองเข้ม! ย่อมหมายความความว่าวานรศิลาเหล่านี้ล้วนมีระดับบ่มเพาะไม่ต่ำกว่า ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 แน่นอน!

มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุก ก่อนจะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

จริงๆแล้วคำว่าโอกาส น้อย นั้น ไม่อาจเชื่อได้ว่ามันไม่มาก!...

ในขณะที่กลุ่มวานรศิลาห้อมล้อมต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น พวกมันก็ต่างแยกเขี้ยวยิงฟันทำท่าข่มขู่เอาไว้  ดูเหมือนขอเพียงราชาวานรสั่งการเล็กน้อย พวกมันก็พร้อมพุ่งเข้ามาขย้ำและฉีกร่างต้วนหลิงเทียนออกเป็นชิ้นๆทันที

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  และเริ่มผ่อนคลายตัวเองจากความตึงเครียด เขารู้ว่ายามนี้หากเขาต้องการมีชีวิตรอด มีเพียงต้องกล่าวเจรจากับราชาวานรเบื้องหน้าให้ได้... สัตว์อสูรที่ยกระดับมาถึงสัตว์อสูรปีศาจนั้น แน่นอนว่าย่อมสามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ รวมถึงมีอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ ที่สำคัญบางตัวก็สามารถพูดได้เช่นกัน

"ท่านราชาวานร ตัวข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังราชาวานรก่อนจะกล่าววาจาออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาพยายามสื่อสารกับมัน

"ฮู่มมมม!" ราชาวานรคำรามเสียงต่ำออกมาก่อนที่จะชี้นิ้วไปยังบ่อหมักสุราที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน ดูท่าทางแล้วมันกำลังบ่งบอกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นโจร!

"เอ่อ...ท่านราชาวานร นี่ ... ข้าแค่อยากลองชิมสุราวานรที่เลิศรสดูบ้างเท่านั้น  และตั้งแต่พวกข้ามานี่ พวกข้ายังไม่ได้ทำร้ายวานรที่อยู่ในฝูงของท่านแม้แต่ตัวเดียวเลย” ต้วนหลิงเทียนคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบกล่าวออกมา

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสลดในใจ

นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้กล่าววาจาสุภาพนอบน้อมเช่นนี้?

ซ้ำยังต้องมากล่าวกับลิงจ๋อตัวหนึ่ง!

อย่างไรก็ตามหาก เมื่อคนๆหนึ่งอยู่ภายใต้การตัดสินชะตาจากอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องลดศีรษะลงมาบ้าง  ตอนนี้หากเขายังอย่างมีชีวิตรอดเขาก็ต้องกล่าวกับราชาวานรดีๆ และขอให้มันละเว้นโทษเขา

"ฮู่มมมม  เจี๊ยก~" ราชาวานรคำรามออกมา 2 ครั้ง ดวงตาเย็นชาของมันค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นปกติ ก่อนที่จะชี้นิ้วไปทางด้านนอกหุบเขา

"ท่าน ... ท่านให้ข้าไปได้?" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนวูบวาบขึ้นมา เขาไม่คิดเลยว่าราชาวานรจะว่าง่ายเช่นนี้ ดียิ่งนัก!

เมื่อตระหนักได้ว่ายามนี้ตัวเขาสมควรไม่มีอันตรายใดๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงคิดลองดูอีกสักครั้งเผื่อจะมีโอกาส   เขาชี้ไปยังบ่อหมักสุรา ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม "คือ ... ท่าน จะกรุณาแบ่งสุรามาให้ข้าสักนิดจะได้หรือไม่?"

"ฮู่มมมม!!" โดยแต่ทันใดนั้นเอง ทีท่าราชาวานรที่สงบเสงี่ยมไปแล้วกลับดุร้ายขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน แววตาของมันเย็นชาลง ซ้ำจิตสังหารยังเริ่มแผ่ออกมาอีกครั้ง

"เอาล่ะๆ ไม่เอาๆ ข้าไม่เอาแล้ว ... ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!" ต้วนหลิงเทียนรีบโบกไม้โบกมือ พร้อมเก็บเตาหลอมโอสถไปแล้วรีบหันหลังเดินผ่านฝูงวานรศิลาที่จ้องมองมายังเขาตาเขม็ง

ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ ‘ในอนาคตถ้าความสามารถของข้านายน้อยแข็งแกร่งกว่าเจ้าเมื่อไหร่ละก็ ข้าจะกลับมาสอนบทเรียนพวกจ๋ออย่างเจ้าให้หมดทุกตัว บิดาจะแย่งสุรากินเสียให้หมด!!’

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนก็กำลังจะเดินออกไปนั้นเอง

"ฮู่ม ~" เสียงคำรามน่าหวาดหวั่นของราชาวานรพลันดังขึ้น

"แย่แล้ว!" สีหน้าของต้วนหลิงเทียนซีดลงโดยพลัน สิ่งแรกที่เขาคิดในใจก็คือ ใช่จางเฉวียนและจ้าวกังฝ่าฝืนคำสั่งทำร้ายวานรศิลาไปแล้วหรือไม่?

