px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 46 เจียงอี้ต้องตาย!


 


         ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้? เจ้าเด็กนี่ฝึกสำเร็จแล้วอย่างนั้นรึ?
 


         จากมุมหนึ่งของจัตุรัสกลางเมือง ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของผู้ดูแลหยางถูกแทนที่ด้วยความตกใจ หลังจากที่เขาได้ยินจากคนสนิทว่าเจียงอี้ได้ลงแข่งแบบนัดเดียวตกรอบ เขาก็รีบมาดูการแข่งขันและได้กลายเป็นพยานในทุกการประลองของเจียงอี้

 

 

         แม้ว่าผู้ดูแลหยางจะประหลาดใจกับพลังที่แท้จริงของเจียงอี้แต่ก็ยังพออยู่ในขอบเขตที่รับได้ แต่หลังจากที่เด็กหนุ่มแสดงฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ออกมา เขาก็ตกตะลึงจนไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ต้องอย่าลืมว่ามันคือทักษะที่ไม่สมบูรณ์และไม่เคยมีใครฝึกสำเร็จมาก่อน!
 


         ในที่สุดผู้ดูแลหยางก็เข้าใจแล้วว่าเจียงอี้นั้นไม่ใช่คนโง่ เหตุผลที่เขากล้าเดิมพันกับโถงวรยุทธเป็นเพราะว่าเขามีไพ่ตายที่ไม่ธรรมดาถึงสองใบ หนึ่งคือฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ ส่วนอีกหนึ่งคือความแข็งแกร่งที่เขาปกปิดเอาไว้
 


         พลังของเจียงอี้พุ่งทะยานขึ้นอย่างฉับพลับ แต่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ของเขาสำเร็จเพียงขั้นเริ่มต้นแต่ก็นับว่ามีพลังทำลายล้างที่น่ากลัว

 

 

         มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่ทั่วไปจะสามารถระเบิดการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ออกมาได้
 


         ผู้ดูแลหยางสามารถมองเห็นว่านอกจากแก่นแท้พลังสีน้ำเงินของเจียงอี้ก็ยังมีร่องรอยของประกายแสงสีดำที่ปรากฏออกมา แม้แต่เหล่าผู้ทรงพลังที่อยู่บนอัฒจันทร์เองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

 

 

         ประกายแสงสีดำนั้นทำให้จิตใจของพวกเขาไม่อาจสงบได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร แต่พวกเขาก็เดาว่ามันคือเหตุผลที่ทำให้เจียงอี้สามารถระเบิดพลังที่เกินกว่าขอบเขตของตัวเองออกมาได้
 


         เด็กหนุ่มผู้นี้เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่งเมื่อครึ่งปีก่อน แต่ตอนนี้เขากลับสามารถเอาชนะหนึ่งในสิบยอดอัจฉริยะของเมืองเทียนอวี่อย่างหลิ่วเหอได้แล้ว?
 


         ผู้ดูแลหยางคิดว่าเจียงอี้กำลังจะกลายเป็นรุ่นเยาว์ที่มาแรงที่สุด เขากระซิบไปที่ข้างหูของหนึ่งในทหารยามของโถงวรยุทธ

 

 

         “จงเฝ้าดูหมาป่าเดียวดายต่อไป หากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นให้กลับมารายงานข้าทันที ข้าจะกลับไปพบท่านประมุขก่อน!”

 

 

         “ขอรับ!”
 


         พรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้สมควรได้รับความเคารพจากโถงวรยุทธ ผู้ดูแลหยางไม่ทราบถึงความคิดของประมุขโถงวรยุทธ แต่สถานะของเจียงอี้ในใจของเขาได้พุ่งทะลุเพดานไปแล้ว เขาคิดว่าหากสามารถสานสัมพันธ์กับอัจฉริยะอย่างเจียงอี้ได้ มันจะต้องเป็นเรื่องดีสำหรับเขาและโถงวรยุทธในอนาคตอย่างแน่นอน
 


         “ส่งคนไปตรวจสอบหมายเลข 536 ให้กับข้า”
 


         บนอัฒจันทร์ จีเทียนกล่าวกับทหารยามอย่างลับๆ ผู้นำตระกูลเหลิ่งเองก็ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องของเจียงอี้ด้วยเช่นกัน สามารถมีชัยเหนือหลิ่วเหอ เพียงแค่นี้ก็สามารถพิสูจน์คุณค่าในตัวเขาได้แล้ว!

