หากแต่การได้ล่วงรู้ว่าเว่ยชีชีคืออิสตรีกลับทำให้หลิวจ่งเทียนรู้สึกสบายใจ เช่นนั้นย่อมหมายความว่าแรงปรารถนา และเสียงเรียกร้องภายในใจเขาหาใช่เรื่องผิดประหลาดไม่ ข้อกังขาทั้งหลายภายในใจถูกปลดออก เพียงเขาจะจัดการกับสาวเจ้าปัญญาผู้นี้เช่นไร เมื่อยามนี้ นางกลับกลายเป็นชีเจียงจวินผู้องอาจของเขาไปเสียแล้ว ?
หลิวจ่งเทียนทอดถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินกลับมาคว้าเสื้อผ้า หันมามองเว่ยชีชี ต้องช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าพวกนี้กลับเข้าไป ความลับนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้มิได้ ! ความลับ จำต้องเป็นความลับต่อไป ! ทั้งจะให้ชีชีรู้ว่าเขารู้ความลับของนางก็มิได้เช่นกัน เพราะนั่นอาจสร้างความกระอักกระอ่วนใจให้แก่กัน และกันทั้งสองฝ่าย
หลิวจ่งเทียนกระชากผ้าคลุมเตียงออกให้พ้นทาง ครั้นเมื่อฝ่ามือนั้นจับต้องร่างของเว่ยชีชี แรงปรารถนาพลันพลุ่งพล่านก่อความรู้สึกอันร้อนรุ่มขึ้นบนร่างกายส่วนล่าง เสียงหัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ข้างกายเขามากมายไปด้วยบรรดาหญิงงาม ทว่าล้วนไม่ปรากฏนางใดที่จะมีผิวพรรณเนียนละเอียดนุ่มมือถึงเพียงนี้ สัมผัสอันนุ่มละไมปลุกปั่นใจให้หลงใหลอย่างที่เขาไม่เคยได้ประสบพบเจอมาก่อน
เว่ยชีชีผู้ยังหลับใหลไม่ได้สติ เหยียดแขนขึ้นโอบรัดรอบลำคอท่านอ๋องหนุ่ม ประดุจไฟฟ้าช็อตสะท้านไปทั่วร่าง เขารีบลุกพรวดพราดคว้าเสื้อผ้านางสวมใส่คืนกลับให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบสาวเท้ายาวก้าวฉับ ๆ ออกไปนอกกระโจมใหญ่
ครานี้เขาพลาดครั้งมหันต์ ความผิดพลาดของเขานับวันจะยิ่งบานปลายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขายกอิสตรีขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพ หากทว่าเว่ยชีชีผู้นี้คือสตรีผู้กำเนิดขึ้นเพื่อเป็นแม่ทัพหญิงโดยแท้ ช่วงการฝึกทัพภายใต้ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ สตรีผู้นี้สามารถนำทัพทหารเข้าออกทะเลทรายได้ตามใจปรารถนา ทั้งยังบุกตะลุยฝ่าเป็นแนวหน้าที่กล้าหาญไม่หวั่นเกรงฟ้าดิน
ท่านอ๋องหนุ่มหันรีหันขวางไปมาทั่วกระโจมใหญ่ มิรู้ว่าเขาจะเก็บงำความลับนี้ไปได้นานสักเพียงไร จะนานเพียงไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่าจะสามารถยื้อเหนี่ยวไว้ได้มากเพียงไร
ยังดีที่นางอัปลักษณ์ถึงขั้นที่อาจเรียกได้ว่าสยดสยองจนผู้คนคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นสตรีอย่างแน่แท้ แต่หากโชคร้ายมีผู้พบว่านางคือสตรีเพศ เช่นนั้นหนทางรอดของนางย่อมไม่เหลือ คงมีเพียงเขาผู้เป็นอ๋องต้องสมรสกับนาง ท่านอ๋องหนุ่มส่ายหัวรัวทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้น เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน ! สตรีหมดโลกไปแล้วกระนั้นหรือ ท่านอ๋องสามเยี่ยงเขาจึงต้องรับสตรีอัปลักษณ์เข้าวัง เช่นนั้นคงได้กลายเป็นตัวตลก เป็นที่ขบขันของผู้คนทั่วอาณาจักรเสียกระมัง เรื่องนี้ ปิดเป็นความลับให้มิดที่สุดย่อมดีเยี่ยมอย่างที่สุด สิ้นสุดศึกสงครามเมื่อไร นางต้องออกจากกองทัพในทันที
การซ้อมรบยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น นายทหารทุกหมู่เหล่าดูจะค่อย ๆ เริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ทีละน้อย ขณะที่หลิวจ่งเทียนเข้ามาเยี่ยมชมหมู่ทหารในลานฝึกจึงเห็นเว่ยชีชีกำลังอบรมเหล่าทหารอยู่ เขายั้งนายทหารผู้หนึ่งซึ่งลุกวิ่งผ่านหน้าเขาด้วยอาการรีบร้อน
“ชีเจียงจวินกำลังแนะสิ่งใดให้พวกเจ้ากระนั้นรึ ?”
