ตอนที่ 33 ลำดับชั้นในสายงาน
จู่ๆก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ทันตั้งตัว
วินาทีนั้นเมื่อหยิบยันต์ได้ แม้ผมจะไม่มั่นใจเท่าไหร่
เพราะภายใต้สถานการณ์ปกติ มันยังไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ทุกครั้ง
จู่ๆตอนนี้ก็เกิดเรื่องขึ้น ผมเองก็กลัวเช่นกัน
แต่ ผมไม่มีทางเลือกอื่น
หลังจากที่ผมพูดคำว่า “ทำลาย” ทันใดนั้นยันต์ที่ติดกลางหน้าผากผีดิบ ก็เรืองแสง และมีเสียงดัง “ปัง” ยันต์แผ่นนั้นก็ระเบิดในทันที
คาถาดังกล่าวปลดปล่อยพลังหยางที่ร้อนระอุออกมา และยังเป็นการโจมตีอย่างฉับพรัน
ผีดิบที่เคยบีบคอเฟิงเฉ่วหาน จึงกรีดร้องออกมา “บึก” จากนั้นร่างของมันก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ ผมก็ดีใจทันที ดีใจสุดๆจนกระโดดโลดเต้นเลยละ
คิดไม่ถึงจริงๆ การใช้ยันต์ครั้งแรกของผม จะสำเร็จอย่างสมบูรณ์
ขณะที่ผีดิบได้นอนลงไปกองกับพื้น ร่างของมันก็กระตุกสองสามครั้ง ในปากยังเปล่งเสียง “ฮือฮือฮือ” ออกมา มันสำลักควันดำออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่ขยับอีกเลย
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่กล้าประมาท เพราะเมื่อกี้พวกเราประมาท จึงถูกผีดิบลอบโจมตี
พวกเราไม่ได้เข้าใกล้ผีดิบเหมือนครั้งที่ผ่านมา หลังจากสังเกตมาพักหนึ่ง ผมก็ใช้ดาบไม้จิ้มไปที่ตัวของผีดิบสองสามครั้ง
เมื่อแน่ใจว่าเจ้านี้ถูกยันต์ฆ่าตายแล้วจริงๆ พวกเราถึงได้ถอนหายใจออกมา
ผมและเฟิงเฉ่วหานนั่งลงไปกับพื้นทันที ความรู้สึกเหนื่อยล้าโหมกระหน่ำเข้ามา
“ติงฝาน เมื่อกี้ขอบใจมากนะ ถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ ป่านนี้ฉันคงตายไปนานแล้ว!” เฟิงเฉ่วหานยิ้มแห้งๆ
ผมกลับส่ายหัว “เอาอะไรมาพูด ตะกี้นายเองก็ช่วยฉันไว้ครั้งนึงไม่ใช่เหรอ!”
ขณะที่พูด ผมสองคนก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน จากนั้นก็สูบร่วมกัน
พวกเราเหนื่อยกันมากจริงๆ รู้สึกเหมือนว่าไม่เหลือพลังในร่างอีกแล้ว
ส่วนภายในห้องโถง ของทุกอย่างกระจัดกระจายไปหมด เป็นภาพที่น่าปวดหัวมาก
หลังจากที่ผมและเฟิงเฉ่วหานได้พักมาประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็เริ่มลุกมาเก็บกวาดสิ่งของต่างๆ
ถ้าให้คุณเหวินและภรรยามาเห็นภาพนี้เข้า พวกเราคงอธิบายกันไม่ถูกเลยทีเดียว
หรือจะพูดกับพวกเขาว่า เมื่อคืนลูกสาวคุณกลายเป็นผีดิบ ดังนั้นห้องจึงกลายเป็นแบบนี้
ถ้าพูดแบบนี้ออกไป คงมีไม่กี่คนที่เชื่อคำพูดของพวกเรา
พวกเรานำศพของคุณหนูเหวินกลับเข้าไปในโลงอีกครั้ง หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย พวกเราถึงได้พักหายใจหายคอกันอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายขึ้นมาก
เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้ก็ปาไปตี 4 กว่าๆแล้ว
อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่างแล้ว ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานจึงไม่กลับไปนอน และไม่ไปปลุกอาจารย์และนักพรตตู๋ พวกเรานั่งคุยกัน คิดว่าพรุ่งนี้ ควรบอกเรื่องในคืนนี้ให้สองคนนั้นฟังยังไงดี
เมื่อบวกกับประสบการณ์การต่อสู้ในครั้งก่อน ความสัมพันธ์ของผมและเฟิงเฉ่วหานจึงพัฒนาขึ้นไม่น้อย
และเฟิงเฉ่วหานยังบอกผมว่า อีกไม่นาน เขาและนักพรตตู๋จะกลับมาอยู่กับเหล่าฉินที่สุสาน
