บทที่ 241 : หน้ากากอสูรปรากฏตัวอีกครั้ง!
ต้วนหลิงเทียนยังคงเดินทางเข้าวังหลวง และมอบกระดาษจดรายการวัตถุดิบให้แก่องคราชาเพื่อขอความช่วยเหลืออีกแรง
นอกจากนี้เข้ายังได้แวะไปยังจวนเจ้าพระยาและตระกูลต้วนอีกด้วย!
สำหรับตระกูลต้วนแล้ว ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนถือว่าเป็นความหวังอันสูงสุดของพวกมัน ...
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสและกลุ่มคนระดับสูงของตระกูลต้วนได้ยินเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนจะเดินทางออกจากอาณาจักรนภาล่องไปยังอาณาจักรพนาคราม เพื่อเข้าร่วมนิกายใหญ่ 1 ใน 5 นิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาคราม พวกเขาตกลงรับข้อเรียกร้องของต้วนหลิงเทียนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
"เด็กน้อย ตระกูลต้วนของพวกเรายังยินดีชำระค่าใช้จ่ายวัตถุดิบเหล่านี้ ให้แก่ผู้อื่นที่เจ้าไปขอความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน!" ต้วนเฉินผู้อาวุโสหลักของตระกูลต้วนกล่าวออกมาอย่างยินดี
"เช่นนั้น ข้าคงต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสหลักล่วงหน้าแล้ว" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา แน่นอนว่าเขาไม่คิดปฏิเสธ จะอย่างไรเขาและตระกูลต้วนต่างได้ผลประโยชน์กันทั้งคู่
สิ่งที่ตระกูลต้วนต้องการจากต้วนหลิงเทียน...แน่นอนว่าย่อมเป็น โอสถสู่ธรรมชาติ
และถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้รับโอสถนี้จากการเข้าร่วม 1 ในนิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาคราม แต่เมื่อระดับบ่มเพาะของเขาตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 เมื่อไหร่ เขาก็จะกลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 5 โดยอัตโนมัติและเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะสามารถหลอมสร้างโอสถสู่ธรรมชาติได้อย่างไม่มีปัญหา
หลังจากเดินทางออกจากตระกูลต้วน ต้วนหลิงเทียนก็ไปยังตระกูลซู
ซูผ่อหยาออกมาต้อนรับต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง "ผู้บัญชาการต้วน!"
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเข้าประเด็นทันที "ประมุขซู ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่านสักเล็กน้อย ข้าอยากขอแรงท่านช่วยรวบรวมวัตถุดิบเหล่านี้สักหน่อย ... ในอีก 1 เดือนหลังจากนี้ข้าจะมารับมอบพวกมัน ยามนั้นท่านประมุขซูกล่าวบอกราคามาได้เลย"
"เรื่องนี้หาใช่ปัญหา" ซูผ่อหยาพยักหน้ารับคำต้วนหลิงเทียน ก่อนที่จะรับกระดาษรายการวัตถุดิบจากมือต้วนหลิงเทียนมาพร้อมรอยยิ้ม
ทว่าในแววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ในอดีต พวกเขาและผู้อาวุโสทั้งหมดล้วนประชุมหารือ เรื่องวิธีการสังหารต้วนหลิงเทียน
แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น.. สถานการณ์ก็พลันแปรเปลี่ยนกลับกลาย ตอนนี้กระทั่งตระกูลซูของพวกเขา ก็ไม่หาญกล้าเพียงพอที่จะแตะต้องต้วนหลิงเทียน
นอกจากนี้พวกเขายังตั้งข้อสงสัยประการหนึ่งขึ้นมาอีกด้วย ว่าการหายตัวไปของผู้อาวุโสหลักอย่างซูหนันมีส่วนเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียน... แต่ไม่ต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เขาไร้ซึ่งหลักฐาน แม้ว่าจะมีหลักฐาน เขาก็ไร้ซึ่งความกล้าที่จะสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียน
เพราะยามนี้ต้วนหลิงเทียนแน่นอนแล้วว่ามีความสัมพันธ์กับจวนเจ้าพระยาไม่น้อย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลราชวงศ์ ยามนี้ต้วนหลิงเทียนจึงห่างไกลเกินกว่าที่ตระกูลซูจะแตะต้องได้แล้ว