 

 

         ไอ้โง่หลิ่วเหอ!
 


         แม้ว่าหลิ่วเหอจะถูกส่งตัวไปรักษาแล้ว แต่ผู้นำตระกูลหลิ่วก็ยังสามารถใช้อิทธิพลของเขาเพื่อให้หลิ่วเหอสามารถอยู่ในการแข่งขันต่อได้

 

 

         แต่ถึงอย่างนั้นผู้นำตระกูลหลิ่วก็ยังคงโกรธจัดเมื่อทั้งตระกูลถูกทำให้อับอาย
 


         “พวกเราควรจะทำเช่นไรดีท่านประมุข?!”
 


         ทางฝั่งของตระกูลเจียง เจียงหยุนสือกำลังเอ่ยถามเจียงหยุนซานด้วยความกังวล แต่เดิมเขาก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจียงอี้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของเด็กหนุ่ม มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เขารู้สึกลังเล

 

 

         ด้วยศักยภาพและพรสวรรค์ที่เจียงอี้แสดงออกมาในวันนี้ มันคงจะดีกว่าหากตระกูลปรับเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขา แน่นอนว่าอีกสาเหตุก็เป็นเพราะเขาคือหลานชายของเจียงหยุนไฮ่ รองแม่ทัพกล่าวด้วยตัวเองว่าเจียงหยุนไฮ่ได้รับการสนับสนุนจากจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก มันจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเขายังไม่ตายและกลับว่าพบว่าหลานชายตัวเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม นี่มันจะไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่หรอกหรือ?!
 


         “เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าพวกเราควรจะทำเช่นไร? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าเด็กนั่นจะต้องตาย!” เจียงหยุนซานยังคงเงียบแต่ผู้ที่ตอบกลับเป็นเจียงหยุนเฉอที่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

 

 

         หลังจากที่เงียบอยู่ชั่วครู่ เจียงหยุนซานก็ส่ายหัวและกล่าว “ทุกอย่างจะถูกวางไว้ก่อนและค่อยพิจารณาอีกทีหลังการแข่งขันจบลง”
 


         “ท่านพี่!”

 


         ทางด้านของตระกูลหม่า บิดาของหม่าเฟย, หม่าหย่งจี๋ เขาเองก็ตื่นตัวไม่แพ้กัน เจียงอี้ได้เสร็จสิ้นการประลองสิบยกแรกและลงจากเวทีไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังโถงวรยุทธและกำลังหายตัวเข้าไปในฝูงชน หม่าหย่งจี๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้นำตระกูลของเขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
 


         “เจ้าจะตื่นตระหนกอะไรนักหนา?”
 


         ผู้นำตระกูลหม่าจ้องมองมาที่หม่าหย่งจี๋และกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าลูกชายของเจ้ามันเป็นเพียงแค่ขยะ แต่เจ้าก็ยังส่งมอบอาวุธระดับสมบัติให้กับมันเพื่อให้มันนำไปให้กับคนอื่น! แต่ไอ้เด็กตระกูลเจียงนั่นกลับไม่เห็นหัวตระกูลหม่าของข้า!”

 

 

         “ไม่ต้องห่วง… ข้ามีวิธีการอยู่ ไม่ว่ายังไงมันก็จะต้องตาย!”
 


         หลังจากที่เข้าไปในศาลาบนอัฒจันทร์ ตัวแทนจากสำนักจิตอสูร หญิงสาวที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ‘แม่นางซู’ คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเนื่องจากการครุ่นคิดบางอย่างอยู่เป็นเวลานาน แต่เมื่อยังไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจนางก็หันหน้าไปทางตัวแทนจากสำนักจิตอสูรที่มีความอาวุโสมากที่สุด

 

 

         “ผู้อาวุโสฝู หมายเลข 536 มีความแข็งแกร่งอันแปลกประหลาดอย่างนี้ได้ยังไง? ด้วยความรู้อันกว้างขวางของท่าน ท่านพอจะทราบอะไรบ้างหรือไม่?”
 


