บทที่ 230 : กลับบ้านเกิด!
หลังจากที่องค์ราชามรรตัยตกตายไป...ในที่สุดเรื่องราวความขัดแย้งภายในตระกูลราชวงศ์ก็ สงบสุขและเข้าที่เข้าทางได้เสียที
ส่วนเรื่องราวที่เหลือ ก็ไม่มีอะไรที่ต้วนหลิงเทียนต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
และเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้มันน่าตื่นตระหนกและน่าละอายมากเกินไป องค์ราชาจึงเลือกที่จะปิดข่าวเอาไว้ ห้ามไม่ให้ผู้ใดแพร่งพรายออกไป
เมืองหลวงจึงหวนคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ...
และเมื่อกลับจากวังหลวงในวันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้ส่งมอบ องครักษ์เสื้อแพรทั้ง 12 คนกลับคืนสู่จวนเจ้าพระยา
จางเฉวียนและจ้าวกังที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาเป็นระยะเวลานานแล้วก็นับรวมด้วยเช่นกัน นี่เพราะต้วนหลิงเทียนได้สอนทุกอย่างเท่าที่เขาจะสอนได้แก่พวกมันจนหมดสิ้น ...กล่าวได้ว่าตัวเขาได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อพระยานี่เหวี่ยในวันนั้นเรียบร้อยแล้ว
อีกครึ่งเดือนต่อมา องค์ราชาก็เรียกต้วนหลิงเทียนเข้าพบอีกครั้ง
เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นตั๋วเงินเป็นตั้ง สองตาของเขาก็เบิกกว้างทอประกายวิบวับออกมา
ตั๋วเงินเหล่านี้แต่ละใบมีมูลค่า 10,000 เหรียญทอง!
มีทั้งสิ้น 1,000 ใบ!
ทั้งหมด 10,000,000 เหรียญทอง!
ต้วนหลิงเทียนกวาดเอาตั๋วเงินทั้งหมดใส่แหวนมิติโดยไม่รีรอ เขาหันไปกล่าวกับองค์ราชาพร้อมรอยยิ้ม "ขอบคุณฝ่าบาท"
"ผู้บัญชาการต้วน ข้าได้ยินมาจากเจ้าพระยาว่า เจ้าได้ส่งมอบองครักษ์เสื้อแพรทั้ง 12คน คืนแก่จวนเจ้าพระยา แล้วเช่นนี้เจ้า... ?" องค์ราชามองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาสงสัย เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนทำแบบนี้ทำไม
"ข้าขอบอกฝ่าบาทตามตรง ที่ข้าขอจัดตั้งกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรวันนั้น เป็นเพราะข้ามีเจตนาที่จะละเล่นให้สนุกสนานสักครั้งเท่านั้น ...และตอนนี้ตัวข้าก็เล่นมากพอและสนุกสนานไปไม่น้อยแล้ว ฝ่าบาทโปรดสลายกองกำลังนี้ไปด้วย ...นอกเหนือจากนั้น อันที่จริงข้าได้จงใจถ่วงเวลาในการรักษา และหลอมปรุงยาถอนพิษที่ไม่สมบูรณ์ให้ท่าน...ด้วยความสามารถของข้าแล้ว ที่จริงข้าสามารถปรุงยาถอนพิษให้ท่านได้ทันที ตั้งแต่วันแรก และนี่เป็นโอสถถอนพิษที่แท้จริง" กล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็ยื่นโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์ระดับ 9 ที่สมบูรณ์ให้องค์ราชาทันที
หลังจากที่องค์ราชารับไปก็กินมันลงไปทันที และเขาก็พบว่า เพียงเสี้ยวพริบตาพิษร้ายทั้งหมดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ได้ถูกขจัดออกไปจนหมดจด ใบหน้าขององค์ราชาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
