บทที่ 216 : องค์ราชาเรียกเข้าเฝ้า
"นายน้อยแค้นเขาเข้ากระดูกดำ...เพราะเรื่องขององค์หญิงปี้เหยาขอรับ” ชายชราพยักหน้าก่อนที่จะกล่าวตอบคำถามของกู้โหย่วถิง
"องค์หญิงปี้เหยา ... น่าเสียดายนัก ที่บุตรชายข้าคงไม่มีโชคได้ครองคู่กับนางแล้ว" ประกายตาของกู้โหย่วถิงกระพริบวูบวาบขึ้นมา "อย่างไรก็ตาม ยามนี้ประชาชนทั้งหมดล้วนรุมประณามบุตรชายข้า และกล่าวสรรเสริญเพียงต้วนหลิงเทียน ... ในเมื่ลูกอเชวียนแค้นมันเข้ากระดูกดำ เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่บนโลกนี้" กู้โหย่วถิงกล่าวจบท่าทางของเขาก็สุขุมสงบนิ่ง ราวกับเขาแปรเปลี่ยนเป็นพญามัจจุราชที่สามารถลิขิตความเป็นตายให้แก่ผู้ใดก็ได้ตามใจชอบ
บางทีในสายตาของเขาคงไม่มีต้วนหลิงเทียน หรือกระทั่งตระกูลต้วนทั้งตระกูลอยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
"นายท่าน ที่กองทัพของอาณาจักรนภาล่องเราได้ชัยเหนือทัพของอาณาจักรหนันหมันได้นั้น กล่าวได้ว่าทั้งหมดล้วนป็นผลงานของต้วนหลิงเทียนทั้งสิ้น ดูเหมือนยามนี้ฝ่าบาทจะประเมินค่ามันเอาไว้สูงนักขอรับ ซ้ำดูท่าทางแล้วฝ่าบาทคงคิดประทานรางวัลให้มันไม่น้อย บางทีพระองค์อาจจะให้มันเป็นเสาหลักของอาณาจักรก็ได้ขอรับ" ชายชราขมวดคิ้วด้วยความลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมา
"แล้วจะอย่างไร?" กู้โหย่วถิงกลาวถามออกมาอย่างเฉยเมย "บุตรชายข้าตกตายทั้งคน ข้าที่เป็นบิดาจะไม่อาจกระทำสิ่งใดเพื่อบุตรชายได้เลยหรือ? ... ในเมื่อเขาเกลียดต้วนหลิงเทียนเข้ากระดูกดำ เช่นนั้นข้าจะฆ่าต้วนหลิงเทียน เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของเขาในสวรรค์ นับว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าพอจะกระทำให้เขาได้"
ถึงแม้เขาจะคาดเดาได้กว่า 9 ส่วนว่ายามนี้บุตรชายของเขาสมควรถูกสังหารไปแล้ว แต่กู้โหย่วถิงยังคงสงบนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาเองคงจะต้องกริ่งเกรงกู้โหย่วถิงเอาไว้หลายส่วน เพราะบุคคลประเภทนี้ย่อมน่ากลัวอย่างถึงที่สุด และเป็นบุคคลประเภทที่เขาเกลียดและไม่อยากมีปัญหามากด้วยที่สุดเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงกว้างใหญ่ เขาสวมใส่เสื้อผ้าของเขาด้วยความช่วยเหลือจากสตรีทั้ง 2 ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้ากับครอบครัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนไปก็สถาบันบ่มเพาะขุนพลตามปกติ ทว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาไปที่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่เกิดความโกลาหลขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ
"ต้วนหลิงเทียน ข้าชมชอบท่าน!" ตอนนี้เองอยู่ดีๆ สตรีที่อยู่ไม่ไกลก็กล่าวตะโกนออกมาดังกึกก้อง กล่าววาจาบอกชอบต้วนหลิงเทียนออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำฉายชัดออกมาถึงความเขินอาย
ต้วนหลิงเทียนถึงกับตกตะลึง กลุ่มนักศึกษาโดยรอบเองก็ถึงกับตกตะลึงเช่นกัน เสียงสูดลมหายใจดังขึ้นราวกับกระแสคลื่น...ช่างเป็นสตรีที่ ใจกล้านัก!
