สามวันต่อมา
รอส ยังคงฝึก ฮาคิสังเกตุ ในห้องฝึกฝน ตอนนี้ฮาคิสังเกตุของเขานั้นดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็อยู่ไม่ไกลจากการควบคุมพลังนี้ให้สมบูรณ์
และในขณะที่ รอส ยังคงออกฝึกฝนพยายามที่จะก้าวข้ามเส้นกั้นสุดท้ายนี้ โรบิน ก็มาที่ห้องฝึกและบอกเขาว่าเรือลำใหม่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“โอ้ สร้างเสร็จแล้ว”
รอส คว้าผ้าขนหนูเช็ดคอและหน้าผาก จากนั้นก็เอ่ยกับ โรบิน “ ไปดูกันเถอะ”
ทั้งสองออกจากชายฝั่งทางเหนือและเดินไปตามถนนที่คุ้นเคยของเมืองแห่งช่างต่อเรือ และในไม่ช้าก็มาถึงสถานที่ต่อเรือลำใหม่ ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตก
ก่อนที่เขาจะมาถึงเขาเห็นว่ามีเศษขยะและเศษไม้ทุกชนิดเกลื่อนกลาดอยู่ทุกที่
เห็นได้ชัดว่าในการต่อเรือด้วยความเร็วสูงสุดภายในเจ็ดวัน ทำให้พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะมาสนใจพวกมัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องแข่งขันกับเวลา
หลังจากเดินผ่านเศษซากไม้ก็มาถึงเรือลำใหม่ที่ต่อเสร็จสิ้น
เรือมีโทนสีเข้มและตัวเรือนั้นเพรียว เห็นได้ชัดว่าการออกแบบได้มุ่งเน้นไปในด้านความเร็ว
"โอ้ มาได้จังหวะพอดี"
ทางด้านขวาของเรือลำใหม่ ฟิทซ์ กำลังทำการวัดขั้นสุดท้าย เมื่อสังเกตุการมาถึงของ รอส และ โรบิน เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขาแล้วเดินเข้าหา รอส และ โรบิน จากนั้นก็ผายมือแนะนำไปที่เรือลำใหม่ :
“เรือโกส ชาโดว์!”
ในฐานะที่เป็นช่างต่อเรือที่ออกแบบเรือทั้งลำและรับผิดชอบต่อการก่อสร้าง เขาจึงมีคุณสมบัติเพียงพอในการตั้งชื่อเรือที่เขาสร้างขึ้น
เขานำพา รอส และ โรบิน ไปที่ด้านข้างของเรือชี้ไปที่การออกแบบตัวเรือและตัวอาคารบนเรือ:“ ฉันลดขนาดของกระดานฟรีบอร์ดและวางเครื่องปั่นแนวตั้ง ตัวถังทำจากไม้เงินแข็งแรงทนทานกว่าเหล็กธรรมดา”
“แม้ไม่อาจบอกว่ามันสามารถไปได้ทุกที่ในทะเล แต่อย่างน้อย ความเร็วของเรือลำนี้ก็ไม่มีเรือลำไหนที่จะเร็วไปกว่ามันได้อีกแล้ว!”
