px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 43 ชัยชนะต่อเนื่อง


 


         เหล่าผู้เข้าแข่งขันรุ่นเยาว์ต่างทราบชัดเจนเกี่ยวกับกฎของสำนักจิตอสูรในวันเปิดรับสมัครศิษย์เป็นอย่างดี พวกเขาส่วนใหญ่คาดเดาว่าไม่มีใครโง่พอที่จะลงแข่งแบบนัดเดียวตกรอบ

 

        

         ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากเกินไป และแม้ว่าจะมีผู้ที่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตน แต่พวกเขาก็ยังต้องครุ่นคิดด้วยความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเคลื่อนไหว
 


         แต่สถานการณ์ในวันนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคนที่มีความกล้าบ้าบิ่นลงแข่งแบบนัดเดียวตกรอบ แต่ครั้งนี้มีถึงห้าคน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวของเจียงอี้

 

 

         แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคาดเดาระดับการบ่มเพาะพลังจากการดูเพียงภายนอก แต่เมื่อเจียงอี้ทะยานสู่เวที ผู้คนส่วนใหญ่ก็รับรู้ถึงกลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดายและพบว่าเขาเป็นเพียงเด็กน้อยในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่เท่านั้น
 


         เพียงแค่ขยะขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่แต่กล้าที่จะลงแข่งแบบนัดเดียวตกรอบ? สิ่งที่ทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องตลกในขณะที่อีกส่วนกำลังรู้สึกโกรธเคือง ไอ้บ้าที่สวมหน้ากากหมาป่านี่ไม่ใช่ว่าสมองของมันได้รับความกระทบกระเทือนหรอกนะ? มันตั้งใจจะมาเป็นตัวตลกหรือยังไง?
 


         เหล่าผู้มีอิทธิพลที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์สำหรับผู้ชมต่างก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ตัวแทนทั้งสามจากสำนักจิตอสูรและบรรดาเจ้าหน้าที่จากกองทัพทหารตะวันตกล้วนแต่พึงพอใจกับจีทิงยวี่, เจียงเฮิ่นซุ่ยและอีกสองคนที่เหลือ มันหายากนักที่รุ่นเยาว์จะมีความสำเร็จในการบ่มเพาะพลังถึงระดับนี้และยังมีความกล้าที่จะลงแข่งแบบนัดเดียวตกรอบ
 


         เห็นได้ชัดว่าจีเทียนทราบถึงตัวเลือกของจีทิงยวี่อยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มออกมาและพยักหน้าให้กับชายชราที่อยู่บนอัฒจันทร์ จากนั้นชายชราก็ขยับมือเพื่อส่งสัญญาณให้ฝูงชนอยู่ในความสงบ

 

 

         “ยอดเยี่ยม ในเมื่อมีผู้ประสงค์ที่จะลงแข่งแบบนัดเดียวตกรอบ เช่นนั้นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกก็จะอันถูกยกเลิก ไม่ว่าใครก็สามารถขึ้นไปบนเวทีเพื่อต่อสู้ได้ ผู้ชนะจะถูกตัดสินหากอีกฝ่ายกล่าวยอมแพ้หรือว่าตกจากเวที แต่จงจำไว้ว่าไม่อนุญาตให้มีการฆ่ากันโดยเด็ดขาด!”
 


         ฟึบบ!
 


         แทบจะทันทีที่ชายชราซึ่งดูมากไปด้วยประสบการณ์กล่าวจบ ก็ได้มีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากฝูงชนโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เวทีของเจียงอี้ ผู้ท้าชิงผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากนักแต่เขาคิดว่าเจียงอี้เป็นเพียงหมูที่รออยู่บนเขียง เขาไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้โอ้อวดพลังต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก
 


         ฟึบบ!


         ผู้ท้าชิงอีกคนก็มาถึงที่เวทีประลองของชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้า เขาต้องการที่จะพิสูจน์ว่าชายผู้นี้เป็นอัจฉริยะตัวจริงหรือเพียงแค่ต้องการเป็นจุดสนใจของผู้อื่นกันแน่?

 


         ฟึบบ!
 


