ตอนที่ 22 เรียกว่าน้องศพ
ผมตกตะลึงในความสวยของผีเมีย ในเวลานั้นผมมองจนลืมตัว
เพราะตั้งแต่ผมโตมา ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาก่อน
และเธอคนนี้ยังไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเมียผม
แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมตื่นเต้น แปลกใจ และลุ่มหลงได้ยังไงละครับ
แต่ใครจะไปรู้จู่ๆผีเมียก็หันมาด่า จนสุดท้ายก็ทำให้ผมได้สติ
ผมแสดงท่าทางที่เขินอายออกมา “เอ่อ เอ่อฉันชื่อติงฝาน เธออย่าเรียกฉันว่าผู้ชายกากได้ไหม อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้กาก”
ในใจของผมร้องตะโกนว่ามันไม่ยุติธรรม! ดังนั้นผมจึงต้องพูดแก้ตัวให้ตัวเอง
แต่ผีเมียกลับทำสีหน้าไม่ชอบใจ เธอพูดฮึออกมาอย่างเย็นชา และทำท่าจะเดินจากไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมจึงรีบพูดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรเรียกเธอว่าอะไร จึงพูดออกไปตรงๆ “เอ่อ เอ่อพี่สาว คุณยังไม่ได้บอกชื่อกับฉันเลยนะ!”
ผมไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่รู้ว่าผีเมียตายไปแล้วกี่ปี
เรียกเธอว่าพี่สาว น่าจะเหมาะสมแล้วมั้ง
แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดคิด เสียงของผมพึ่งจางหาย ทันใดนั้นผีเมียก็พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห “ไอ้กาก แกเรียกใครว่าพี่สาวฮะ ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยซินะ”
ใบหน้าของผมอดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อย นี่ผมเรียกแบบบริสุทธิ์ใจนะ!
ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับทหาร นี่มันทำให้ผมรู้สึกกังวลเป็นพิเศษแบบนี้
“เอ่อ งั้นเธอต้องบอกฉันว่า ควรเรียกเธอว่ายังไง” ผมรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ตอนนี้ผมมองออกแล้ว แม้ผีเมียจะสวย แต่เธอเหมือนกับจะมีนิสัยที่ผมทายไว้ก่อนหน้านี้เป๊ะ โมโหโคตรง่าย เป็นผู้หญิงที่อารมณ์รุนแรงสุดๆ
ผีเมียเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาๆ “ฉันชื่อมู่หลงเหยียน……”
เมื่อผมได้ยินชื่อ “มู่หลงเหยียน” สามคำ ก็รู้สึกว่ามันเพราะดี
ขณะที่กำลังจะเรียกชื่อของเธอ แต่ทันใดนั้นเธอก็ชิงพูดออกมาก่อน “แต่ ฉันไม่อนุญาตให้นายเรียกชื่อฉัน และยังห้ามเอาชื่อฉันไปบอกกับคนอื่น! ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นฉันจะดูดพลังนายให้เกลี้ยง!”
ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนยังทำท่าทางข่มขู่ผมอีกด้วย
ในใจผมรู้สึกว่ามันแปลก คุณคิดว่าชื่อเขาไม่ได้เอาไว้ใช้เรียกกันอย่างงั้นเหรอ ไม่ให้เรียกชื่อ แถมยังไม่ให้ผมพูดด้วย
ผมคิดว่าผีเมียของตัวเอง ก่อนตายเธอคงได้รับบาดเจ็บทางสมองรึเปล่า ถึงได้มีความผิดปกติทางจิตใจแบบนี้
“ถ้าไม่ให้เรียกเมีย ไม่ให้เรียกพี่สาว แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ให้พูด แล้วจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไร” ผมทำหน้ามึนงง
มู่หลงเหยียนเงียบไปครู่นึง เธอกำลังครุ่นคิด จากนั้นก็พูดกับผมอีกครั้ง “ตอนฉันมีชีวิตเคยเรียนเกี่ยวกับศพ นายเรียกฉันว่าน้องศพก็แล้วกัน!”