องค์ราชามองไปยังต้วนหลิงเทียน "ผู้บัญชาการต้วน ดูเหมือนเรื่องที่กล่าวว่าเจ้าถ่วงเวลา จะไม่ได้ล้อเล่นสินะ... "
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย
"แล้วทำไมตอนนี้เจ้าไม่คิดลากถ่วงแล้วเล่า?" องค์ราชากล่าวถามออกมา
"ฝ่าบาท นี่เพราะข้าไม่มีความจำเป็นที่ต้องลากถ่วงออกไปอีกแล้ว ... ข้าตั้งใจที่จะเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่อง และมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรพนาครามเร็วๆนี้" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ประกายตาของเขาเรื่องวูบออกมาเผยให้เห็นถึงความมุ่งมัน
"อาณาจักรพนาคราม?" องค์ราชาตกใจไปเล็กน้อยก่อนที่จะคืนสู่ความสงบ "ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของผู้บัญชาการต้วน อาณาจักรนภาล่องแห่งนี้นับว่าไม่อาจรั้งเจ้าไว้ได้อย่างแท้จริง ... อย่างไรก็ตามข้าคิดว่าจะเก็บรักษากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรนี้เอาไว้ หากวันใดที่ผู้บัญชาการต้วนเหนื่อยหน่ายกับโลกภายนอก อาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ และวันใดที่เจ้าหวนคืนกลับมา วันนั้นไม่ว่าองค์ราชาจักเป็นผู้ใด แต่เจ้าจักเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเพียงคนเดียวในอาณาจักรนภาล่อง นี่คือคำมั่นที่ข้าให้ต่อเจ้า! "
"ขอบคุณท่านมาก ฝ่าบาท" ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณออกมา
"นอกจากนั้นหากเจ้าต้องการอะไร ก่อนที่จะจากไป โปรดบอกข้ามาได้เลย ข้าจะจัดการตอบสนองทุกความต้องการของเจ้า" องค์ราชากล่าวตอบออกมา
ต้วนหลิงเทียนแสดงความขอบคุณอีกครั้ง
"เอาล่ะ" องค์ราชามองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย "ผู้บัญชาการต้วน ข้าใคร่รู้ว่าตัวท่านคิดอย่างไรกับปี้เหยา ธิดาของข้า?"
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวออกมา "องค์หญิงปี้เหยานับว่าเป็นสตรีเลอโฉม ที่งดงามปานนางฟ้านางสวรรค์จุติลงมาสู่แดนดินอย่างแท้จริง นางนับเป็นหนึ่งในสาวงามสะคราญโฉมหาผู้เทียบเทียมยากเท่าที่เคยพบเห็นมาคนหนึ่ง"
องค์ราชาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวถามต่อไปอีกว่า "เช่นนั้นหากข้าคิดจัดงานอภิเษกสมรสให้เจ้ากับปี้เหยา เจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่?"
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดเลยว่าองค์ราชาจะ กล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ “ฝ่าบาท มีบางเรื่องที่ท่านยังไม่รู้ แต่ตัวข้านั้นมีภรรยาอยู่ที่บ้านแล้วถึง 2 คน ... สำหรับองค์หญิงปี้เหยานั้น ข้าหาได้คิดกับนางด้วยความรู้สึกเช่นนั้น”
"ข้าเข้าใจ" องค์ราชาพยักหน้าออกมา
ไม่นานหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนจากไป
ร่างที่งดงามเดินเข้ามาหาองค์ราชา ก่อนจะกล่าวถามออกมาด้วยสีหน้าคาดหวัง "เสด็จพ่อ ... เขากล่าวตอบเช่นไรหรือเจ้าคะ?"