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆล่ะก็ นับว่าคราวนี้จางเฉวียนและจ้าวกังนำพาเภทภัยอันเป็นหายนะมาสู่ตัวเขาอย่างแท้จริง!

สีหน้าของต้วนหลิงเทียนซีดลง ราชาวานรคำรามออกมาอีก 2-3 ครั้ง ก่อนที่ฝูงวานรศิลาจะพุ่งมาล้อมต้วนหลิงเทียนเอาไว้ และบังคับให้เขาเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง

ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มอย่างขมขื่น ภายในใจร้อนรนแทบบ้าคลั่ง

เขาหวังว่า คงไม่ใช่จางเฉวียนจ้าวกังที่ทำให้ราชาวานรพิโรธขึ้นมา

ฟุ่บ!

ตอนนี้มีเองมีวานรศิลาตัวหนึ่งที่มีสีขนอยู่ก้ำกึ่งระหว่างสีทองเข้มกับสีทอง และมีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่า ของขนาดวานรศิลาทั่วไปในหุบเขา กำพุ่งเข้าหุบเขามา

กรงเล็บของวานรศิลาตัวนี้ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน และด้านหลังของมันก็มีวานรศิลาขนสีทองเข้มแบกเอาไว้

วานรศิลาขนสีทองเข้มบนหลังนั้นกำลังนอนสลบไปอย่างไม่ได้สติ แขนของมันห้อยตกลง ซ้ำยามนี้โลหิตที่หลั่งไหลออกมารวมทั้งเล็บทั้งฝ่ามือของมันกลับกลายเป็นสีดำมืด เห็นได้ชัดว่ามันถูกพิษร้ายมา

"ระดับครึ่งก้าวธรรมชาติ!" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังวานรศิลาตัวที่แบกวานรศิลาที่ถูกพามา ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความตกใจ

วานรศิลาฝูงนี้ นับว่ามีกำลังรบที่น่าสะพรึงกลัวนัก

นอกจากจ่าฝูงของมันจะเป็น ราชาวานรที่มีระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 4 แล้ว ในฝูงยังมี รองราชาวานรที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึงครึ่งก้าวธรรมชาติอีกตัว

"เจี๊ยกๆ... ." รองราชาวานรวางร่างวานรศิลาที่ถูกพิษลงบนโขดหิน ก่อนที่จะพุ่งร่างหายไปด้วยความเร็วสูง

และเมื่อมันกลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มันแบกร่างอสรพิษตัวเขื่องสีดำทมิฬเอาไว้บนไหล่ ...มันเป็นงูเหลือมขนาดมหึมาตัวหนึ่ง ซ้ำทั่วร่างของงูเหลือมตัวนี้ยังมีรอยกรงเล็บและรอยกัดมากมาย

‘งูเหลือมตัวใหญ่นี่น่าจะถูกรองราชาวานรนี่สังหาร!’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

ต้วนหลิงเทียนนั้นสามารถระบุได้ทันทีว่างูเหลือมตัวเขื่องสีดำทมิฬนี้คืออะไร หลังจากค้นในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด

มันคือ งูเหลือมเมฆาทมิฬ

มองไปยังลวดลายที่อยู่บนร่างของงูเหลือมเมฆาทมิฬนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สามารถบอกได้ทันที ว่าระดับบ่มเพาะของมันสมควรอยู่ในระดับ วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 9!

เขาสามารถอนุมานเรื่องราวได้ในทันที งูเหลือมเมฆาทมิฬนี้คงเป็นคนทำร้าย วานรศิลาขนสีทองเข้มตัวนั้น จนติดพิษร้ายแรงมีอาการร่อแร่ใกล้สิ้นลม

แล้วรองราชาวานรตัวนี้ก็มาพบเจอและทำการลงมือสังหารมัน ก่อนที่จะรีบแบกร่างวานรศิลาตัวนี้กลับมา

"พิษของงูเหลือมเมฆาทมิฬงั้นรึ" ประกาตาของต้วนหลิงเทียนเรืองวูบขึ้น เพราะดูเหมือนเขาจะนึกเรื่องน่ายินดีออก

เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพบว่า วานรศิลาที่ถูกพิษนั้นยังไม่ตาย และมันเองก็พึ่งได้รับพิษมาไม่นาน พิษจึงยังไม่ได้แล่นเข้าสู่หัวใจ

แต่แน่นอนว่าขอเพียงปล่อยทิ้งไว้อีกสักครึ่งชั่วยาม พิษของมันก็คงแล่นเข้าสู่หัวใจและสังหารมันได้อย่างแน่นอน

"เจี๊ยกๆๆๆๆ คร่อกๆๆๆ ... ." ทันใดนั้นเอง วานรศิลาทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ล้วนกระโจนเข้าหาร่างงูเหลือมเมฆาทมิฬก่อนที่จะรุมฉีกทึ้งร่างงูเหลือมเมฆาทมิฬด้วยความแค้นจนแหลกเป็นชิ้นๆ

ฉากรุมฉีกร่างจนโลหิตสาดกระจายนี้ ทำให้ต้วนหลินเทียนรูสึกขนหัวลุกเล็กน้อย

 

รีวิวผู้อ่าน