         ทางด้านของอีกสามคนที่เหลือเองก็มีผู้ท้าชิงขึ้นมาบนเวทีเช่นกัน แต่ไม่นานนักสีหน้าของผู้ชมต่างก็แปรเปลี่ยนไปและเริ่มพูดคุยถึงความไร้ยางอายของเหล่าผู้แข่งขัน มันเป็นเพราะผู้ท้าชิงของทั้งสามคนต่างเป็นคนจากตระกูลพวกเขา ผู้ท้าชิงของเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนเป็นคนของตระกูลเหลิ่ง, ผู้ท้าชิงของเจียงเฮิ่นซุ่ยเป็นคนของตระกูลเจียง และแม้แต่ผู้ท้าชิงของจีทิงยวี่ยังเป็นคนจากตระกูลจีซึ่งเป็นตระกูลข้าหลวง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสามคนได้ถูกจัดหาไว้โดยตระกูลของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วเพื่อที่จะทำให้ทายาททั้งสามได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง
 


         “หมาป่าเดียวดาย ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามานานแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่เป็นคู่ซ้อมประลองให้กับโถงวรยุทธต่อเสียล่ะ? จะมาทำให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าอยู่ที่นี่ทำไม? ไสหัวไป! เวทีประลองนี้จะกลายเป็นของข้า, หยางเฟิง!”
 


         ผู้ที่ท้าทายเจียงอี้คือนายน้อยแห่งตระกูลหยาง เขามีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หก เขากล้าที่จะก้าวออกมาเป็นคนแรกเพราะมั่นใจในพลังของตัวเอง โดยไม่ต้องการให้เสียเวลา ขาทั้งสองข้างของเขาก็หวดใส่เจียงอี้ในทันที
 


         ทางด้านของเจียงอี้ ต้องยอมรับว่าการขึ้นมาบนเวทีของเขาเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะการเอาชนะการแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการปีนขึ้นหน้าผาด้วยมือเปล่า

 

 

         เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับหัวกะทิของเมืองนี้ไม่ต้องการที่จะยั่วยุเจียงเฮิ่นซุ่ย, จีทิงยวี่และอีกสองคนที่เหลือ ดังนั้นเจียงอี้จึงกลายมาเป็นเป้าหมายของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งของเขาในตอนนี้ยังเสี่ยงต่อการเผยตัวยิ่งนัก
 


         แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เจียงอี้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้ต่อ มิฉะนั้นเขาจะถูกตัดสิทธิ์และอาจกลายเป็นทาสของโถงวรยุทธไปชั่วชีวิต… ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด
 


         ในอีกแง่หนึ่ง การที่จีทิงยวี่และยอดอัจฉริยะคนอื่นๆยืนอยู่ต่างเวทีประลอง นั่นก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเจียงอี้ที่ไม่ต้องต่อสู้กับคนเหล่านั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เขาโคจรแก่นแท้พลังสีดำไว้บริเวณดวงตาและเพิ่งมองไปยังขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่กำลังใกล้เข้ามา
 


         เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกแต่กลับพูดจาอวดดีเช่นนี้? เหอะ ช่างโง่เขลายิ่งนัก…
 


         เจียงอี้เยาะเย้ยอยู่ในใจ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะควบคุมสมาธิให้ดีตลอดทั้งการต่อสู้ มิฉะนั้นหากว่าประมาท เขาก็คงอยู่ห่างจากความพ่ายแพ้ไม่ไกลนัก
 


         “เอาไปกินซะ!”
 


         ด้วยเสียงตะโกน เจียงอี้รีบถอยห่างออกมาและซัดกำปั้นไปยังลูกเตะของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
 


         ปัง!ปัง!ปัง!ปัง!
 


         หยางเฟิงส่งลูกเตะออกมาถึงสี่ครั้งในขณะที่เจียงอี้ก็ปล่อยออกมาสี่หมัด แต่พละกำลังของพวกเขาดูเหมือนว่าจะต่างกันมากเกินไป แม้ว่าจะพยายามรักษาสมดุลของร่างกายอย่างเต็มที่ แต่เจียงอี้ก็ถูกบังคับให้ต้องถอยหลังไปหลายเมตรและเกือบจะตกเวที
 


         “รีบไสหัวลงไปซะ!”
 