"รบกวนประมุขซูแล้ว ข้าขอลา" ต้วนหลิงเทียนเอ่ยคำอำลาก่อนที่จะเดินออกจากเขตที่พักตระกูลซู
ทว่าทันใดนั้นเองใน สังหรณ์ของต้วนหลิงเทียนร่ำร้องเตือนว่ามีคนกำลังมุ่งร้ายเขา ทั้งๆที่พลังวิญญาณของเขาไม่อาจจับสัมผัสอะไรได้... และทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนร่างออกไปจากจุดเดิมทันที และตอนนี้เองเขาก็สังเกตเห็นถึงประกายกระบี่วิญญาณระดับ 8 ที่ฟาดผ่านจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ ตัวกระบี่ฉาบไปด้วยสีดำ แลดูเหมือนจะอาบยาพิษเอาไว้ ส่วนร่างที่ถือกระบี่ก็เป็นซูถงไม่ผิดตัวแน่
"ต้วนหลิงเทียน ข้าจะฆ่าเจ้า!" ซูถงที่ฟันพลาด หันร่างกลับมากล่าวตะโกน ก่อนที่จะเริ่มลงมืออีกครั้ง มันพยายามพุ่งร่างมาหมายฟันต้วนหลิงเทียนสักแผล อย่างไรก็ตามระดับบ่มเพาะของมันตกไปเหลือระดับบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 9 เท่านั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของต้วนหลิงเทียนอย่างสิ้นเชิง มันจึงถูกต้วนหลิงเทียนถีบยันเข้ากลางอกจนล้มคว่ำกระเด็น
"ซูถง ข้าไม่คิดเลยว่าถึงแม้เจ้าจะเป็นง่อยไร้ระดับบ่มเพาะไปแล้ว เจ้ายังชั่วช้าขนาดนี้" ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนมืดลง คนที่กล้าซุ่มโจมตีเขาคือตัวบัดซบซูถงนี่อีกแล้ว
นี่เป็นเหตุผลที่พลังวิญญาณของเขาไม่อาจจับสัมผัสได้
เพราะผู้ฝึกยุทธ์ระดับบ่มเพาะร่างกายขั้นที่ 9 ไม่อาจเป็นภัยคุกคามให้เขาได้
ซูถงนั้นถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถีบยันมาธรรมดาๆ ของต้วนหลิงเทียน ซ้ำร่างของมันยังกระแทกผืนดินอย่างจัง นับว่าเพียงแค่ลุกขึ้นยืนก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว... มันทำได้เพียงจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยแววตาเคียดแค้น "ต้วนหลิงเทียนเจ้าทำลายตันเถียนของข้า ฆ่าท่านปู่ของข้า ข้าจะตามจองล้างจองผลาญเจ้าจนกว่าเจ้าจะตาย!"
"ตามจองล้างจองผลาญข้าจนกว่าข้าจะตาย?" แววตาของต้วนหลิงเทียนเย็นชาลง ตัวบัดซบซูถงนี่มันได้รับบทเรียนไปแล้วยังไม่คิดสำนึกอีก!
"ซูถง!" ทันใดนั้นเองซูผ่อหยาที่สังเกตเห็นเรื่องราว ก็รีบเข้ามาแทรกเรื่องราวเอาไว้ สีหน้าของมันเคร่งเครียดไม่น้อย "เจ้ากำลังทำเรื่องบัดซบอันใด?"
"ท่านประมุข ข้าต้องการล้างแค้นให้ตัวข้าเองแล้วก็ท่านปู่!" ซูถงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปความแค้นของเจ้าที่มีต่อต้วนหลิงเทียนต้องโยนทิ้งไปซะ ... หากเหตุการณ์ดั่งเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง! ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากตระกูลซู!" ซูผ่อหยาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ซูถงผู้นี้มันเสียสติไปแล้วอย่างแท้จริง
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องจริงที่ยามนี้ซูถงเป็นเพียงคนพิการคนหนึ่ง กระทั่งทั้งตระกูลซูก็ไม่มีใครกล้าทำร้ายต้วนหลิงเทียนในตอนนี้
ร่างกายของซูถงสั่นสะท้านในทันใดเมื่อได้ยินคำกล่าวของซูผ่อหยา มันทำได้เพียงก้มศีรษะลงอย่างอดสู แต่ความเคียดแค้นชิงชังที่อัดแน่นในดวงตาของมันนั้น แทบทำให้ดวงตาของมันระเบิด
"ประมุขซู ข้าขอตัวลา" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ซูผ่อหยาอีกครั้ง ก่อนที่จะออกจากตระกูลซูไป
ตอนนี้เองฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อต้วนหลิงเทียนเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาก็สังเกตเห็นร่างๆหนึ่งที่เคลื่อนไหวราวภูตพรายปรากฏตัวขึ้น และค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา...