"ข้าเองก็ชอบเจ้าเช่นกัน" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆ ให้กับนักศึกษาสตรีคนนั้น ก่อนที่จะเดินต่อไปเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเองเหล่านักศึกษาสตรีทั้งหลายก็หันไปมองนักศึกษาสตรีที่กล่าวบอกชอบต้วนหลิงเทียนที่ยืนนิ่งตัวแข็งตาค้างราวกับวิญญาณหลุดลอยด้วยความอิจฉา คราวนี้ทุกนางล้วนกล่าววาจาเลียนแบบออกมา กันใหญ่! "ต้วนหลิงเทียน ข้าก็ชมชอบท่าน!"
"ต้วนหลิงเทียน ผู้อื่นชมชอบท่าน!"
...
เมื่อเผชิญหน้ากับนักศึกษาสตรีที่ร่าเริงและเบิกบานเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนหันไปยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวตอบออกมา "ข้าก็ชอบพวกเจ้าทุกคนเช่นกัน"
เหล่านักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลทั้งหลายที่เห็นทีท่าเป็นกันเองของต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจ เขาช่างแลดูเงียบสงบ และผ่อนคลายนัก ไม่มีแววยโสโอหังน่ารังเกียจเลยสักนิด
"ต้วนหลิงเทียน!" ทันใดนั้นเองมีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาจากที่ไกลๆ
คิ้วของต้วนหลิงเทียนขมวดเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าชายคนนี้จะกล่าวเรียกเขา ซ้ำยังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรไม่น้อย
แน่นอนว่าชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เขาคือ ฉวีชิง
"ฉวีชิง ดูเหมือนเจ้าจะเปลี่ยนไปแล้ว" รอยยิ้มบางๆของต้วนหลิงเทียนผุดขึ้นที่มุมปาก เพราะตอนนี้ฉวีชิงหาได้หยิ่งยโสเหมือนกาลก่อน แลดูสงบนิ่ง สุขุมขึ้นไม่น้อย
อย่างน้อยๆ ตัวเขาก็ไม่ได้ดูน่ารังเกียจเหมือนกาลก่อน เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น ทำให้ฉวีชิงผู้นี้เปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดี
"ข้ายังคงติดค้างคำกล่าวขอบคุณเจ้า เป็นเพราะเจ้าทำให้ตัวข้าเข้าใจอะไรๆหลายๆสิ่ง ...นอกจากนั้น กลยุทธ์เลิศล้ำราวสวรรค์ลิขิต ทั้ง 3 ที่เรียงร้อยสอดประสานกันอย่างแยบยลนั้น ทำให้ข้านับถือเจ้านัก!" ฉวีชิงแสดงท่าที่เป็นมิตร ก่อนจะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ต้วนหลิงเทียนวันนั้น ฉวีชิงก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบขรึมอยู่หลายวัน ก่อนที่จะฟื้นตัวได้ ในช่วงเวลานั้นเขาได้กลับไปคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งการกระทำของเขา และตั้งแต่นั้นเขาเองก็ยกต้วนหลิงเทียนให้เป็นเป้าหมายในการเดินตาม
และเมื่อมาคราวนี้ ในฐานะนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่โดดเด่นที่สุด ตัวเขาย่อมได้ไปสนามรบ และเป็นหนึ่งในกองกำลังสนับสนุนของฝ่ายดาวขุนพลด้วยเช่นกัน และในยามที่ออกรบร่วมกับกองกำลังมังกรเหิน ตัวเขาก็ได้ประจักษ์กับสุดยอดกลยุทธ์ของต้วนหลิงเทียน และรู้สึกชื่นชมตั้งแต่ตอนที่ต้วนหลิงเทียนวางแผนในกระโจมแล้ว
บางที...ตั้งแต่วินาทีนั้น ความแค้นในใจของเขาที่มีต่อต้วนหลิงเทียนก็ได้สลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