         หลังจากที่ได้แสดงความกล้าหาญต่อหน้าผู้ชม หยางเฟิงก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเจียงอี้อยู่ตรงขอบของเวทีแล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้แก้ตัว เขารีบกระโดดขึ้นจากพื้นพร้อมกับส่งลูกเตะไปยังศีรษะของเจียงอี้

 

         “เหอะ! เจ้าต่างหากที่ต้องลงไป!”
 


         เจียงอี้แสยะยิ้มจากนั้นเขาก็เตรียมที่จะกระแทกหมัดออกมา แต่จู่ๆเมื่อหยางเฟิงเข้ามาใกล้ กำปั้นของเขาก็เปลี่ยนเป็นกรงเล็บและคว้าไปยังขาของอีกฝ่ายพร้อมกับหมุนตัวและเหวี่ยงไปด้านหลังสุดแรง
 


         ฟิ้ววว!
 


         ร่างของหยางเฟิงถูกโยนออกจากเวทีอย่างสวยงาม แม้ว่าครึ่งร่างของเจียงอี้จะดูเหมือนว่าอยู่นอกเวที แต่ว่าขาของเขาก็ยังคงเกาะขอบเวทีไว้แน่น หลังจากที่ส่งหยางเฟิงออกไป เขาก็กลับเข้าขึ้นมาบนเวทีอย่างง่ายดาย
 


         “หมายเลข 536 ได้รับชัยชนะในนัดแรก!”
 


         เสียงของชายชราทำให้ผู้คนจำนวนมากตื่นจากการเหม่อลอย เมื่อเห็นป้ายหมายเลข 536 ที่แขวนอยู่ตรงเอวของเจียงอี้ หลายคนก็ฝืนยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งห้า แต่เขากลับเป็นคนแรกที่ได้รับชัยชนะ เพียงแค่สองกระบวนท่าก็ส่งหยางเฟิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หกลอยออกไปจากเวทีได้แล้ว
 


         หยางเฟิงที่อยู่ด้านล่างจ้องมองมาที่เจียงอี้ด้วยความเกลียดชังและรีบซ่อนตัวอยู่ฝูงชนอย่างรวดเร็ว เดิมทีเขาต้องการที่จะใช้เจียงอี้เพื่อโอ้อวดฝีมือให้กับผู้ทรงอิทธิพลที่อยู่บนอัฒจันทร์ได้เห็น แต่ตอนนี้เขากลับต้องอับอายกับผลลัพธ์ที่ออกมา 
 


         “ให้ข้าลองบ้าง!”
 


         ร่างเงาอีกร่างทะยานขึ้นบนเวที เมื่อเจียงอี้เห็นอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มออกมา เขาจำได้ว่าเขาเคยเป็นคู่ซ้อมประลองให้กับชายคนนี้มาก่อนและยังจำได้ว่าเขาเป็นสมาชิกของตระกูลหยาง เห็นได้ชัดว่าตระกูลหยางต้องการที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของพวกเขา
 


         “ข้า หยางหลิง ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หก! โปรดออมมือให้ด้วย!”
 


         แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับหยางเฟิง แต่หยางหลิงผู้นี้กลับดูสุขุมกว่ามาก ใบหน้าของเจียงอี้เปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาพยักหน้าให้กับคู่ต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รีบร้อนโจมตี พวกเขาเพียงแค่เคลื่อนไหวไปรอบๆเวทีเพื่อหาจังหวะโจมตีอีกฝ่าย
 


         “เยี่ยม!”
 


         ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนอย่างฉับพลันก็ดังมาจากเวทีที่อยู่ไม่ไกลออกไป เจียงอี้และหยางหลิงก็หันไปมองยังทิศของต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว พวกเขามองเห็นจีทิงยวี่ที่ส่งคู่ต่อสู้ออกจากเวทีและตีลังกากลางอากาศก่อนที่จะลงพื้นอย่างสง่างาม
 


         “ตอนนี้แหละ!”
 


         เมื่อหยางหลิงเห็นว่าเจียงอี้กำลังเสียสมาธิ เขาก็ใช้ขายันพื้นและถีบส่งร่างของตัวเองออกไปด้วยความเร็วราวกับลูกศร ในเวลาเดียวกันฝ่ามือของเขาก็ปรากฏจุดสีแดงเล็กๆซึ่งดูเหมือนว่าจะกำลังเพิ่มอุณหภูมิให้กับอากาศโดยรอบ

        

         “หืม?”
 


