px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 48 มันจบแล้ว


 


         ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันประเภทใด ทั้งหมดก็เพื่อทดสอบความแข็งแกร่ง มันคือเหตุผลที่อนุญาตให้ใช้อาวุธแต่ไม่ให้มีการสังหารอีกฝ่ายโดยเจตนา นับตั้งแต่อดีตมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีการเลือดตกยางออก แต่มันก็ไม่ได้รุนแรงถึงระดับที่เจียงอี้ทำ

 

 

         แต่เดิมตระกูลหม่าไม่มีความกังวลหรือหวาดกลัวใดๆ แต่หลังจากที่ได้เห็นการกระทำอันโหดเหี้ยมของเจียงอี้แล้ว พวกเขาก็ต้องตกตะลึง
 


         ในโลกนี้ยังมีเม็ดยารักษาที่ทรงพลังอยู่ ไม่ว่าจะถูกแทงหรือกระดูกหัก ตราบเท่าที่ยังไม่ตายก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้เต็มที่ แต่ถ้าหากแขนขาถูกตัดหรือถูกทำลาย คนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นผู้พิการตลอดชีวิต

 

 

         แม้ว่าในตำนานจะกล่าวว่าเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์จะสามารถฟื้นฟูตันเทียนให้กลับมาได้ แต่ตระกูลที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆอย่างเมืองเทียนอวี่จะมีปัญญาหาซื้อมันมาได้อย่างไร?
 


         แน่นอนว่าตระกูลหม่าไม่สามารถหาเม็ดยาระดับนั้นได้แน่นอน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผู้นำตระกูลหม่า, หม่าขุย ทุบเก้าอี้และคำรามด้วยความโกรธ

 

 

         “ทุกท่าน ไอ้เด็กนั่นกล้าทำลายตันเทียนของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ข้าขอเสนอให้มันถูกตัดสิทธิ์!”
 


         ผู้นำตระกูลหม่าประกาศกร้าวด้วยเสียงอันดันก้องซึ่งทำให้ผู้คนที่ยื่นอยู่ในบริเวณจัตุรัสกลางเมืองหันมามอง หากตัวแทนทั้งสามจากสำนักจิตอสูรตัดสินว่าเจียงอี้มีความผิด เขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันต่อในทันที
 


         “ถูกต้อง! ข้าเองก็คิดว่าหมายเลข 536 ลงมือหนักไปแล้ว ข้าขอสนับสนุนให้ตัดสิทธิ์เขาด้วยเช่นกัน!”
 


         เสียงอันเย็นชาดังออกมาซึ่งทำให้ฝูงชนตกอยู่ในความโกลาหล แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นผู้ที่ตะโกนออกมาได้อย่างชัดเจน แต่ก็มีหลายคนที่จำได้ว่ามันคือเสียงของเจียงหยุนเฉอ

 

 

         แต่ไม่ใช่ว่าเขาคือหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลเจียงหรอกหรือ? ทำไมเขาถึงกล่าวเช่นนี้ขึ้นมา? เป็นไปได้ไหมว่ามันคือ… ความขัดแย้งภายใน?
 


         ผู้นำตระกูลหลิ่วเองก็กล่าวพลางถอนหายใจ “เขาโหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ การทำลายตันเทียนนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่าให้ตายเสียอีก…”


         จีเทียนยังคงนิ่งเงียบและเหลือบไปมองตัวแทนทั้งสาม “ข้ายังคงไม่อยากออกความเห็น แต่ท้ายที่สุดแล้วคำตัดสินล้วนแต่ขึ้นอยู่กับท่านตัวแทนทั้งสาม พวกท่านคิดยังไงบ้าง?”

 


         ตัวแทนที่เป็นชายหนุ่มพยักหน้าและกล่าว “โดยส่วนตัวแล้ว ข้าคิดว่ามันมากเกินไป บุคคลที่โหดเหี้ยมเช่นนี้อาจจะกลายเป็นตัวปัญหาของสำนักได้”
 


         “หืม!!”
 