"เจ้าเองก็ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยนี่ ยามนี้ก็ตัดผ่านระดับกำเนิดแก่นแท้ไปแล้ว" ม่านตาของต้วนหลิงเทียนหดแคบลง ก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มลี้ลับ
"เจ้า...เจ้าสามารถสังเกตเห็นได้เช่นนั้นหรือ?" ฉวีชิงตกตะลึงไม่น้อย
เขาเพิ่งตัดผ่านระดับบ่มเพาะในช่วงที่เดินทางกลับเมืองหลวง และนั่นมันก็เมื่อเดือนที่แล้วเท่านั้นเอง เขามั่นใจว่าเขายังไม่เคยเปิดเผยความแข็งแกร่งนี้ให้ใครได้รับรู้
เขาไม่คาดคิดเลยว่า ต้วนหลิงเทียนจะสามารถรู้ได้ด้วยการมองเขาเพียงวูบเดียว!
"ต้วนหลิงเทียน เจ้านี่นับว่าไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ... หากข้าอยากจะคบหาเป็นสหายกับเจ้า ...นั่นพอจะเป็นไปได้หรือไม่?" ใบหน้าฉวีชิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
"ไม่ใช่ว่ายามนี้พวกเรานับได้ว่าเป็นสหายกันแล้วหรอกหรือ?" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา
ฉวีชิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน "เอาล่ะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาเข้าชั้นเรียนของเจ้าแล้ว"
"ฮ่าๆ เช่นกัน" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
บทสนทนาสั้นๆระหว่างต้วนหลิงเทียนและฉวีชิง ทำให้นักศึกษารอบๆ ที่ได้ยินตกตะลึงไม่น้อย
"เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่เป็นเรื่องราวในตำนานดั่งคำกล่าว ไม่ต่อยตีไม่รู้จัก วันหน้าจะได้คบหาเป็นสหาย!!"
"ข้าว่าไม่ผิดแน่แล้ว"
นักศึกษาบางคนถอนหายใจออกมา ในขณะที่นักศึกษาบางคนยังย้อนคิดถึงภาพวันนั้นขึ้นมา เพราะพวกมันได้เห็นการต่อสู้ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฉวีชิงด้วยสองตา
ชามนั้นดูเหมือนฉวีชิงจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการสังหารต้วนหลิงเทียน!
แต่ยามนี้ทั้งสองกลับพูดคุยกันอย่างสบายใจ และคบหาเป็นสหาย นับว่าเรื่องราวในโลกหล้านี้ล้วนพิกลนัก!
"จริงสิ! ใช่เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนกล่าววา ฉวีชิงเองก็ตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้แล้วหรือไม่?"
"อ๊ะ ข้าก็ได้ยินเช่นเดียวกับเจ้า!"
"ข้าไม่คิดเลยว่า หลังจากที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ ปรากฏตัวขึ้นในหมู่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพลแห่งนี้แล้ว ยังจะปรากฏผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ขึ้นในหมู่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 เช่นกัน!"
ไม่นานหัวข้อ และบทสนทนาในสถาบันบ่มเพาะขุนพลก็เริ่มกล่าวถึงฉวีชิงอีกครั้ง
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินเข้าห้องเรียนมา เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนของทุกคน ยกเว้นเซี่ยวฉวินและเซี่ยวหยูจับจ้องมายังเขา
"ต้วนหลิงเทียน เจ้าสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมนัก!"
"นับว่าเจ้านำเกียรติยศและความภาคภูมิใจมาสู่ฝ่ายดาวกุนซือชั้นปีที่ 1 ของพวกเราแล้ว!"