         คำพูดของแม่นางซูได้ดึงดูดความสนใจจากจีเทียนและคนอื่นๆ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสฝูส่ายหัว “ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเรื่องประหลาดเช่นนี้ เด็กคนนั้นช่าง… แหกคอกยิ่งนัก”
 

 

         ปัง!
 


         บนเวทีด้านนอก จีทิงยวี่ได้ส่งคู่ต่อสู้ของนางออกจากเวทีเพียงแค่การโจมตีด้วยฝ่ามืออย่างง่ายๆ นางมองไปยังทิศที่เจียงอี้จากไป คิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะพึมพำกับตัวเอง

 

 

         “หมาป่าเดียวดาย? อี้เจียง? นายน้อยอี้? ดูเหมือนว่า… ทิงยวี่จะดูแคลนท่านมากเกินไป หากท่านสามารถได้รับชัยชนะครบทั้งหนึ่งร้อยยก ทิงยวี่จะไปเยี่ยมเยียนท่านและกล่าวขอโทษด้วยตัวเอง”

 


         …..


         การประลองของคู่อื่นเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้น่าตกตะลึงเช่นเจียงอี้ ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันสามในสี่คนต่างก็เป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงของเมืองเทียนอวี่ มันไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายหากพวกเขาจะชนะติดต่อกัน

 


         ตัวตนของผู้เข้าแข่งขันปริศนาที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเองก็ถูกเปิดเผยแล้วเช่นกัน เขามีนามว่า เฮ่อเตา และยังเป็นนายน้อยแห่งตระกูลเฮ่อซึ่งเป็นตระกูลที่เร้นกายอยู่ในเมืองเล็กๆใกล้กับเมืองเทียนอวี่ ตระกูลของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าห้าตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนอวี่เพียงเล็กน้อย ในปีนี้สำนักจิตอสูรได้เปิดรับศิษย์ แล้วพวกเขาจะพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?
 


         ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง จีทิงยวี่ก็ได้รับชัยชนะติดต่อกันถึงสิบยกซึ่งถูกเจียงเฮิ่นซุ่ยและเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนตามทันในที่สุด เฮ่อเตาเป็นผู้เข้าแข่งขันคนสุดท้ายที่ได้รับชัยชนะครบสิบยก เขาอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับเหล่าอัจฉริยะจากห้าตระกูลใหญ่

 

 

         แต่หลังจากที่เห็นความพ่ายแพ้อันน่าอนาถของหลิ่วเหอ ผู้ท้าชิงที่มีความคิดส่วนใหญ่ต้องคอยระมัดระวังมากขึ้นและไม่กล้าขึ้นเวทีด้วยความประมาท ดังนั้นจึงทำให้เฮ่อเตาชนะครบทั้งสิบยกได้อย่างง่ายดาย
 


         หลังจากที่การแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบของวันนี้จบลง ต่อไปก็ถึงเวลาสำหรับการแข่งขันแบบแพ้คัดออก แต่เนื่องจากการแข่งขันแบบนัดเดียวตกรอบได้สร้างมาตรฐานที่สูงมากไว้อยู่แล้วทำให้การแข่งขันในลำดับต่อไปค่อนข้างน่าเบื่อ

 

 

         ผู้เข้าร่วมการแข่งขันแบบแพ้คัดออกเองก็หมดกำลังใจ ผู้เข้าแข่งขันทั้งห้าคนก่อนหน้านี้ต่างก็ได้ชัยชนะติดต่อกันทั้งสิบยก จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องและได้ที่นั่งในสำนักจิตอสูรไปครอง แล้วแบบนี้ไม่ใช่ว่าการประลองของผู้เข้าแข่งขันในรายการที่เหลือจะกลายเป็นเรื่องสูญเปล่าหรือ?
 