ฟิทซ์ ตบไปที่หน้าอกของเขาอย่างภาคภูมิใจ นี่คือเรือที่เขาออกแบบมาเป็นเวลานาน จนในที่สุดเขาก็สร้างมันได้สำเร็จด้วยเม็ดเงินที่มากพอและกระดูกงูที่สมบูรณ์แบบ
ยกเว้นเรือที่มีพลังพิเศษเท่านั้น ส่วนเรือใบทั่วๆไป ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับ เรือโกส ชาโดว์ ได้
“โกส ชาโดว์”
โรบิน เงยหน้าขึ้นมองเรือลำใหม่ ดวงตาของเธอเป็นประกายแวววาว
รอส ที่ยืนอยู่ข้างๆเธอก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาไม่สนใจเรื่องอาวุธ เขาต้องการเรือที่เน้นความเร็วและเสริมด้วยความแข็งแกร่งและความทนทาน
เรือที่แล่นเร็วที่สุดในโลกถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ครอบครองเอาไว้
รอส หัวเราะ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ
ฟิทซ์ โบกมือแล้วพูดว่า“ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ หากเธอไม่มีต้นไม้แห่งสมบัติอดัมมา เรือลำนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้นเพราะไม้ชนิดอื่นมันไม่สามารถนำมาสร้างตามแบบแปลนของฉัน ซึ่งไม้ที่ฉันต้องการมันจำเป็นที่จะต้องมีความทนทานต่อความเร็วที่รวดเร็วมากอย่างต้นไม้แห่งสมบัติอดัม แล้วยังมีเงินอีกหลายสิบล้านเบรี ซึ่งฉันไม่สามารถหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นเพื่อมาสร้างเรือได้”
"และยังมี..…"
เมื่อ ฟิทซ์ เอ่ยถึงตอนนี้ก็มอง โรบิน แล้วหยุดไว้ชั่วคราวจากนั้นก็เอ่ยต่อว่า:“ ฉันหวังว่าเธอจะปกป้อง โรบิน จากพวกรัฐบาลโลกและมารีนฟอร์ด!”
รอส มองไปที่ ผู้อาวุโสฟิทซ์ ดวงตาของเขาเป็นประกายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง:“ โรบิน เป็นลูกเรือที่อยู่ในความดูแลของฉันและฉันจะปกป้องสมาชิกลูกเรือของฉันทุกคน”
ฟิทซ์ จ้องมอง รอส อยู่ซักพัก ด้วยประสบการณ์ชีวิตของเขา เขาไม่สามารถเห็นสัญญาณใดๆของ รอส ว่าเขาโกหก เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ
"ดี ดี! ดูเหมือนว่าฉันไม่จำเป็นต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้วสินะ? ไปกันเถอะ ไปดูมัน!”
ฟิทซ์ ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือพร้อมกับ รอส
เนื่องจากเรือทั้งลำไม่มีโครงสร้างที่มากจนเกินไป ชั้นบนของเรือจึงราบเรียบเกือบขนานกับระดับน้ำทะเล
“ ดาดฟ้านั้นเอาไว้ใช้ในงานเต้นรำ”
หลังจากที่ ฟิทซ์ หัวเราะ เขาก็พา รอสและโรบิน เข้ามาในห้อง
อาคารสูงระฟ้าเป็นของตัวอาคารหลักห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังสามารถเปิดเพดานด้านบนเพื่อมองดูดวงดาวยามค่ำคืน มีห้องโถงเหมือนในศูนย์และมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเช่น โซฟาเคาน์เตอร์ และยังมีห้องประชุม
นอกจากนี้ยังมีห้องฝึกฝนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากไม้โอ๊คทองคำมันมีความแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าและมีความเหนียวพิเศษยิ่งกว่าเงินซึ่งสามารถทนต่อแรงกดดันและน้ำหนักที่มากได้
อีกทั้งยังมีห้องหนังสือที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี แม้ว่าจะมีหนังสือไม่มากนัก แต่ โรบิน ยังคงมีรอยยิ้มที่สดใส
สำหรับชั้นล่างของเรือมันเป็นห้องเก็บสัมภาระธรรมดาเอาไว้เก็บของทุกชนิด
มีช่องปืนจำนวนมากบนตัวถังเรือ แต่มีปืนใหญ่แค่เพียงสองกระบอกและปืนเล็กอีกแปดกระบอกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า รอส ไม่ต้องการพึ่งพาจำนวนปืนมากจนเกินไป