         เมื่อหยางหลิงอยู่ห่างออกไปเพียงสิบเมตร เจียงอี้ก็ได้สติกลับมา ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความตกใจในขณะที่พยายามหลบหนี เขาก็เสียจังหวะและลื่นล้มซึ่งทำให้ร่างของเขาร่วงจากเวที

 

         “ฮ่าฮ่า!”
 


         เหล่าผู้ชมต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทางด้านหยางหลิงเองก็หยุดเคลื่อนไหวและดูประหลาดใจอยู่บ้าง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับชัยชนะที่ง่ายดายถึงเพียงนี้
 


         “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
 


         ทันใดนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตราย ร่างเงาร่างหนึ่งทะยานขึ้นมาจากด้านข้างของเวทีอย่างฉับพลันและเตะมาที่ส่วนร่างของเขาด้วยขาทั้งสองข้าง
 


         ฟับบ!
 


         แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่หยางหลิงก็ยังคงตอบสนองได้ทันเวลา เขากระโดดกลับหลังและหลบการโจมตี จากนั้นเขาก็ส่งลูกเตะหาอีกฝ่ายแทบจะในเวลาเดียวกัน
 

        
         “ฝ่ามืออรหันต์!”

 


         อีกฝ่ายเองก็ส่งฝ่ามืออันแปลกประหลาดออกมาและกระแทกใส่ขาของเขา
 


         ปัง!
 


         ด้วยแรงปะทะมหาศาลส่งผลให้ร่างของพวกเขาถูกบังคับให้ต้องลอยกระเด็นไปด้านหลัง แต่เนื่องจากในปัจจุบันหยางหลิงได้อยู่ที่ขอบของเวทีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีพื้นที่มากพอให้ยึดเกาะขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขาทำได้เพียงแค่มองตัวเองหลุดจากเวที
 


         ผู้ฝึกยุทธของตระกูลหยางช่างน่าสงสารยิ่งนัก…
 


         ทางด้านของเจียงอี้ เขามองไปทางด้านของอัฒจันทร์ ชายชราในเสื้อคลุมสีขาวพยักหน้าและประกาศออกมา

 

 

         “หมายเลข 536 ชนะติดต่อกันเป็นยกที่สอง!”
 


         “มันไม่ถูกต้อง ท่านก็เห็นอยู่ว่าเขาตกจากเวทีก่อนข้า? แล้วเขาจะเป็นผู้ชนะได้ยังไง?” หยางหลิงที่ตั้งหลักอยู่นอกเวทีได้แล้วเอ่ยประท้วงด้วยความไม่ยินยอม
 


         ชายชราเหลือบมองไปที่เขาด้วยหางตา เขาดูราวกับว่ากำลังมองไอ้โง่บางตัว จากนั้นเขาก็เอ่ยตอบอย่างไม่แยแส “เจ้าไม่เห็นหรือว่าหมายเลข 536 ใช้มือข้างหนึ่งเกาะที่ขอบของเวที? ข้าได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าเมืองให้เป็นผู้ตัดสินการแข่งขันในครั้งนี้ ทุกคนที่กล้าสงสัยในคำตัดสินของข้าจะถูกตัดสิทธิ์ในทันที!”
 


         “นี่มัน…”
 


         เมื่อได้ยินคำประกาศดังกล่าว คนส่วนใหญ่ก็หันไปมองเจียงอี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ มันเป็นเพราะว่าพวกเขาคิดว่าแท้จริงแล้วเจียงอี้นั้นอ่อนแอ แต่เขาเพียงแค่ใช้ลูกไม้สกปรกและโชคดีเท่านั้น!
 


         แน่นอนว่าเจียงอี้หาได้สนใจคำวิจารณ์เหล่านั้นไม่ ระยะเวลาการใช้งานของแก่นแท้พลังสีดำที่อยู่ในดวงตาของเขามีจำกัด เขาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้จึงรีบตะโกนออกไปด้วยความเร่งรีบ “คนต่อไป!”

        

         “ไอ้ลูกหมานี่!!”
 