“ท่านแม่ทัพกำลังสอนวิธีเอาตัวรอดในทะเลทราย ทั้งวิธีป้องกันตัวภายใต้สภาพอากาศที่ย่ำแย่ ท่านแม่ทัพมีความรู้มากจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ !” กล่าวจบ นายทหารผู้นั้นก็ดูเร่งร้อนรีบหลีกไป
“วิธีอาตัวรอดเมื่ออยู่กลางทะเลทรายกระนั้นหรือ ?” ภายในใจของท่านอ๋องหนุ่มรู้สึกกังขา ฝ่าเท้าของเขาก้าวตรงออกไป ก่อนจะไปยืนเบียดร่วมกับกลุ่มทหารเพื่อรับฟังคำชี้แจงจากท่านผู้นำชี
เสียงหญิงสาวดังก้องชัด “การจะเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในทะเลทรายนั้นจำต้องอาศัยปัจจัยสำคัญที่สอดประสานกันสามประการนั้นคือ อุณหภูมิโดยรอบ การเคลื่อนไหวร่างกาย และปริมาณน้ำดื่ม จงจำไว้ว่า อย่าได้พยายามคิดสู้กับธรรมชาติของทะเลทราย หากแต่พวกเจ้าต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเข้ากับธรรมชาติของมันให้ได้ แต่หากเมื่อไรที่พวกเจ้าโชคร้ายหลงทางกลางทะเลทราย จงจดจำสิ่งสำคัญไว้สองข้อ…”
ครั้นเมื่อชีชีเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลิวจ่งเทียน ปากของนางกลับนิ่งชะงักไปทันที อากัปกิริยาไม่เป็นดังปกติ
ท่านอ๋องหนุ่มจึงเป็นฝ่ายยกยิ้มให้กำลังใจ “ไม่เลวนี่ พูดต่อสิ”
เว่ยชีชีทำตาประหลับประเหลือกใส่อีกฝ่าย ก่อนจะหันมากล่าวต่ออย่างออกรส
“หากพวกเจ้าเกิดหลงทางอยู่กลางทะเลทราย จำไว้ว่า จงเลือกเดินทางเฉพาะยามราตรี เพื่อหาที่หยุดพักเท่านั้น ต้นกระบองเพชรซึ่งมีรูปทรงคล้ายขวดจะเก็บกักน้ำไว้ได้มากกว่ากระบองเพชรทรงอื่น จงบีบน้ำเก็บใส่ที่บรรจุให้เต็ม เจ้าต้องมองหาแหล่งน้ำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะแสวงหาได้ กลางทะเลทรายจะมีแสงหักเหซึ่งทำให้เกิดภาพลวงตา ซึ่งล้วนมิใช่ความจริง เช่นนั้นเจ้าต้องรอกระทั่งดวงอาทิตย์ฉายเอียงลับขอบฟ้าไปเสียก่อนจึงค่อยเริ่มออกเดินไปหาภาพที่เห็นอีกครั้ง หากภาพที่เห็นยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม นั่นแสดงว่าสิ่งที่เจ้าเห็นเป็นความจริง โดยปกติภาพลวงตาที่ปรากฏกลางทะเลทรายจะคงอยู่แค่เพียง ชั่วยามหรือกว่าชั่วยาม (2-3 ชั่วโมง) เท่านั้นก่อนจะเลือนหายไป…”
ทันทีที่เว่ยชีชีกล่าวจบ ทุกคนต่างก็พากันปรบมือแสดงความชื่นชม หญิงสาวโบกมือให้สัญญาณ “แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว ช่วงบ่ายเราจะเริ่มทำความคุ้นเคยกับทะเลทรายกัน”
“คล้ายเจ้าคิดจะพาทหารบุกเข้าทะเลทราย เพื่อโจมตีพวกซุยงหนูกระนั้น” หลิวจ่งเทียนกล่าวพลางมองนางด้วยสายตาชื่นชม ไยสาวน้อยอัปลักษณ์แสนลึกลับผู้นี้จึงมีความรู้มากถึงเพียงนี้ ?