"น่าสะพรึงกลัวนัก!"
นักศึกษาในห้องเรียนล้วนมองมายังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะกล่าววาจาชื่นชมออกมาอย่างล้นหลาม
ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มตอบทุกคนอย่างอัธยาศัยดี
“ต้วนหลิงเทียน เมื่อวานพวกเราได้เจอสหายเทียนหู ในยามบ่าย ตอนที่เจ้าแอบเดินทางกลับบ้านไปแล้ว ดูเหมือนสหายเทียนหูจักคิดถึงเจ้ามากนัก ...มันตามหาตัวเจ้าและบอกพวกเราว่า หากไม่เจอเจ้ามันไม่คิดเลิกรา” เซี่ยวฉวินหัวเราะออกมา
"อะไร ไม่เจอข้าไม่เลิกรา มันเป็นอะไรหรือ?" ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาไม่น้อย
"แน่นอนว่าย่อมไม่พ้นเรื่องที่ เจ้าไม่ช่วยเหลือมันเรื่อง ‘ที่’ สำหรับกองกำลังสนับสนุน" เซี่ยวหยูเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
"บัดซบ! นี่พวกเจ้า 2 คนขายข้างั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนจ้องทั้งคูตาเขม็ง เขาไม่น่าไว้ใจพวกมันเล้ย ...
"อะไรเล่า พวกเราไม่ได้ขายเจ้านะ เป็นเจ้าเทียนหูนั่นมันคาดเดาได้เอง" เซี่ยวฉวินยิ้มบางๆออกมาขณะกล่าววาจา
ตอนนี้เองซื่อหม่าฉางฟงพลันเดินเข้ามาในห้องก่อนที่จะไปยืนบนแท่นหน้าชั้นเรียน นักศึกษาทั้งหมดล้วนเงียบเสียงกันโดยพลัน ซื่อหม่าฉางฟงกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่จะจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาลึกซึ้งเต็มไปด้วยความซับซ้อน เขาไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะมีพรสวรรค์ด้านการคิดค้นกลยุทธ์เช่นนี้ด้วย
เป็นกุนซือผู้วางกลยุทธ์ของกองทัพ ซ้ำยังเป็นผู้บัญชาการออกคำสั่งต่อทหาร 100,000 คน อย่างดุดัน บุกชิงเมืองชัยชนะได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่สูญเสียทหารไปแม้แต่คนเดียว ... ความสำเร็จดังกล่าวนับว่าสามารถเอามาเป็นบทเรียนสอนสั่งผู้คนในอนาคตได้อย่างยอดเยี่ยมเลยด้วยซ้ำ
“หยิบยืมเกาทัณฑ์ด้วยเรือฟาง ,ลอบตีอัศจรรย์,ถอนฟืนใต้กระทะ ... ทั้งยังมี ปิดฟ้าข้ามทะเล...ต้วนหลิงเทียน นะต้วนหลิงเทียน เจ้านี่นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เจ้าสามารถคิดค้นสุดยอดกลยุทธ์ขึ้นมาได้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร"
"อาจารย์ท่านก็กล่าวเกินไป ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น" ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมาอย่างเขินอาย
โชคดี?
ไม่ใช่แค่ซื่อหม่าฉางฟงที่มุมปากกระตุก แต่กระทั่งนักศึกษาในห้องไม่เว้นแม่แต่เซี่ยวหยูกับ เซี่ยวฉวินเองก็อดไม่ได้ที่มุมปากจะกระตุกขึ้นมา
เรื่องเช่นนี้มันยังเกี่ยวอันใดกับโชคอีกหรือ?