ขณะนั้นผมยังไม่ค่อยได้สติ จึงได้ยินคำว่า “ศพ” กลายเป็น “ศิษย์”
ดังนั้นผมจึงยิ้มกว้างออกมา และเรียกว่า “ศิษย์น้อง”
แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดเพิ่ม “อย่ามาเรียกมั่วซั่ว! ศพโว้ยศพ ต่อไปป้ายวิญญาณนิรนามที่อยู่ในบ้าน ก็เขียนชื่อนี้ลงไป”
ศพงั้นเหรอ ทำไมมันแปลกประหลาดแบบนี้กันนะ
ผมรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อมู่หลงเหยียนพูดมาขนาดนี้ ผมก็คงได้แต่ทำตาม
อีกอย่างผีเมียก็อารมณ์ร้าย และยังร้ายกาจอีกต่างหาก
ถ้าผมขัดใจเธอขึ้นมา ไม่แน่เธออาจจะเล่นลูกไม้อะไรใส่ผมอีกก็ได้
ผมจึงพูด “อือ” ออกมา เมื่อมู่หลงเหยียนเห็นผมตกลง เธอก็พูดกับผมอีกครั้ง “โอเค ส่วนผีชั่วตนนั้นถูกฉันทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว คงไม่มาก่อกวนนายไปอีกสักพัก จากนี้พวกนายก็คิดหาวิธีล่อมันออกมาแล้วก็จัดการละกัน”
ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนก็เดินเข้าไปในป่า
เมื่อเห็นเธอกำลังจะจากไป ผมก็รีบตะโกนขึ้นมาทันที “มู่หลง……ไม่ๆ น้องศพเธอจะไปไหน”
มู่หลงเหยียนไม่หันหลังกลับมา เธอแค่พูดว่า “กลับสุสานไร้ญาติ!”
เมื่อได้ยินสามคำนี้ ผมก็เผยสีหน้าอึดอัดใจ และไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
แต่วินาทีนั้นร่างของมู่หลงเหยียน ก็หายไปในเงามืดของป่าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนหายไป ผมก็เคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหน้าของอาจารย์และเฟิงเฉ่วหาน จากนั้นก็เขย่าทั้งสองคนสองถึงสามครั้ง
อาจารย์ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เฟิงเฉ่วหานได้รับบาดเจ็บทางสมอง เขาจึงสลบไม่ฟื้นเลย
แต่สีหน้าของเขาดีขึ้นมาก หายใจก็เป็นปกติ บางทีอาการของเขาอาจจะไม่หนักมาก
อาจารย์ส่ายหัวสองสามครั้ง และหันมามองผมอย่างอ่อนล้า “ฉัน ฉันเป็นอะไรไป แล้วฉันมาอยู่นี่ได้ยังไง”
เมื่อผมเห็นอาจารย์ได้สติ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที จึงรีบพูดกับอาจารย์ “อาจารย์ ถูกผีชั่วเข้าสิงครับ!”
“อะไรนะ ฉันถูกเข้าสิง” อาจารย์ทำหน้าตกตะลึง มองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง
“อาจารย์ไม่เป็นอะไรแล้ว มันถูกตีจนหนีไปแล้วครับ……” ผมพูดออกมาตรงๆ ในเวลาเดียวกันยังเล่าเรื่องการปรากฎตัวของผีเมีย นำเรื่องที่ผีชั่วถูกตีเล่าให้อาจารย์ฟัง
หลังจากอาจารย์ได้ยิน เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ “ยังดี ยังดี คิดไม่ถึงว่าพลังของผีชั่วตนนี้จะสูงได้ถึงขนาดนี้ มันสามารถเข้าสิงร่างของฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลย !”