องค์ราชาถอนหายใจ "ปี้เหยา ...เขากล่าวว่า เขาหาได้มีความรู้สึกกับเจ้าเช่นนั้น สำหรับเจ้าเขาคิดเพียงเป็นสหายที่ดีเท่านั้น"
"เขา ... กล่าวเช่นนี้จริงหรือ?"ร่างที่งดงามบอบบางสั่นสะท้านไปเล็กน้อย น้ำเสียงยามกล่าวถามเต็มไปด้วยความขื่นขม
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนออกจากวังหลวง เข้าก็ไปซื้ออาชาเหงื่อโลหิต 5 ตัว
เมื่อถึงยามเที่ยงวัน ต้วนหลิงเทียน ลี่หลัว ลี่เฟย เค่อเอ๋อ และฉงเฉวียน ก็ควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่เมืองผานางแอ่นเหิน
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนคิดที่จะออกเดินทางจากอาณาจักรนภาล่องเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรพนาคราม และตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลับมาอีก
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงคิดที่จะย้อนกลับไปยังตระกูลลี่แห่งเมืองวายุโปรย ที่อาจถือได้ว่าเป็นบ้านเกิดของเขา
หลังจากนั้นเขาก็จะแวะไปยังตระกูลลี่แห่งเมืองออโรร่า เพื่อไปเยี่ยมปู่ของลี่เฟย
อาชาเหงื่อโลหิตนั้นใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น สำหรับระยะทางที่อาชาธรรมดาสามารถเดินทางได้ในครึ่งปี
หลังจากผ่านไป 2 เดือนต้วนหลิงเทียนและครอบครัวก็ควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตอยู่บนถนนเลี่ยงเมืองออโรร่า โดยไม่ได้เข้าเมืองออโรร่าแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองวายุโปรยเป็นลำดับแรก
นี่เพราะเขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่เมืองวายุโปรยนาน เพียงแค่ค้างคืนเดียวเท่านั้น เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พวกเขากลับมาถึงเมืองออโรร่าพรุ่งนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ลี่เฟยได้มาที่เมืองวายุโปรยกับต้วนหลิงเทียน และภายในใจของลี่เฟยยามนี้ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้ และอยากไปเห็นสถานที่ๆต้วนหลิงเทียนได้เติบโตขึ้นมา
...
เมืองวายุโปรยก็ยังคงเป็นเมืองวายุโปรยเหมือนครั้งวันวาน
กลุ่มของต้วนหลิงเทียนที่ควบขี่อาชาเหงื่อโลหิตถึง 5 ตัวนั้น ดึงดูดความสนใจของทุกๆคน ยามที่เขาผ่านทาง
นี่เพราะ อาชาเหงื่อโลหิต 5 ตัวมันน่าตกตะลึงเกินไป!
อาชาเหงื่อโลหิต 5 ตัวมีมูลค่าสูงถึง 50,000 เหรียญทอง หรือ 5,000,000 เหรียญเงิน...
จำนวนเงินเล็กน้อยเท่านี้แน่นอนว่าไม่มีค่าอะไรในสายตาของต้วนหลิงเทียน แต่สำหรับผู้คนในเมืองวายุโปรยแล้วมันมากมายมหาศาลนัก!
"เขาเป็นผู้ใดกัน?" ฝูงชนตามรายทางของเมืองวายุโปรยล้วนเต็มไปด้วยคำถามในใจ
"อ่า ...ดูเหมือนว่า นั่นจะเป็นต้วนหลิงทเทียน!"ไม่นานก็มีคนที่จดจำต้วนหลิงเทียนได้กล่าวออกมา แม้ยามนี้ความอ่อนวัยไร้เดียงสาบนใบหน้าของต้วนหลิงเทียนจะหายไปหมดแล้ว แต่ทว่า โครงหน้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากสักเท่าไร
"เป็นต้วนหลิงเทียนจริงๆ!"
"ข้าไม่คิดฝันเลย ว่าเขาจะย้อนกลับมาอีก!"
"ใช่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขามา เขาก็ทำลายตระกูลฟางจนย่อยยับใช่หรือไม่ หวังว่าคราวนี้ที่เขามาคงไม่ได้คิดทำลายตระกูลเฉิน เพื่อให้ตระกูลลี่ผูกขาดเมืองวายุโปรยหรอกนะ?"
"เรื่องนี้ ก็อาจเป็นได้!"
"ตระกูลลี่นับว่าโชคดีนัก ที่มีคนพิเศษอย่างต้วนหลิงเทียน กระทั่งได้ไปอยู่ตระกูลลี่แห่งเมืองออโรราเช่นนี้"
ชาวเมืองวายุโปรยบางส่วนจับกลุ่มคุยกัน
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้คิดเชื่อมโยง ต้วนหลิงเทียน คนนี้ กับต้วนหลิงเทียนที่มีชื่อเลื่องระบือ และเป็นหัวข้อสนทนาทั่วทั้งอาณาจักรเร็วๆนี้แม้แต่น้อย
เพราะพวกเขาล้วนคิดว่า แค่ต้วนหลิงเทียนได้ไปอยู่เมืองออโรร่าก็นับว่าไม่เลวแล้ว
และพวกเขาไม่เคยคิดเลยสักครั้ง ว่าต้วนหลิงเทียน แห่งเมืองหลวง จะเป็นต้วนหลิงเทียนคนเดียวกันกับที่เกิดในเมืองวายุโปรยแห่งนี้
มุมปากของต้วนหลิงเทียนกระตุกขึ้นมาโดยพลัน หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของผู้คน
ทำลายตระกูลเฉิน?