ในขณะที่ซื่อหม่าฉางฟงแน่นิ่งไปเพราะไร้คำจะกล่าว หน้าประตูชั้นเรียนก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
มองไปคนผู้นี้ก็คือ รองผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพล จ่านฉง
จ่านฉงพยักหน้าให้กับซื่อหม่าฉางฟง ก่อนที่จะมองไปยังต้วนหลิงเทียนแล้วกล่าวคำ "ต้วนหลิงเทียน ฝ่าบาทรับสั่งเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้า เจ้าติดตามข้ามาเถอะ"
โอ้!
คำกล่าวของจ่านฉงทำให้นักศึกษาในชั้นเรียนถึงกับปั่นป่วนกันใหญ่
องค์ราชาแห่งอาณาจักรนภาล่องมีรับสั่งเรียกตัวต้วนหลิงเทียนไปเข้าเฝ้า
"ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะประสบโชคใหญ่หลวงแล้ว"
"ข้าคาดเดาได้ตั้งแต่ต้วนหลิงเทียน นำกองทัพ ปราบทหารแดนใต้ และยึดเมืองชัยชนะของอาณาจักรได้อย่างง่ายดายโดยไร้ผู้สูญเสียแล้วล่ะ เขาสร้างผลงานที่ทำให้อาณาจักรนภาล่องเชิดหน้าชูตาได้ถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทน่าจะทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง แน่นอนว่าพระองค์ต้องประทานของรางวัลเลอค่าให้แก่ต้วนหลิงเทียนเป็นแน่ "
"อา ข้าสงสัยนัก ว่าฝ่าบาทจะประทานอะไรให้แก่ต้วนหลิงเทียนเป็นรางวัล... "
"แล้วใยเจ้าไม่กล่าวถามต้วนหลิงเทียนยามที่เขากลับมา กันเล่า?"
หลังจากที่ซื่อหม่าฉางฟงกระแอมไอแห้งๆ 2 ครั้ง ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยบทสนทนากระซิบกระซาบเซ็งแซ่อื้ออึง พลันกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ทางด้านต้วนหลิงเทียน ก็ติดตามจ่านฉงเดินออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลออกไป
ยามนี้รถม้าที่หรูหราราวราชรถกำลังจอดรอต้วนหลิงเทียนอยู่ด้านหน้าสถาบันบ่มเพาะขุนพล ข้างๆมีทหารสองคนในชุดเกราะแปลกตายืนคุ้มกันอยู่ และมีทหารหนุ่มคนหนึ่งเป็นสารถี
‘ดูจากชุดเกราะเหล่านี้ ไม่น่าจะใช่ กองทหารองค์รักษ์แห่งเมืองหลวง ...หรือว่ามันจะเป็นชุดเกราะ ของทหารในวังหลวงกัน?’ ต้วนหลิงเทียนคิดอยู่ในใจ
"ท่านรองผู้อำนวยการ และท่านต้วนหลิงเทียน เรียนเชิญทางด้านนี้ขอรับ" เมื่อสังเกตเห็นว่าต้วนหลิงเทียนและจ่านฉงมาถึงแล้ว สารถี ที่เป็นทหารหนุ่มก็รีบปราดมาต้อนรับด้วยมารยาทอันดีทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน นายทหารหนุ่มคนนั้นก็แสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความนับถือออกมา ในฐานะที่ตัวมันเองก็เป็นทหารคนหนึ่งเช่นกัน แน่นอนว่าย่อมรู้สึกชื่นชมการกระทำของต้วนหลิงเทียนที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือไม่น้อย
"ท่านรองผู้อำนวยการ พวกเขาเป็นทหารของวังหลวงหรือ?" ต้วนหลิงเทียนที่นังภายในรถม้าอดสงสัยไม่ได้ เขาจึงหันไปมองจ่านฉงแล้วกล่าวถามออกมา
