px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 64 เด็กอับโชคอยู่ที่นี่


เจียงอี้ปฏิเสธสาวใช้ที่ต้องการมาช่วยรินชาให้จีทิงยวี่ เขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น "อย่าพยายามต่อสู้เพื่อสิบตำแหน่งแรกหมายความว่ายังไงหรือ ... ข้าดูตลกกับแม่นางจีจัง จริงๆแล้วข้าไม่ทราบเลยว่าการชำระโลหิตนี้เป็นอย่างไร"

 

ความตั้งใจเดิมของจีทิงยวี่คือการมาอย่างสันติและเพื่อสร้างมิตรภาพ เจียงอี้มีความลับมากเกินไป การผูกมิตรกับเขาจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลจีอย่างแน่นอน

 

เมื่อเห็นว่าเจียงอี้ขอความช่วยเหลืออย่างจริงใจ นางจึงเริ่มอธิบายว่า "สำนักจิตอสูรจะรับสมัครศิษย์สามร้อยคนจากเมืองต่างๆในระหว่างหกขั้วอำนาจ สถานที่ตั้งของพิธีรับสมัครเป็นแบบสุ่มเนื่องจากพิธีรับสมัครส่วนใหญ่จัดขึ้นที่อาณาจักรเสินหวู่และอาณาจักรต้าเซี่ย"

 

"แต่ตำแหน่งลงทะเบียนนั้นมีน้อยเกินไป มันทำให้หลายๆเมืองประท้วงอย่างลับๆ นี่คือเหตุผลว่าทำไมในระหว่างการชำระโลหิตของการรับศิษย์ใหม่ประจำปี ทางสำนักได้เป็นเจ้าภาพจัดงานชำระโลหิตพิเศษอีกหน ซึ่งจอมยุทธที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปีและอยู่ขั้นที่สามขอบเขตฉูติ่งสามารถลงทะเบียนได้ แต่กลุ่มพิเศษเช่นเจ้านั้นรับสมัครเพียงห้าสิบคนเท่านั้น"

 

เจียงอี้พยักหน้า “แล้วจำนวนผู้เข้าร่วมเฉลี่ยสำหรับการชำระโลหิตนี้มีเท่าใดหรือ?”

 

จีทิงยวี่หยุดครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “มันยากที่จะกล่าวได้ บางครั้งมากกว่าหนึ่งพันคน บางครั้งก็ไม่กี่ร้อยคน ในปีนี้ไม่ถือว่ามากหรือน้อยเกินไป ซึ่งมีประมาณเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยคน”

 

“เยอะจัง การชำระโลหิตนี้คงจะต้องเข้มข้นมาก” เจียงอี้ตกใจ สำหรับผู้เข้าร่วมแปดร้อยคนเพื่อแข่งขันห้าสิบตำแหน่ง ตอนแรกเขาคิดว่าความแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถทำเป็นเรื่องเล่นๆในการชำระโลหิตนี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องปฏิบัติอย่างจริงจังเสียแล้ว

 

“ถูกต้อง!”

 

จีทิงยวี่กล่าว “จริงๆข้ามาถึงที่นี่ก่อนเจ้าสิบวันแล้ว ข้าพบว่ากลุ่มของเจ้าโหดร้ายกว่าของข้ามาก ความยากลำบากสูงกว่าของข้าเล็กน้อย นอกจากนี้บางคนยังบรรลุขอบเขตจื่อฝู่แล้วด้วย และนายน้อยกับคุณหนูกว่าสิบคนก็มีสถานะที่มีผู้คนนับหน้าถือตา บางคนเป็นคนตระกูลเดียวกับเจ้าหน้าที่ที่รับศิษย์ในสำนัก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงขอแนะนำให้เจ้าอย่าอยู่ในสิบตำแหน่งแรก เพียงให้แน่ใจว่าเจ้าสามารถเข้าสู่ห้าสิบอันดับแรกได้ก็พอ”

 

เจียงอี้ถามในขณะที่สับสนว่า “ทำไมถึงต้องห้ามอยู่ในสิบอันดับแรก? มันมีผลประโยชน์ใดงั้นหรือ?”