นี่เขาเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อนในสายตาผู้คนขนาดนั้นเลยหรือ?
เค่อเอ๋อและลี่เฟย กระตุ้นม้าให้วิ่งมาเคียงข้างต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะเริ่มหัวเราะออกมา
"ข้ากลับมาแล้ว!" ต้วนหลิงเทียนควบม้ามาหยุดหน้าประตูทางเข้าสู่ตระกูลลี่
คนของตระกูลลี่รีบออกมาต้อนรับทันที เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้ว ตั้งแต่ประมุข ลี่หนันเฟิง และเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย ไม่นานคนที่อยู่ในตระกูลลี่ล้วนมากันเกือบหมด
"ทักทายประมุข ผู้อาวุโส!" ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักทายลี่หนันเฟิงและเหล่าผู้อาวุโส
"ดีนักที่เจ้ากลับมา เข้ามาสิ" ลี่หนัเฟิงและผู้อาวุโสล้วนดีใจที่ต้วนหลิงเทียนกลับมา พวกเขารีบต้อนรับทันที
ด้วยเป็นการฉลองที่ต้วนหลิงเทียนกลับมา ทั้งตระกูลลี่ล้วนประดับประดาเทียนโคม จัดงานเลี้ยงฉลอง ราวกับเป็นวันขึ้นปีใหม่
"พี่อาวุโส 5 แล้วเจ้าลี่ซวนเล่า ไปไหนแล้ว?" หลังจากกลับมาถึงตั้งนานแล้วต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่เห็นลี่ซวน เขาจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
กล่าวกันตามเหตุผลแล้ว เจ้าไขมันน้อยควรจะเป็นคนแรกที่วิ่งออกมาต้อนรับเขาด้วยซ้ำ
"ลี่ซวนออกเดินทางไปยังเมืองออโรร่า ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ... อะไร นี่พวกเจ้าไม่ได้มาจากที่นั่นหรือ?"
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวและยิ้มออกมา "พวกเราพึ่งกลับมาจากเมืองหลวง เรามาที่เมืองวายุโปรยนี้ก่อน พรุ่งนี้พวกเราถึงจะกลับไปเมืองออโรร่า"
"หืม นี่เจ้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้เลยรึ?" ลี่ติงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
"ใช่" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าและยิ้มบางๆ "ในเมื่อท่านกล่าวถึงมันแล้ว ข้าเองก็คงต้องบอกว่า ครานี้ที่กลับมา ข้ากลับมาเพื่อกล่าวคำอำลาประมุข แล้วก็ผู้อาวุโสทุกท่าน"
"เจ้ามาเพื่อกล่าวคำอำลา?" ตอนนี้คนในตระกูลลี่ล้วนสับสนไม่น้อย
“ข้าตั้งใจจะออกเดินทาจากอาณาจักรนภาล่อง ไปยังอาณาจักรนภาคราม” ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา
อาณาจักรพนาคราม!
อะไรที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวครั้งนี้ นับว่าสร้างความตกตะลึงให้ผู้คนในตระกูลลี่ไม่น้อย
เด็กน้อยคนนี้พึ่งเปิดเผยพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ...ยามนี้ตัวเขากำลังจะเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่อง เพื่อไปเฉิดฉายอยู่บนเวทีที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างอาณาจักรพนาคราม?