         ตัวแทนทั้งสามจากสำนักจิตอสูรและเหล่านายทหารจากกองทัพทหารตะวันตกต่างก็แยกย้ายกันกลับไปในเวลาไม่นาน การแข่งขันเหล่านี้ไม่อาจดึงดูดความสนใจจากพวกเขาได้อีกต่อไป

 

 

         มีหลายตระกูลที่รีบกลับไปเพื่อทำการเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อกำจัดผู้ท้าชิงทั้งห้าและทำให้รุ่นเยาว์ของพวกเขาได้มีโอกาสคว้าที่ว่างสำหรับการเข้าเป็นศิษย์ของสำนักจิตอสูรให้ได้

 

         เจียงอี้เองก็ไม่ได้หลงระเริงไปกับชัยชนะ เขารู้ดีว่าในวันนี้พรุ่งนี้การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเปิดเผยทักษะต่อสู้ของตระกูลเจียงและอาวุธระดับสมบัติของหม่าเฟยที่เขาชิงมา เขามั่นใจว่าตัวตนของเขาได้ถูกเปิดเผยแล้ว

 

 

         การคงอยู่ของตระกูลหม่าและตระกูลเจียงจะทำให้ชีวิตของเจียงอี้ตกอยู่ในอันตราย
 


         เจียงอี้ไม่รู้ว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นไร แต่เขาไม่สามารถถอยหลังกลับได้อีกแล้ว มันคือเหตุผลที่เขาไม่ยอมพักผ่อนหลังจากการแข่งขันจบลงและรีบกลับไปยังโถงวรยุทธเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บพร้อมกับเตรียมการต่อสู้สำหรับวันพรุ่งนี้
 


         ซู่-ซู่-ซู่!
 


         หลังจากที่พักรักษาตัวเป็นเวลาสองชั่วโมงในที่สุดเขาก็กลับไปอยู่ในสภาพสูงสุด จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก
 


         “หมาป่าเดียวดาย!”
 


         ร่างชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเจียงอี้เห็นรอยยิ้มตรงหน้า จิตใจของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น พวกเขาสองคนไม่ค่อยได้สนทนากันมากนัก แต่หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่สองสามเดือน เขาก็รู้ว่าชายชราแม้ว่าจะดูเข้มงวดไปบ้างแต่ก็เป็นคนมีน้ำใจซึ่งทำให้เขารู้สึกดีด้วย
 


         “ท่านผู้ดูแล!” ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะยืนขึ้นเพื่อคารวะ แต่ผู้ดูแลหยางก็รีบโบกมือเพื่อจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น จากนั้นเขาก็หยิบขวดยาออกมาและยิ้ม

 

 

         “บ่มเพาะพลังต่อไปเถิด ที่ข้ามานี่ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ท่านประมุขวานให้ข้านำเม็ดยาระดับพิภพเหล่านี้มาให้เจ้าเพื่อช่วยฟื้นฟูแก่นแท้พลังที่เสียไป”
 


         “เม็ดยาระดับพิภพ?!”
 


         เจียงอี้อ้าปากค้าง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ประมุขโถงวรยุทธใจดีกับเขาเช่นนี้ แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็วและกล่าว “ท่านผู้ดูแลหยาง โปรดรับคำขอบคุณจากข้าด้วย…”
 


         “เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว จงฝึกฝนให้หนักและเตรียมตัวสำหรับการแข่งในวันพรุ่งนี้ให้ดี ตราบเท่าที่เจ้ายังชนะไปเรื่อยๆ โถงวรยุทธก็จะมอบเม็ดยาระดับพิภพให้เจ้าทุกวัน อย่าได้กังวลว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บ ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ตาย โถงวรยุทธจะรับประกันว่าเจ้าจะสามารถแข่งขันต่อไปได้ในวันถัดไป!”
 


         จากนั้นผู้ดูแลหยางก็โบกมือลาขณะเดินออกจากห้อง แต่เขาก็หยุดชะงักอยู่หน้าประตูและเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

         “ใช่แล้ว ท่านประมุขขอให้ข้านำคำพูดมาถ่ายทอดให้กับเจ้า หากเจ้าต้องการสำเร็จขั้นบรรลุของทักษะต่อสู้ระดับพิภพ เจ้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับแก่นแท้ของมัน ท่านประมุขไม่ได้รู้เกี่ยวกับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้มากนัก แต่ท่านก็ต้องการให้เจ้ามุ่งเน้นไปที่คำเพียงคำเดียว… ‘ระเบิด’!”
 