หลังจากดูห้องทุกห้องและตัวเรือแล้ว ทั้งสามก็กลับไปที่บนดาดฟ้าของเรือ รอส มองดูเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา แสดงความพึงพอใจบนใบหน้าของเขา
“เกือบจะสมบูรณ์แบบ”
“ ฮ่าฮ่าฮ่า แม้ว่าฉันจะไม่ได้สร้างเรือมานานหลายปี แต่ครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่ฉันภาคภูมิใจ” ฟิทซ์ หัวเราะออกหลังจากได้รับคำชื่นชมของ รอส
รอส หันไปมอง ฟิทซ์ แล้วพูดว่า:“ นี่เป็นเรือที่สมบูรณ์แบบ และมันจะยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีกถ้าคุณเดินทางไปพร้อมกับมัน”
ดูเหมือนว่า ฟิทซ์ พอจะเดาได้ว่า รอส ต้องการจะสื่อถึงอะไร เขาดึงขวดไวน์ออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วจิบไวน์ จากนั้นเดินไปที่ด้านข้างของเรือมองไปยังท้องทะเล
“ ฉันมันแก่แล้ว ในอดีตเมื่อตอนยังเด็กฉันเคยขึ้นเรือโจรสลัด เคยมีความฝันเหมือนกับคนหนุ่มๆ แต่ว่าในตอนนี้ฉันแก่ตัวลงแล้ว อะไร อะไร ก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทะเลมันเป็นเวทีของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้เขาก็หันหน้ากลับมาพร้อมกับดวงตาสีขุ่นที่เป็นประกาย: "ฉันแค่หวังว่าเธอจะใช้เรือลำนี้และนำพาลูกของโอลิเวีย หนีจากการตามล่าของรัฐบาลโลก"
รอส ไม่แปลกใจกับคำพูดของ ฟิทซ์
เรือของผมแดง แซงคูส ได้รับการออกแบบและสร้างโดยเขา แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะขึ้นเรือลำนั้น และเหตุผลเดียวที่ ฟิทซ์ ต่อเรือให้กับเขานั่นก็คือ โรบิน
“ช่างน่าเสียดาย”.
รอส ส่ายหน้าและล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับ ฟิทซ์ มาเป็นลูกเรือ
เมื่อ ฟิทซ์ มอง รอส และ โรบิน เขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับก้าวเดินลงจากเรืออย่างช้าๆ
รอส มองทะเลในระยะไกล ดวงตาของเขากระพริบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปมอง โรบิน แล้วพูดว่า:“ในเมื่อเรามีเรือลำใหม่แล้วก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาลูกเรือคนใหม่”
“ จากนั้นฉันต้องการข้อมูลสองชิ้น หนึ่งคือกลุ่มโจรสลัดวิญญาณคู่ ที่มีค่าหัว 59 ล้านเบรี และอีกหนึ่ง…คือที่อยู่ของตุลาการทมิฬ ราฟิต”
นี่เป็นภารกิจสุดท้ายที่ รอส จะทำก่อนออกจาก เวสต์บลู แล้วไปที่ แกรนด์ไลน์
กลุ่มโจรสลัดวิญญาณคู่เป็นเหยื่อที่ รอส ได้เลือกมานาน สำหรับตุลาการทมิฬ ราฟิต ในหนังสือต้นฉบับ เขาเป็นลูกเรือของกลุ่มโจรสลัดหนวดดำ และยังเป็นต้นหนเรืออีกด้วย
เนื่องจากท้องฟ้าของโลกนี้มันผิดเพี้ยนไปแล้ว เขาจะดึงประเภทของ 'ตัวตลกชั่วร้าย' เข้าสู่กลุ่ม สำหรับโลกนี้มันก็แค่เติมเชื้อไฟเพิ่มเข้าไปก็เท่านั้นเอง
ยิ่งกว่านั้น รอส ต้องการต้นหนเรืออยู่เสมอ เขาไม่ต้องการทำงานในฐานะกัปตันและต้นหนเรือไปพร้อมๆกัน ทุกวันนี้นอกเหนือจากการฝึกฝนเขาต้องเสียเวลากับการสำรวจสภาพอากาศและวาดแผนที่ทางทะเลอีก
นามิ ตอนนี้ยังเด็กเกินไปและที่นี่ก็ยังห่างไกลจากอีสต์บลู และ ราฟิต ผู้นำกลุ่มโจรสลัดก็ควรจะอยู่ในเวสต์บลู เป็นตัวเลือกที่ดีแน่นอน คำถามเดียวก็คือจะทำให้อีกฝ่ายยอมเข้าร่วมกลุ่มได้อย่างไร
ณ จุดนี้ รอส จะไม่รีบเร่งที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน้อยๆก็ควรจะเห็นคนๆนั้นก่อน