ขณะที่อาจารย์ถอนหายใจออกมา ในป่าใกล้ๆ กลับมีร่างของคนสองคนปรากฎขึ้น
เมื่อทั้งสองคนปรากฎตัว ก็ได้ยินเสียงของเหล่าฉินทันที “เหล่าติง นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เมื่อมองตามเสียง ก็พบชายสองคนที่พลัดหลงกับอาจารย์เมื่อก่อนหน้านี้ นักพรตตู๋และเหล่าฉินนั้นเอง
“เหล่าฉิน ฉันไม่เป็นอะไร” อาจารย์ตอบกลับ
นักพรตตู๋และเหล่าฉินมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของอาจารย์ และเฟิงเฉ่วหานที่นอนสลบอยู่บนพื้น ก็ถามขึ้นทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่ผมกำลังจะเล่า อาจารย์ก็กลัวว่าผมจะพูดอะไรไม่ดีออกไป จึงชิงพูดก่อน
บอกว่าเขาโดนผีชั่วสิง จากนั้นก็หันหลังกลับ และเข้ามาทำร้ายผม
แต่สุดท้ายผมกลับไม่รู้อะไร จึงใช้กระจกแปดทิศทำให้ผีชั่วนั้นตกใจจนออกมา
ในที่สุดผมและอาจารย์ก็ร่วมมือกัน ต่อสู้กับผีชั่วตนนั้น แต่ผีชั่วนั้นดันหนีหายไปก่อน
อาจารย์เล่าเรื่องทั้งหมดโดยไม่ได้เอ่ยถึงผีเมียเลยสักนิด แต่นักพรตตู๋ก็ไม่ได้สงสัย เขาลูบเคราของตัวเองไปมา บอกว่าผีชั่วตนนั้นเป็นผีน้ำ จะหนีจากน้ำนานไม่ได้
บอกว่าหลังจากที่ผมใช้กระจกแปดทิศทำให้ออกมาแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะหมดเวลา ดังนั้นจึงต้องกลับไป
ที่นักพรตตู๋พูดก็ถูก ผีชั่วตนนั้นออกจากน้ำนานเกินไป และยังทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น แต่สิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึงก็คือระยะเวลาที่มันจะอยู่นานได้ถึงขนาดนี้
และแล้วเรื่องในคืนนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องผีเมียมู่หลงเหยียนนั้น กลับถูกโยนทิ้งไปทั้งแบบนั้น
นักพรตตู๋และเหล่าฉิน ก็เล่าเรื่องที่พวกเขาเจอหลังจากนั้นให้ฟัง
หลังจากที่พวกเขาออกจากบ้าน ก็ไล่ตามผีชั่วมาตลอด
ไม่คิดเลยว่าจะถูกล่อให้ไปอีกทาง ร่างคนแก่ที่ผีชั่วนั้นใช้ ทำให้พวกเขาเดินเป็นวงกลม
สุดท้ายก็สัมผัสถึงพลังหยินของอาจารย์ จึงหันหลังกลับมาทันที แต่ระหว่างทางกลับเจอผมและเฟิงเฉ่วหานโดยบังเอิญ
โชคดีที่ผมยังมีสติ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ศพของผมทั้งสองคนคงแช่อยู่ในแอ่งน้ำไปแล้ว
หลังจากทุกคนเล่าประสบการณ์ในคืนนี้จบ พวกเราก็นำตัวเฟิงเฉ่วหานกลับไปที่หอพักของสุสาน
เจ้าเด็กนี้ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อกลับไปถึงหอเพียงดื่มซุปขิงเข้าไปนิดหน่อย เขาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว และคืนนี้ผีชั่วตนนั้นคงไม่กลับมาอีก
ดังนั้นหลังจากนักพรตตู๋และคนอื่นๆพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว ผมและอาจารย์ก็กลับมายังร้าน
เรื่องนี้คงต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้า ถึงจะหาลือกันใหม่ได้
แต่ว่าผีเมียก็พูดแล้ว เธอทำให้ผีชั่วนั้นบาดเจ็บสาหัส
แค่คิดหาวิธี ล่อผีชั่วออกมาจากน้ำ จากนั้นก็จัดการมันได้ง่ายๆแล้ว……