“ถูกแล้ว ! ข้าจะโจมตีพวกมันในทะเลทราย น่าสนุกตื่นเต้นดีมิน้อยเหมือนกำลังได้ผจญภัยครั้งใหญ่ !”
“ดูท่าเจ้าจะชื่นชอบการเป็นแม่ทัพมิใช่น้อย” หลิวจ่งเทียนหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครั้งนี้เราจะซุ่มโจมตีพวกมันให้ราบในคราวเดียว เปิ่นหวางจะให้เจ้าอยู่ประจำการที่นี่ ไม่ต้องลุยเข้าไปในทะเลทราย !”
“เพราะเหตุใด ?” เธอเบิกตากว้าง ไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะเข้าทะเลทรายเท่าเธออีกแล้ว สิ่งที่เธอถ่ายทอดเรื่องความอยู่รอดในทะเลทรายล้วนมีประโยชน์จำต้องนำไปใช้ แล้วไยเธอจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ? อีกทั้งยามนี้เธอก็คือชีเจียงจวิน ซึ่งนับได้ว่าเป็นขุนทัพผู้หนึ่ง หลิวจ่งเทียน ! จะบอกว่าตำแหน่งที่มอบให้เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นกระนั้นรึ ?
“ที่ผ่านมาเปิ่นหวางพลาดไป เช่นนั้นครานี้เปิ่นหวางไม่อาจให้เจ้าร่วมทัพ สมรภูมิรบนั้นอันตรายเกินไป !”
หลิวจ่งเทียนหลบตาอีกฝ่าย พลางสืบเท้าก้าวยาวเลี่ยงไป ชีชีผู้ไม่สบอารมณ์เท่าไรนักตามหลังไปติด ๆ
“ใช่ ! อันตราย ทุกคนที่ร่วมทัพล้วนต้องเผชิญอันตราย ข้าหาได้กลัวเกรงไม่ !”
แม้หลิวจ่งเทียนจะไม่สนใจไยดี ทว่าชีชียังคงระรานไม่หยุดหย่อน กระทั่งทั้งคู่กลับเข้ามาในกระโจมใหญ่
หญิงสาวจ้องท่านอ๋องหนุ่มผู้ยังคงแสดงสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ความรู้สึกด้วยความเดือดดาลอย่างเหลือจะทน
“หลิวจ่งเทียน !”
ท่านอ๋องสามหลิวจ่งเทียนหันขวับมาหาในทันใด พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่คว้าคอเสื้อเธอขึ้น “หากเจ้าอยากรนหาที่ตายนัก เช่นนั้นเปิ่นหวางจะช่วยให้เจ้าสมหวังเสียในตอนนี้ !”
“อันใดกัน ? ข้ายังมิได้อยากตายเสียหน่อย !”
***จบตอน อยากตายนักใช่ไหม !***