 

“เอ๊ะ ...”

 

จีทิงยวี่ผงะจากคำถามของเจียงอี้ เขาต้องการที่จะเข้าสำนักจิตอสูร แล้วทำไมเขาถึงไม่รวบรวมข้อมูลอันใดเลย? เขามั่นใจในตัวเองหรือเป็นคนโง่เง่าจริงๆนะ?

 

นางถอนหายใจและอธิบายด้วยความอดทนว่า “มีผลประโยชน์เอื้อหนุนกันบางอย่างแน่อยู่แล้ว เจ้าลองคิดดูว่าทำไมมีคนมากมายพยายามเข้าสำนักจิตอสูร ที่นั่นไม่ได้มีแค่ผู้ให้คำปรึกษาพิเศษหรือวิธีการลับที่จะทำให้สัตว์วิญญาณเชื่องได้ พวกเขายังมีด้านลึกลับอื่นๆเช่นกัน พวกเขามีห้องบ่มเพาะพลังที่มีความเข้มข้นของพลังงานเป็นสองเท่าของโถงวรยุทธหรือหอสมุดที่มีทักษะการต่อสู้นับหมื่นเล่ม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อนุญาตให้เหล่าศิษย์รู้สึกถึงความหมายพิเศษหรือเม็ดยาต่างๆที่มาจากห้องปรุงยา”

 

“เพื่อที่จะใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ เจ้าจะต้องจ่ายตำลึงทองที่มากกว่าปกติหรือใช้คะแนนของเจ้าเพื่อแลกมันและงานชำระโลหิตนี้ เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการรับคะแนนสำหรับกลุ่มพวกเจ้า หากเจ้าได้ที่หนึ่ง เจ้าจะได้รับหนึ่งพันคะแนน และนอกจากนั้น เจ้ายังสามารถแลกทักษะการต่อสู้ระดับพิภพได้เลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย!”

 

“นั่นคือเหตุผลสินะ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณแม่นางจีสำหรับคำแนะนำ!” เจียงอี้ได้รับความรู้และเก็บข้อมูลทั้งหมดนี้ไว้ในใจ เขาโค้งคำนับด้วยหมัดที่บรรจุด้วยความขอบคุณต่อจีทิงยวี่

 

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าควรกลับแล้วล่ะ”

 

จีทิงยวี่บรรลุเป้าหมายของนางไปแล้ว ขณะที่นางเดินออกไป นางก็หันกลับมาและยิ้ม “เจียงอี้ เจ้าเพียงทำให้ดีที่สุด! ทิงยวี่หวังว่าเราจะได้เจอกันที่สำนักนะ”

 

เจียงอี้ส่งจีทิงยวี่กลับไป ในขณะที่เจียงหยุนไฮ่ก็ก้าวออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ เขายิ้มและถามเจียงอี้ว่า “ใต้เท้าน้อย ทำไมท่านไม่ไปส่งนางกลับ หากท่านประพฤติตัวไม่สุภาพมันคงจะยากที่จะได้หัวใจของหญิงสาวนะ”

 

“เอ่อ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น!”

 

การแสดงออกของเจียงอี้ดูเคอะเขินแล้วลูบจมูก “ท่านปู่ ข้าไม่เคยมีความตั้งใจที่จะเกี้ยวแม่นางจี ข้าไม่ชอบผู้หญิงที่ฉลาดเช่นนี้”

 

“จริง! แม่นางตระกูลจีนี้ยอดเยี่ยมในทุกสิ่ง เว้นเสียแต่ว่านางฉลาดและทะเยอทะยานเกินไป เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะกับท่านจริงๆ”

 

เจียงหยุนไฮ่ผงกหัวหลังจากคิดบางอย่าง เขาบอกเจียงอี้ว่า “เอาล่ะ ใต้เท้าน้อย ข้าอยากจะอธิบายบางสิ่งกับท่าน แต่แม่นางตระกูลจีได้บอกไปหมดแล้ว เช่นนั้นแล้วท่านควรเข้าสู่ความสันโดษและพยายามบรรลุไปสู่ขั้นที่ห้าของขอบเขตฉูติ่งภายในห้าวันนี้...และหากท่านไม่สามารถทำได้ ก็อย่าหักโหมกับตัวเอง โปรดจำไว้ว่าท่านต้องออกจากความสันโดษในอีกห้าวัน”

 

“เข้าใจแล้วท่านปู่!”