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ผมก็ดีใจจนออกหน้าออกตา
เพราะนักพรตตู๋เป็นคนมีความสามารถอย่างแท้จริง แถมยังร้ายกาจกว่าอาจารย์ด้วย
ถ้ามีนักพรตตู๋อยู่ ต่อไปมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ แค่ไปหานักพรตตู๋ก็จบแล้ว
ไม่เพียงแค่นี้ ตั้งแต่ผมช่วยงานอาจารย์มา ยังไม่เคยมีเพื่อนในตำบลเลยสักคน
แม้แต่เพื่อนสมัยเรียน ยังหนีผม หลบหน้าผม เห็นผมเป็นตัวซวย
แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานคนนี้จะเย็นชาไปบ้าง แต่ผมกลับรู้สึกดี และยังทำงานเดียวกันด้วย
ต่อไปถ้าเฟิงเฉ่วหานเข้ามาอยู่ในตำบล อย่างน้อยผมก็ได้มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และเวลาเจอเรื่องแปลกๆ ก็ยังสามารถช่วยเหลือกันได้ด้วย
ผมสองคนยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเราใช้คุยกัน เฟิงเฉ่วหานจะเป็นคุณชายเย็นชาเสมอ เขาพูดน้อยมาก
ในเวลานี้ เฟิงเฉ่วหานก็พูดกับผมว่า “ติงฝาน นายพึ่งเริ่มฝึกวิชาใช่ไหม”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ผิด
เพราะอาจารย์พึ่งเริ่มสอนวิชาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง ดังนั้นผมจึงพยักหน้า “ใช่! ก่อนที่จะถูกผีชั่วหมายหัว อาจารย์ไม่เคยถ่ายทอดวิชาจริงๆให้กับฉันเลย!”
“ถึงว่า! แต่นายเก่งมากเลยนะ เวลาสั้นๆแค่นี้ก็สามารถใช้ยันต์ได้แล้ว! ในสายงาน นี่ถือเป็นมาตฐานขั้นต่ำสุดแล้วละ” เฟิงเฉ่วหานเริ่มพูด
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเฉ่วหาน ผมก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แต่ก็ยังถามเขาว่า “ถ้านายพูดแบบนี้ งั้นในสายงานก็ยังมีมาตฐานที่ดีกว่านี้งั้นซิ”
เฟิงเฉ่วหานตอบ “อือ” “นั้นมันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นงานไหนๆ ก็ต้องมี 3 6 9 กันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะแยกแยะความแข็งแกร่งได้ยังไงละ”
“โห! งั้นนายเล่าให้ฉันฟังหน่อยซิ!” ผมถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก
“ลัทธิเต๋าของเราแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ตอนนี้นายอยู่ในระดับต่ำที่สุด……”
สำหรับเรื่องพวกนี้ ผมไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึงมันมาก่อน ตอนนี้เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูด ผมจึงนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ
จากนั้นก็ถามว่า “เฟิงเฉ่วหาน นายบอกว่าสายนี้มีเก้าระดับ งั้นต่ำสุดคือเก้าเหรอ แล้วตอนนี้นายกับนักพรตตู๋อยู่ในระดับไหนแล้วละ”
เฟิงเฉ่วหานไม่ได้หัวเราะเยาะ แต่เขากลับอธิบายให้ผมฟังอย่างจริงจัง
หลังจากฟังจบ ผมถึงเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย
พวกเราที่ทำกิจการงานศพ ถ้าพูดให้ชัดๆก็คือแขนงหนึ่งของลักธิเต๋านั้นเอง
ปัจจุบันเพื่อความอยู่รอด จึงเปิดร้านเกี่ยวงานศพ ทำเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งขึ้นมา
ผมและอาจารย์ทำแบบนี้ จึงถูกเรียกว่าผู้ที่ปราบสิ่งชั่วร้าย
แต่ถ้าในทางลักธิเต๋า พวกเรายังเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิ
และในทางลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็น 9 ระดับ คือเด็กฝึกหัด นักบวช อาจารย์ นักรบ กษัตริย์ มหากษัตริย์ นักบุญ ปรมาจารย์ เทพ มหาเทพ