         คำพูดของตัวแทนจากสำนักจิตอสูรมีน้ำหนักมากและได้ปลุกระดมความโกลาหลในหมู่ผู้ชมอีกครั้ง หากตัวแทนที่เหลือเห็นชอบกับคำพูดของเขา เจียงอี้จะต้องถูกตัดสิทธิ์อย่างแน่นอน
 


         “ข้าขอค้าน!!”
 


         เสียงตะโกนสายหนึ่งดังขึ้นซึ่งทำให้หลายคนปวดแก้วหู สายตาจำนวนมากหันไปทางต้นเสียงและเห็นเจียงอี้ที่ยังคงใช้มือกุมไปที่ไหล่ขวาขณะที่กระโดดขึ้นไปบนอัฒจันทร์สำหรับผู้ชม
 


         ไหล่ขวาของเขาถูกผ่าลึกจนเห็นกระดูก แม้จะพยายามใช้แก่นแท้พลังเพื่อห้ามเลือด แต่โลหิตสีแดงสดก็ยังคงทะลักออกมาและเจิ่งนองไปทั่วพื้น
 


         การเสียเลือดมากเกินไปทำให้ใบหน้าของเจียงอี้ซีดขาวลงอย่างน่ากลัว เสื้อผ้าของเขาชุ่มไปด้วยเลือดซึ่งทำให้ดูน่าเวทนาอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมาขณะที่ยังคงเดินตรงเข้าหาเหล่าผู้ชมระดับสูง
 


         ในที่สุดเขาก็มาถึงและกวาดมองทุกคนด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์จนสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่เจียงหยุนซานและผู้อาวุโสอีกสองคนก่อนที่จะหันไปมองผู้นำตระกูลหม่า
 


         จากนั้นไม่นานเขาก็เบนสายตามาหยุดอยู่ที่จีเทียนและตัวแทนทั้งสาม

 

 

         “ท่านผู้อาวุโสที่น่าเคารพทั้งหลาย ข้าอยากจะเรียนถามทุกท่านว่าข้า เจียงอี้ ทำผิดกฎข้อไหนหรือ? ทำไมข้าถึงต้องถูกตัดสิทธิ์?”

 

 

         “พวกท่านไม่เห็นการประลองก่อนหน้านี้หรือ? ทั้งหมดนี้ข้าไม่ใช่คนเริ่ม ตลอดการแข่งขันที่ผ่านมาข้าไม่เคยใช้วิธีการอันโหดร้ายเช่นนี้จนกระทั่งถูกบังคับให้ต้องทำ…”

 
         “ประมุขหม่า เหล่ารุ่นเยาว์ในตระกูลของท่านถูกส่งออกมาเพื่อทำให้ข้ากลายเป็นคนพิการ หากข้าไม่ลงมืออย่างเด็ดขาด คงเป็นข้าเองที่ต้องเสียแขนไป… ในทางกลับกัน หากเป็นข้าที่ถูกตัดแขน ท่านจะพูดว่าคนของท่านทำเกินไปหรือไม่? ท่านจะเสนอให้เขาถูกตัดสิทธิ์เหมือนที่ทำกับข้าหรือไม่?!”

 


         แปะ แปะ
 


         โลหิตของเจียงอี้ยังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย ผู้คนที่อยู่บนอัฒจันทร์ยังคงนิ่งเงียบ แต่ไม่นานนักผู้นำตระกูลหม่าก็ตะโกนสวนออกมา

 

 

         “ไอ้เด็กอวดดี! แม้ว่าเจ้าจะได้รับอนุญาตให้แข่งต่อ แต่ด้วยสภาพอันน่าสมเพชของเจ้า เจ้ายังคิดว่าตัวเองจะชนะได้? ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ข้าคนเดียวที่เห็นว่าเจ้ามันเลือดเย็นเกินไป แม้แต่ผู้อาวุโสจากตระกูลเจียงของเจ้า, เจียงหยุนเฉอก็ยังเห็นด้วยกับข้าเหมือนกัน”
 


         “หม่าขุย นี่ท่าน…” เจียงหยุนเฉอไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล่าวเช่นนี้ออกมา เขาฉวยโอกาสนี้เปิดเผยเรื่องที่เจียงอี้เป็นคนของตระกูลเจียงออกมาต่อที่สาธารณะชน
 


         “ฮ่าฮ่าฮ่า!”
 


         เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและขัดจังหวะเจียงหยุนเฉอ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความดูถูกและมองหม่าขุยอย่างสงบ

 

 

         “ไม่ว่าข้าจะชนะหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน? หากท่านเต็มใจ ท่านก็สามารถให้หม่าเฮยฉีมาประลองกับข้าได้! นอกจากนี้อย่าได้เอ่ยถึงตระกูลเจียง เพราะว่าในสายตาของพวกเขา แม้แต่หมา ข้าก็ไม่อาจเทียบได้ ท่านไม่รู้หรือไงว่าพวกเขาเองก็จ้องที่จะขับไล่ข้าออกจากตระกูลเช่นเดียวกัน”

 

 

         “โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสเจียงหยุนเฉอที่ต้องการให้ข้าตายๆไปเสียด้วยซ้ำ หึหึ! ข้าเจียงอี้ผู้มีสถานะต่ำต้อยและไม่สมควรที่จะเป็นสมาชิกตระกูลเจียงอีกต่อไป!”

 

         “หืม?!”

 

 

         “อะไรกัน?”
 


         คำประกาศของเจียงอี้ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของผู้คน แม้แต่จีทิงยวี่และเจียงเฮิ่นซุ่ยต่างก็ต้องหยุดการประลองไว้ชั่วคราว ก่อนหน้านี้คำพูดของเจียงหยุนเฉอทำให้หลายคนรับรู้ถึงความผิดปกติ แต่คำอธิบายของเจียงอี้ก็ทำให้ทุกคนเข้าใจอย่างกระจ่าง แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
 


         ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างแตกตื่น พวกเขากำลังจินตนาการว่าหากเป็นตัวเองจะกล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสในตระกูลของตนหรือไม่? สิ่งที่เจียงอี้กล่าวออกมา มันไม่ต่างอะไรไปจากการเปิดเผยว่าเขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเจียงอีกต่อไป

 

 

         การกระทำของเขาถือว่าเป็นการทรยศหรือไม่? นี่เขาบ้าไปแล้วหรือ?!
 


         “เจียงอี้! ไอ้ลูกหมา! เจ้ามันคนเนรคุณที่…”
 


         เจียงหยุนเฉอระเบิดความโกรธ ร่างของเขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างท่วมท้น เขาเกือบจะลงมือเพื่อปลิดชีพเจียงอี้ แต่เมื่ออ้าปากก็ตระหนักได้ว่ายิ่งเขาพูดมากหรือแสดงอาการมากเท่าไหร่ มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับตระกูลเจียงมากเท่านั้น
 


         “หยุนเฉอหุบปาก!”
 


         ในฐานะผู้นำตระกูล เจียงหยุนซานมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าเจียงหยุนเฉอมากนัก แม้ว่าเขาจะโกรธแค้นถึงขึ้นอยากฉีกร่างของเจียงอี้ แต่เขาก็ทำได้เพียงเงียบไว้ก่อนในเวลานี้
 


         ในขณะนี้เจียงหยุนซานเพียงแค่แสดงสีหน้าผิดหวังและถอนหายใจออกมาก่อนที่จะหันไปพูดกับเจียงอี้

 

 

         “เจียงอี้ ข้าเข้าใจดีถึงเรื่องบาดหมางระหว่างเจ้ากับหยุนเฉอและข้าก็ไม่ตำหนิที่เจ้าต้องการจะหันหลังให้กับตระกูลเจียง แต่ตระกูลของเราจะไม่ขับไล่เจ้าตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง”

 

 

         “เอาเป็นว่าพวกเราค่อยกลับไปพูดคุยเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งหลังจากที่การแข่งขันจบลง”
 


         “สมแล้วที่เป็นถึงผู้นำตระกูล!”
 