         เมื่อผู้ดูแลหยางออกไป ดวงตาของเจียงอี้ก็เปล่งประกายด้วยความยินดี ได้รับเม็ดยาระดับพิภพในทุกๆวัน? ตราบใดที่เขายังไม่ตาย โถงวรยุทธก็รับประกันว่าเขาจะยังสามารถเข้าแข่งขันในวันต่อๆไปได้? การที่มีโถงวรยุทธคอยสนับสนุนเช่นนี้ทำให้เจียงอี้ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป ความมั่นใจของเขาเพิ่มสูงขึ้น เขาตัดสินใจว่าจะยอมเสี่ยงทุกอย่างและคว้าชัยชนะทั้งหนึ่งร้อยยกให้ได้!

        

         ระเบิด?
 


         เจียงอี้รีบดูดซับเม็ดยาอย่างรวดเร็วและเริ่มบ่มเพาะพลัง เขาฟื้นฟูพละกำลังเรียบร้อยแล้วและลองทำความเข้าใจกับแก่นแท้ของทักษะระดับพิภพอีกครั้ง

 

 

         หากว่าเขาสามารถสำเร็จขั้นบรรลุของฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ได้ โอกาสที่จะคว้าชัยชนะของการแข่งขันก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
 


         ราตรีผ่านพ้นไป
 


         เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงอี้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากที่ทานข้าวเสร็จเขาก็เดินออกจากโถงวรยุทธและตรงไปยังจัตุรัสกลางเมือง เมื่อเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เจียงอี้ก็หันกลับมาและมองเห็นชายวัยกลางคนผู้ซึ่งใส่ต่างหูและผู้ดูแลหยางซึ่งกำลังมองดูเขาอยู่เงียบๆจากด้านบนระเบียงของโถงวรยุทธ ทันใดนั้นเขาก็ถอดหน้ากากออกและโค้งคำนับด้วยความขอบคุณ

 

 

         จากนั้นเขาก็โยนหน้ากากให้กับทหารยามผู้หนึ่ง เมื่อเจียงอี้หันกลับมา เขาก็ก้าวเท้าออกไปด้วยความสง่าผ่าเผยโดยไม่ต้องปกปิดตัวเองอีกต่อไป



         ฟึบ!
 


         เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังไปยังเท้าและทะยานขึ้นไปบนลานประลองราวกับหมาป่า เมื่อมองไปยังอัฒจันทร์สำหรับผู้ชม เขาก็รู้แล้วว่าเหล่าผู้มีอิทธิพลยังมาไม่ถึง เขาจึงยืนหลับตาอยู่นิ่งๆและรอให้การแข่งขันเริ่มขึ้น
 


         “พี่เฮยฉี มันอยู่นั่น! ไอ้สารเลวนั่นอยู่ตรงนั้น!”
 


         มุมหนึ่งทางทิศตะวันออกของจัตุรัส ชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอคนหนึ่งชี้นิ้วไปทางเจียงอี้ด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้ม ดวงตาของเขาอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชังราวกับว่าต้องการที่จะฉีกร่างของเจียงอี้ทั้งเป็น
 


         ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอนางโลมเฟิงเยว่ ตันเทียนของหม่าเฟยถูกเจียงอี้ทำลาย หลังจากนั้นเขาก็พยายามใช้ทุกช่องทางเพื่อตามล่าตัวเจียงอี้อยู่หลายเดือน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเปรียบเสมือนฝันร้าย ตราบใดที่เจียงอี้ยังคงมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่มีวันปล่อยวางความแค้นและพักผ่อนได้อย่างสงบ
 


                  “หม่าเฟย พอแล้ว!”

 

 

         หม่าเฮยฉีตบไปที่ไหล่ของหม่าเฟย จากนั้นเขาก็หันไปมองเจียงอี้และกล่าวด้วยน้ำเสียงอันมืดมน “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล พ่อของข้าได้เตรียมการไว้แล้ว วันนี้ ข้าจะขึ้นไปท้าประลองกับเจียงอี้… และมันจะต้องตาย!”
 

 

 

รีวิวผู้อ่าน