 

เจียงอี้พยักหน้าและกลับไปที่ห้องของเขาทันทีเพื่อฝึกฝน เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่ชอบเวลาที่ต้องฝึกฝน แต่ในตอนนี้เขามีความสุขที่อธิบายไม่ได้เมื่อเขาเห็นความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

...

 

ณ วันที่สำนักจิตอสูรใกล้วันงาน เมืองจิตอสูรเริ่มคึกคักด้วยความตื่นเต้น โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ในเมืองก็เต็มไปด้วยลูกค้า แม้กระทั่งที่อยู่อาศัยของพลเรือนบางส่วนก็ถูกเช่า ถนนต่างๆเต็มไปด้วยผู้คนและมันก็วุ่นวายและแออัด

 

ห้าวันผ่านไปในเวลาอันสั้น มีผู้คนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่ด้านนอกจัตุรัสของพื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองจิตอสูร เพียงแวบเดียวเราสามารถเห็นผู้คนหลายพันคนและตัวแทนหลายสิบคนจากสำนักจิตอสูรที่กำลังรอคอยเวลาก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการชำระโลหิตอย่างเป็นทางการ

 

ในบรรดาคนหลายพันคนมีเพียงประมาณหนึ่งพันคนเท่านั้นที่จะมีส่วนร่วมในการชำระโลหิต พวกเขาถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม..ด้านหนึ่งคือจีทิงยวี่และผู้ที่ได้ตำแหน่งคนอื่นๆ ในอีกด้านหนึ่งมีบุคคลอย่างน้อยแปดร้อยคนที่เห็นได้ชัดที่นี่เพื่อเข้าร่วมการชำระโลหิตครั้งนี้เหมือนเจียงอี้

 

จีทิงยวี่ยังคงสวมชุดสีเหลืองที่สวยงามเหมือนกุหลาบเหลืองที่เบ่งบาน นางถูกห้อมล้อมไปด้วยเจียงเฮิ่นซุ่ย หลิ่วเหอและนายน้อยที่แต่งกายอย่างงดงามนับไม่ถ้วน สตรีที่สง่างามมักจะเป็นที่ดึงดูดสายตาต่อบุรุษเสมอ

 

“เอ๊ะ?”

 

แต่ความคิดในปัจจุบันของนางไม่ได้อยู่กับบุรุษเหล่านี้เลย นางสังเกตนายน้อยและคุณหนูอีกฝั่งเหล่านั้นและมองว่าใครมีความสามารถหลบซ่อนเหมือนเหมือนมังกรและนกฟีนิกซ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ ดวงตาของนางกวาดไปรอบๆและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การชำระโลหิตกำลังจะเริ่มขึ้น และเจียงอี้ยังคงไม่ปรากฏหรือ?

 

“เอ?”

 

ในบรรดาตัวแทน มีหญิงงามที่แต่งกายสีขาวก็แสร้งมองด้วยสายตาเย็นชาและนางก็ตระหนักได้เช่นกันว่าเจียงอี้ยังไม่ปรากฏตัว ดวงตาของนางผิดหวังเล็กน้อยและไม่พอใจ นางใจดีพอที่จะเสนอโอกาสแต่เจียงอี้ไม่ได้แยแสมัน

 

“ข้ารู้ว่าคนส่วนใหญ่รู้กฎอยู่แล้ว แต่ข้าจะประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”

 