ในแต่ละระดับต่างมีพลังที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเกิดจากความแตกต่างของการฝึกแต่ละคน
เหมือนกับผม ที่พึ่งเข้ามา ก็จะอยู่ในระดับ “เด็กฝึกหัด”
ส่วนเฟิงเฉ่วหานนั้น ไปถึงระดับนักบวชแล้ว
สำหรับท่านนักพรตตู๋ เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่แน่ใจ แต่เขามั่นใจว่าต้องอยู่ในระดับสูงแน่
ขณะที่ผมสองคนคุยกัน ฟ้าก็สว่างแล้ว
การได้คุยกับเฟิงเฉ่วหาน ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น เมื่อก่อนผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานนี้เลยสักนิด
ทันใดนั้น ประตูใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามา
ผมสองคนหยุดพูดทันที เมื่อหันไปมอง ก็เห็นอาจารย์และนักพรตตู๋เดินเข้ามาแล้ว
เมื่อเห็นทั้งสองคน ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ลุกขึ้นมาทันที
“อาจารย์!” ผมสองคนตะโกนพร้อมกัน
อาจารย์และนักพรตตู๋หันมามอง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์ “เสี่ยงฝาน เมื่อคืนโอเคเลยใช่ไหม!”
ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ “อาจารย์ เมื่อคืนเกิดเรื่องครับ”
“เกิดเรื่อง เกิดเรื่องอะไร” อาจารย์สงสัย นักพรตตู๋เองก็หันมามอง
ผมไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องที่ศพคุณหนูเหวินมองคานห้อง แมวร้องใส่โลง และสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่ศพเปลี่ยนไปให้อาจารย์และนักพรตตู๋ฟัง
เมื่อทั้งสองคนได้ยิน เขาก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง เผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
“เสี่ยว เสี่ยวฝาน แก แกบอกว่าสุดท้ายแกใช้ยันต์ทำลายผีดิบเหรอ” อาจารย์ทำหน้าไม่เชื่อ พูดออกมาด้วยความแปลกใจ
“ท่านนักพรตติง เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ถ้าวินาทีสุดท้ายติงฝานไม่ได้ใช้ยันต์ ผมก็คงถูกผีดิบฆ่าตายไปแล้วครับ!” เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาตรงๆ
ผมหัวเราะ “ฮิฮิฮิ” และเกาหัวตัวเอง
หลังจากอาจารย์ตกตะลึง เขาก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ออกมาทันที “เก่งนิเจ้าเด็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะมีความสามารถ”
อาจารย์ดีใจมาก ใช้มือตบมาที่ไหล่ของผมเบาๆ
ส่วนนักพรตตู๋กลับรู้สึกผิดนิดหน่อย เขาบอกว่าการเจอเรื่องมองคานห้องนั้น เป็นสิ่งที่เขาประมาทเอง
แต่ก็ชมผมและเฟิงเฉ่วหาน ว่าทำได้ค่อนข้างดี
บอกว่าผมสองคนอายุน้อยแค่นี้ ยังสามารถสู้กับผีดิบได้เพียงลำพัง แบบนี้ก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว
แต่เมื่อชมเสร็จ นักพรตตู๋กลับรู้สึกสงสัย “เสี่ยวฝาน เสี่ยวเฟิง เมื่อคืนพวกเธอบอกว่าหลังจากทำลายการมองคานได้แล้ว จากนั้นก็มีแมวมาร้องที่โลง และยังไล่ไม่ไปใช่ไหม”
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า มองท่าทางของนักพรตตู๋ คิดว่าที่นี่อาจมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่นักพรตตู๋ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินไปที่ด้านหน้าของโลงศพ เปิดฝาโลงออก และตรวจดูศพ
ทันใดนั้นหน้าของเขาก็ถอดสี และพูดกับพวกเราว่า “เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อคืนที่ศพเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ! แต่มีคนจงใจทำ......”