"ใช้แล้ว พวกเขาเป็นทหารของวังหลวง" จ่านฉงพยักหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะกล่าววา "ข้าเองก็นับว่าพลอยได้โชคลาภไปกับเจ้าด้วย เพราะปกติแล้วยามที่ข้าต้องเข้าวังหลวง ตัวข้าเองก็ยังต้องเตรียมตัวรถม้าของข้าเองเช่นกัน... แต่เจ้าดูสิ ราชรถคันนี้เป็นองค์ราชาส่งมารับตัวเจ้าโดยเฉพาะ นั่งสบายยิ่งนัก "
ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาถึงวังหลวง
วังหลวงนี้ให้บรรยากาศโอ่อ่า ตัวพระราชวังนี้สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ช่างฝีมือนับว่าเลิศล้ำไม่เบาเพราะสามารถรังสรรค์ ก่อสร้างออกมาได้สวยงามถึงขั้นนี้ แลดูไปยิ่งใหญ่มีระดับไม่น้อย
ราชรถที่นำต้วนหลิงเทียนมา ค่อยๆเดินทางเข้าวังหลวง ระหว่างทางก็เจอการตรวจตราเล็กน้อย ในที่สุดก็เดินทางมาถึงใจกลางของวังหลวง
ภายใต้การนำทางของสารถีหนุ่ม เขาได้นำต้วนหลิงเทียนและจ่านฉงเข้าไปในห้องโถงพระราชวัง
ทองคำและหยกประดับประดาเต็มห้องโถง ทำให้ทุกคนที่เข้ามาอดไม่ได้ที่จะสายตาพร่ามัว
"หืม?" เมื่อต้วนหลิงเทียนเข้ามาในห้องโถงพระราชวัง เขาก็สังเกตได้ว่ายามนี้มีคนที่มาก่อนแล้วถึง 4 คน
พระยาเรืองฤทธิ์นี่เหวี่ยและนี่เฝินบุตรชายยืนอยู่ด้านหนึ่ง
และบนบัลลังก์กลางห้องโถงมีชายชราอายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อคลุมที่มีลายปักมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างยิ่งใหญ่
หากไม่นับเรื่องอายุแล้ว ในบรรดาผู้คนที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบพาน ท่าทางและกลิ่นอายของชายผู้นี้นับว่าสูงส่งและสามารถสะกดข่มผู้อื่นได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตามท่วงท่าและกลิ่นอายสะกดข่มนี้ ไม่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอะไรมากมายสักเท่าไร
ต้วนหลิงเทียนเองสามารถคาดเดาได้ทันที ว่าชายชราอายุประมาณ 60 ปีคนนี้คงเป็นองค์ราชาของอาณาจักรนภาล่อง
นอกจากองค์ราชาแล้ว ด้านข้างยังมีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวราวกับนักปราชญ์และดูสง่างามเรียบร้อย ท่วงท่าทรงภูมิ แววตาเปี่ยมล้นไปด้วยสติปัญญา นอกจากนี้ยังมีรูปลักษณ์ที่ไม่แยแสโลกหล้า วางตัวราวผู้หลุดพ้น
หากต้วนหลิงเทียนได้พบบุคคลเช่นนี้ก่อนหน้านี้ บางทีเขาอาจจะคิดชื่นชมมันอยู่บ้างในใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นชายผู้นี้ ในใจของเขาบังเกิดเสียงร้องแจ้งเตือนดังก้องขึ้นมา
เพราะเมื่อตอนที่เขาย่างก้าวเข้ามาในโถงพระราชวังนี้ สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือจิตสังหาร และเป็นเพียงเสี้ยวพริบตาเท่านั้นก่อนที่มันจะเลือนหายไป
จิตสังหารนี้กล่าวได้ว่ามันเล็ดรอดออกมาเพียงแค่เสี้ยวของเสี้ยวพริบตาเท่านั้น หากไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนมีประสบการณ์และสัญชาตญาณมากมายที่สั่งสมมาจากชีวิตที่แล้วล่ะก็ เขาคงไม่อาจจับสัมผัสได้ทัน
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่