เมื่อใกล้ถึงเวลา ตัวแทนที่สูงและแข็งแรงสวมชุดเกราะสีดำเดินออกมา ดวงตาของเขาระงับเสียงซุบซิบทั้งหมดขณะที่เขาชี้ไปที่ด้านหน้าแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเห็นเขาลูกนั้นหรือไม่? นั่นคือหุบเขาจิตอสูรและสำนักเราตั้งอยู่บนยอดเขา สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือฆ่าสัตว์อสูร สัตว์อสูรตามทางทุกตนมีป้ายสีที่แตกต่างกัน ผู้ที่ได้ตำแหน่งศิษย์กลุ่มแรกจะต้องได้รับป้ายสีต่างกันเก้าสีและไปถึงทางเข้าของสำนักก่อนที่จะหมดเวลาทำการชำระโลหิตอย่างเป็นทางการ”

 

“สำหรับกลุ่มที่สอง ผู้ที่ลงทะเบียนจะต้องได้รับป้ายสีสามเท่า และแน่นอน ผู้ที่ได้รับป้ายมากกว่าก็จะได้รับรางวัลพิเศษ!”

 

ผู้เข้าร่วมทั้งหมดพยักหน้าแม้ว่าพวกเขารู้กฎแล้ว เมื่อตัวแทนมอง เขาก็ยกมือขึ้นแล้วตะโกนว่า “ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคนอย่างจริงจัง การชำระโลหิตนี้เป็นเพียงกิจกรรมการฝึกอบรม หากพวกเจ้าไม่เก่งพอหรือไม่มีความมั่นใจ อย่าบังคับหรือฝืนตัวเอง ทางสำนักจะไม่รับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมที่ได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยสัตว์อสูร และแน่นอน! จะไม่มีใครถูกฆ่าโดยเจตนาในระหว่างการชำระโลหิตนี้ ถ้าพวกเขาถูกพบ พวกเขาจะไม่ได้รับการคัดเลือก เอาล่ะ ...การชำระโลหิตกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว กลุ่มแรกจะไปยังเนินเขาด้านตะวันออก กลุ่มที่สองจะไปยังเนินเขาด้านตะวันตก”

 

“ฟี้ววว!”

 

ในขณะนั้น ก็มีร่างหนึ่งลอยมาจากทางกำแพงเมือง เหมือนกับว่า...ร่างกายของเขาพุ่งมาด้วยแรงมหาศาลจากในเมือง

 

“ปัง!”

 

บุคคลนั้นดิ่งลงที่พื้นดินและกลิ้งลงไปหลายรอบเพื่อกระจายแรงโดยไม่ได้รับการบาดเจ็บใดๆ เขายืนขึ้นและหยิบป้ายออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเคอะเขิน “ข้าขออภัย ข้านอนเลยเวลาไป ข้าต้องขออภัยตัวแทนทุกท่านด้วย”

 

“...”

 

ทุกคนมองหน้ากัน นายน้อยผู้นี้ไม่ได้ทำเกินไป ใช่ไหม? เขากล้าที่จะมาสายสำหรับเหตุการณ์ที่สำคัญเช่นการชำระเลือดได้เช่นไร? ยิ่งไปกว่านั้นเขามาถึงในลักษณะที่ทุกคนต้องจับตามองเนี่ยนะ

 

ขั้นที่ห้าของขอบเขตฉูติ่ง!

 

ดวงตาของแม่นางซูและจีทิงยวี่ส่องสว่าง พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าเจียงอี้ไม่ได้มาสายเพราะเขานอนเลยเวลา แต่เป็นเพราะเขาเพิ่งบรรลุไปอีกขั้นของขอบเขตฉูติ่ง ที่เขาบินมาเช่นนี้เพราะเจียงหยุนไฮ่กลัวเจียงอี้จะมาไม่ทันเวลาและได้เหวี่ยงเขาออกมาจากเมืองโดยตรง

 

เจียงอี้!

 

ดวงตาทั้งสี่คู่จากเจียงเฮิ่นซุ่ย หลิ่วเหอ เฮ่อเตา และเหลิ่งเชี่ยนเชี่ยนหดลง

 

เด็กอับโชคผู้นั้นอยู่ที่นี่? ดูเหมือนว่าในอนาคตของสำนักจิตอสูรคงจะไม่สงบสุขเสียแล้ว

รีวิวผู้อ่าน