"ต้วนหลิงเทียน ยามนี้ระดับบ่มเพาะของเจ้า ... "ลี่หนันเฟิงมองไปยังต้วนหลิงเทียน พร้อมกล่าวถามออกมาด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย
ต้วนหลิงเทียนยิ้มออกมา ก่อนที่จะค่อยๆกล่าว "ระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 3"
ทันใดนั้นผู้คนระดับสูงในตระกูลลี่ ล้วนตกตะลึง กว่าที่จะได้สติก็ใช้เวลาครู่หนึ่ง
"ข้า…." ลี่หนันเฟิงไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา เขาจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างลึกซึ้ง "ต้วนหลิงเทียน เจ้าคือ ต้วนหลิงเทียนแห่งเมืองหลวง ที่เป็นที่กล่าวขานและเรื่องระบือแห่งเมืองหลวงหรือไม่?"
"ใช่แล้ว เป็นข้าเอง" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ดั่งโยนหินลงสระ บังเกิดพันระลอก อะไรที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาครั้งนี้ ทำให้ผู้คนในตระกูลลี่บังเกิดความตื่นตระหนกครั้งยิ่งใหญ่แล้ว
ทายาทสายโลหิตหลักของตระกูลต้วน
อัจฉริยะอันดับ 1 ของสถาบันบ่มเพาะขุนพล
ผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร
แท้จริงแล้วกลับเป็นต้วนหลิงเทียน หนุ่มน้อยที่ออกจากเมืองวายุโปรยคนนี้งั้นหรือ?
พวกเขาทั้งหมดรู้สึกราวกับมีกองทัพม้าวิ่งแล่นในอก
"เช่นนั้นกล่าวได้ว่า บิดาของเจ้าคือ ต้วนหรูเฟิง?" ลี่หนันเฟิงถอนหายใจออกมา "เช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอันใด ที่ข้าไม่เคยได้ยินมารดาเจ้ากล่าวถึงบิดาเจ้าสักครั้ง ที่แท้บิดาของเจ้าเป็นถึงอัจฉริยะไร้ผู้ต้าน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่กล่าวขานกันทั่วทั้งอาณาจักรนภาล่อง เช่นเดียวกับเจ้าในตอนนี้ ... แต่อย่างไรก็ตามนับว่าเจ้ายิ่งใหญ่และหาได้ธรรมดายิ่งกว่าบิดาเสียอีก"
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะหยิบถุงเล็กๆออกจากแหวนมิติออกมายื่นส่งให้ลี่หนันเฟิง "ประมุข นี่เป็นเงิน 10,000,000 เหรียญเงิน ข้าขอมอบให้เป็นของขวัญอำลาต่อตระกูลลี่"
ทว่าลี่หนันเฟิงไม่ยอมรับเงินนี้ "ต้วนหลิงเทียนเจ้ากำลังจะเดินทางไปยังอาณาจักรพนาคราม แน่นอนว่าเจ้าเองคงได้เข้าร่วมนิกายใหญ่เป็นแน่ การแข่งขันในนิกายใหญ่เช่นนั้นสมควรหนักหนาไม่น้อย เจ้าเก็บเงินนี่เอาไว้ซื้อโอสถสมุนไพรต่างๆ เพื่อช่วยเหลือในการบ่มเพาะเถิด”
"ท่านคิดเช่นนั้นหรือ"
"ถูกแล้ว เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เองเถิด"
“ยามนี้ธุรกิจห้างร้านต่างๆในเมืองวายุโปรย ล้วนเป็นของพวกเราตระกูลลี่เสียส่วนใหญ่ เช่นนี้พวกเราจึงหาได้ขาดแคลนเงินนทองแม้แต่น้อย”
เหล่าอาวุโสอื่นๆก็กล่าวสนับสนุนออกมาด้วยเช่นกัน
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็จนปัญญา ได้แต่เก็บเงินกลับไป
เขาสัมผัสได้ว่าผู้คนทั้งหมดล้วนเป็นห่วงและหวังให้เขาอยู่ดีมีสุข เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอบอุ่นในใจไม่น้อย
คืนนั้นต้วนหลิงเทียนก็กลับไปพักที่บ้านเก่าของเขา
บ้านเก่าหลังนี้มีเพียง 3 ห้องนอนเท่านั้น มารดาของเขาก็อยู่ห้องเดิมของมารดา ส่วนตัวเขา ลี่เฟย และเค่อเอ๋อ มานอนที่ห้องของเค่อเอ๋อ
ส่วนทางด้านของฉงเฉวียนก็นอนที่ห้องเก่าของต้วนหลิงเทียน
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่