         คำพูดของเจียงหยุนซานทำให้หลายคนถึงกับยกนิ้วให้ เพียงประโยคง่ายๆไม่กี่ประโยคก็ทำให้ความตึงเครียดลดลง จากมุมมองของคนภายนอก เจียงอี้คงมีความแค้นบางอย่างกับเจียงหยุนเฉอซึ่งเป็นเหตุให้เขาปฏิเสธตระกูลเจียง แต่ถึงอย่างนั้นเจียงหยุนซานกลับไม่โกรธและยังพยายามกล่าวเพื่อลดโทสะของเจียงอี้อย่างใจเย็น
 


         แม้ว่าคนภายนอกจะไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แต่ผู้ที่นั่งอยู่ในบริเวณเดียวกันล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่าทั้งนั้น ถึงจะไม่ทราบรายละเอียดเบื้องลึก แต่ก็ยังพอคาดเดาบางอย่างได้บ้าง

 

 

         เหตุใดเจียงอี้ที่เป็นเพียงเด็กอายุสิบห้าปีถึงต้องต่อต้านตระกูลของตัวเองหากว่าไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น? หรือว่าสมองเขามีปัญหา ถึงได้ประกาศออกมาราวกับว่าต้องการออกจากตระกูลอย่างเปิดเผย? นี่เขาเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว?


         ทางด้านเจียงอี้ยังคงรักษาความเงียบไว้ คนที่เหลือเองก็ไม่ต้องการที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง พวกเขาเพียงแค่เหลือบมองตัวแทนทั้งสามและคาดเดาผลการตัดสินของพวกเขา

 


         “หมายเลข 536 ไม่ได้ทำผิดกฎของการแข่งขัน ข้าขอคัดค้านการตัดสิทธิ์ของเขา!”
 


         จากการคาดการณ์ของทุกคน ตัวแทนหญิงสาวผู้งดงามนางนี้ที่เมื่อวานยังคงดูถูกวิธีการของเจียงอี้ นางสมควรจะเห็นด้วยเกี่ยวกับการตัดสิทธิ์ แต่ทำไม่ถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา?
 


         สีหน้าของตัวแทนที่เป็นชายหนุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง คำตัดสินที่สวนทางเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเขากำลังถูกตบหน้า? แต่ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรก็มา ตัวแทนคนสุดท้าย ผู้อาวุโสฝูก็ชิงเอ่ยออกมาก่อนแล้ว

 

 

         “ในเมื่อเขายังไม่ได้ฆ่าใคร เช่นนั้นก็ยังไม่ถือว่าทำผิด เริ่มการแข่งขันต่อได้!”


         น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดของผู้อาวุโสฝูทำให้เจียงอี้รู้สึกโล่งใจ เขาหันมามองแม่นางซูและผู้อาวุโสฝูพร้อมกับโค้งคำนับให้ก่อนจะกลับไปยังเวทีประลอง

 

 

         เมื่อกลับมาอยู่บนเวทีประลองอีกครั้ง เขาก็หันไปทางหม่าเฮยฉีและตะโกน

 

 

         “หม่าเฮยฉี ตอนนี้ข้าเหลือแขนเพียงข้างเดียวที่ยังใช้การได้ ร่างกายข้ายังได้รับบาดเจ็บถึงหกส่วนและแก่นแท้พลังของข้าก็เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็จงก้าวขึ้นมาบนเวทีซะ! แน่นอนว่าหากเจ้ากลัว เจ้าก็สามารถปล่อยให้คนในตระกูลขึ้นมาประลองในสองยกที่เหลือได้!”
 


         หยิ่งยโส กล้าหาญและบ้าคลั่งยิ่งนัก!
 


         นี่คือความรู้สึกและความประทับใจที่เหล่าผู้ชมมีให้กับเจียงอี้ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังกล้าที่จะท้าทายหม่าเฮยฉีซึ่งเป็นหนึ่งในสิบยอดอัจฉริยะอย่างโจ่งแจ้ง นี่เขาบ้าไปแล้ว? หรือเขาจะรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเอาชนะการแข่งขันได้จึงเลือกเส้นทางที่รุนแรงยิ่งขึ้น?
 