         การหยิ่งยโสและไม่เห็นหัวผู้ใดเป็นนิสัยของผู้แข็งแกร่ง แต่การทำตัวเช่นนี้ทั้งๆที่ตัวเองมีพลังเพียงเล็กน้อยกลับเป็นสิ่งที่น่าหัวร่อ การกระทำของเจียงอี้ทำให้เกือบทุกคนที่อยู่ใกล้เขามีโทสะ เสียงด่าทอมากมายดังขึ้นไม่ขาดสาย จากนั้นไม่นานชายหนุ่มผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นไปบนเวที เมื่อเห็นเช่นนั้นเจียงอี้ก็ตะโกนออกมา “ให้ท่านปู่ของเจ้าผู้นี้ได้ลิ้มลองทักษะของเจ้าหน่อยเป็นอย่างไร?!”
 


         “ดี!!”
 


         ดวงตาของเจียงอี้ส่องประกายพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก ก่อนที่คู่ต่อสู้ของเขาจะได้เคลื่อนไหว ร่างของเขาก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายแล้ว โดยไม่ต้องพึ่งพาทักษะใดๆ เจียงอี้เพียงแค่โคจรแก่นแท้พลังและโจมตีออกไปด้วยกำปั้น พละกำลังของเขาเพียงพอที่จะส่งอีกฝ่ายออกไปจากเวทีในพริบตา นั่นเป็นเพราะชายผู้นี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามเท่านั้น!
 


         “ยังมีใครกล้าท้าทายข้าอยู่อีกไหม? ถ้ามีก็เข้ามาเลย!”
 


         เจียงอี้ยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทีองอาจและตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เขาตั้งใจใช้น้ำเสียงนี้เพื่อยั่วยุผู้คนที่อยู่โดยรอบ
 


         ฟึบ!
 


         เป็นไปตามคาด ผู้คนที่อยู่รอบเวทีบังเกิดโทสะ มีหลายคนต้องการที่จะลงมือสั่งสอนเจียงอี้แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม
 


         “หมายเลข 536 ชนะติดต่อกันเป็นยกที่สี่!”
 


         “หมายเลข 008 ชนะติดต่อกันเป็นยกที่สาม!”
 

 

         “หมายเลข 536 ชนะติดต่อกันเป็นยกที่ห้า!”
 


         ………


         ในเวลานี้ เจียงอี้ได้รับชัยชนะติดต่อกันถึงหกครั้งซึ่งมากกว่าผู้เข้าแข่งขันอีกสี่คนที่เหลือ สถานการณ์อันแปลกประหลาดนี้ได้ดึงดูดสายตาจากอัฒจันทร์ของแขกผู้มีเกียรติในระดับสูง

 


         หนึ่งในตัวแทนจากสำนักจิตอสูรที่เป็นบุรุษลูบไปที่เคราของเขาและเอ่ยด้วยความชื่นชม “เด็กหนุ่มคนนี้เฉลียวฉลาดไม่เบา อยู่เพียงแค่ขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่งแต่ก็ได้รับชัยชนะมาไม่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ได้ชัยชนะติดต่อกันครบสิบยก!”
 


         ตัวแทนอีกคนผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการเห็นด้วย “ใช่แล้ว ข้าสังเกตเด็กคนนี้ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าขึ้นมาบนเวที มันดูเหมือนว่าการกระทำที่แล้วๆมาของเขาเหมือนพึ่งพาเพียงแค่โชค แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ในการคำนวณของเขาทั้งหมด ทุกจังหวะช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก”
 


         “มีพรสวรรค์ไม่น้อย”

 

         น้ำเสียงอันเย็นชาดุจดั่งภูเขาน้ำแข็งถูกเอ่ยออกมาจากปากของตัวแทนหญิงสาวของสำนักจิตอสูรในขณะที่นางส่ายหัว

 

 

         “แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แผนการหรือกลอุบายทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพียงแค่เรื่องตลกขบขัน พลังของเด็กคนนี้จัดอยู่ในระดับทั่วๆไปเท่านั้น แม้ว่าจะพอมีความคิดอยู่บ้าง แต่ข้าพนันได้เลยว่าเขาไม่มีทางชนะติดต่อกันได้ถึงสิบยกแน่ๆ”
 

รีวิวผู้อ่าน