         “ฮ่าฮ่าฮ่า!”
 


         หม่าเฮยฉีหัวเราะออกมา หากเขาไม่ขึ้นเวทีประลองกับเจียงอี้ เขาจะต้องถูกคนทั้งเมืองหัวเราะเยาะ หลังจากที่ขึ้นเวที ผู้คนในบริเวณนั้นก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาของเขา “หมาป่าเดียวดาย? เจียงอี้? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสู้กับข้า? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำลายตันเทียนของเจ้า?”
 


         “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้ารอให้ข้าบาดเจ็บอยู่หรือ? ลงมือเถอะ หากว่าเจ้าสามารถทำลายตันเทียนของข้าได้จริง ข้าจะไม่บ่นออกมาแม้แต่คำเดียว!”
 


         สิ้นสุดประโยค เจียงอี้ก็โยนตัวเองเข้าหาหม่าเฮยฉีอย่างรวดเร็ว ด้วยอาการบาดเจ็บร้ายแรง หากไม่จบการต่อสู้ในทันที เขาจะต้องกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
 


         หม่าเฮยฉีแสยะยิ้มด้วยความเย้ยหยันและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ ฝ่ามือของเขากลายเป็นกรงเล็บอินทรีและตะปบไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย


         ดาบสั้นสีนวลที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเจียงอี้ถูกนำออกมา มือขวาของเขาได้สร้างภาพมายาออกมาสามภาพขณะที่แทงดาบสั้นไปยังหม่าเฮยฉี

 


         หมัดมายาได้รับการแก้ไขโดยเจียงอี้ ด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์ในมือ ทำให้มันกลายเป็นดาบมายา!
 


         “ก็แค่กลลวงกระจอกๆ! ระวังแส้มังกรดำของข้าให้ดี!”
 


         เมื่อเห็นเงาลวงของดาบทั้งสามพุ่งเข้ามา หม่าเฮยฉีก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่อย่างใด เขาตวัดแส้สีดำที่มีความยืดหยุ่นสูงและพันรอบดาบสั้นสีนวลของเจียงอี้
 


         ฟึบ!
 


         ขณะที่ถูกแส้สีดำพันรอบอาวุธ จุดหู่โข่วที่อยู่บนมือซ้ายของเจียงอี้ก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ดาบสั้นของเขายังคงถูกยึดเอาไว้ แส้สีดำของหม่าเฮยฉีค่อนข้างลึกลับ มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งมีชีวิตที่กำลังยึดแขนซ้ายของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง
 


         “เจียงอี้ ข้าจะชำระหนี้เลือดให้กับคนของตระกูลหม่า!”
 


         หม่าเฮยฉีสังเกตเห็นใบหน้าของเจียงอี้ที่ถูกแทนที่ด้วยความกลัว เขากระตุกแซ่เข้ามาเพื่อดึงร่างของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ มืออีกข้างของเขาเปลี่ยนเป็นกรงเล็บและพุ่งตรงไปยังหน้าท้องของเจียงอี้โดยที่เป้าหมายของมันก็คือตันเทียนของเขา!
 


         “มันจบแล้ว…”
 


         บนระเบียงของโถงวรยุทธ ผู้ดูแลหยางถอนหายใจออกมา มือซ้ายของเจียงอี้ถูกจับไว้ในขณะที่มือขวาเองก็ไม่สามารถใช้งานได้ ด้วยการเสียเลือดจำนวนมากบวกกับจำนวนแก่นแท้พลังที่ลดลง ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จะเทียบกับหม่าเฮยฉีได้อย่างไร?

 

 

         ประมุขโถงวรยุทธเองก็ส่ายหัวและกล่าวอย่างไม่แยแส “จบแล้วแหละ แต่… ข้าหมายถึงหม่าเฮยฉี!”
 

รีวิวผู้อ่าน