ฟุ่บ!
และแทบจะในพริบตาเดียวกันฉงเฉวียนก็ปรากฏกายยืนอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียนในพริบตา
ฉงเฉวียนยามนี้ได้ซ่อนตัวเอาไว้และลอบติดตามต้วนหลิงเทียนไปทุกที่ ...ติดตามต้วนหลิงเทียนราวกับเขาเป็นเงาตามตัวอย่างไรอย่างนั้น
"เป็นเจ้านั่นเอง!" มองผ่านแสงสลัวๆยามค่ำคืน ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตได้ว่าการแต่งกายของคนตรงหน้านั้น...เป็นคนที่เขาเจอคืนนั้น ที่บ้านพักต้วนหรูเล่ย
สวมชุดสีดำสวมใส่หน้ากากอสูร ...
ไม่ใช่คนที่สังหารผู้ฝึกยุทธ์ครึ่งก้าวธรรมชาติ ที่ติดตามต้วนหรูเล่ยในวันนั้นหรอกหรือ?
จากการคาดเดาของต้วนหลิงเทียน ชายหน้ากากอสูรคนนี้ สมควรเป็นผู้นำขององค์กรเงายมทูต ที่หาตัวยาก ... แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
"ตามข้ามาสิ" เสียงแหบแห้งพลันดังออกจากปาก
นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินน้ำเสียงของบุรุษผู้นี้
ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำได้ดี ว่าในคืนนั้น ตั้งแต่ต้นกระทั่งชายสวมหน้ากากอสูรผู้นี้ลงมือเข่นฆ่าผู้คน เขายังไม่กล่าววาจาแม้แต่ครึ่งคำ
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สังเกตได้ว่าชายหน้ากากอสูรคนนี้จงใจใช้ความเร็วที่ต้วนหลิงเทียนสามารถติดตามไปได้
"ลองไปดูกันเถอะ!" ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากอสูรทำแบบนี้ทำไม แต่เขากับฉงเฉวียนก็ตามอีกฝ่ายไป
เขารู้สึกได้ว่าชายสวมหน้ากากอสูรไม่ได้คิดจะทำร้ายเขา
ในที่สุดชายสวมหน้ากากอสูรก็พาต้วนหลิงเทียนเข้ามายังบ้านร้างหลังหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มจุดเทียนโคม
"เจ้าตามหาข้า มีอะไรงั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังชายสวมหน้ากากอสูรตรงหน้าเขา ก่อนหน้านี้ในระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ เขาพลันรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นหลังและท่วงท่าของชายผู้นี้ แต่เขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่าชายสวมหน้ากากอสูรกำลังยกมือขึ้นมาเตรียมถอดหน้ากาก ...
และในที่สุดใบหน้าที่แท้จริงของชายสวมหน้ากากอสูรก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าต้วนหลิงเทียน
"อะ ... อาจารย์ซื่อหม่า!" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตะลึงไม่น้อย เรื่องราวสามารถแปรเปลี่ยนกลับกลายได้ 108 อย่าง แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยคิดสักนิดเลยว่า ชายลึกลับในหน้ากากอสูรคืนนั้น จะเป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ฝ่ายดาวกุนซือ และยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันบ่มเพาะขุนพล ซื่อหม่าฉางฟง!
ไม่น่าแปลกใจเท่าไร ที่เขารู้สึกคุ้นเคยแผ่นหลังอีกฝ่าย!
ซื่อหม่าฉางฟงยิ้มออกมา "เด็กน้อย ดูเหมือนเจ้าจะขยันสร้างความบาดหมางกับผู้คนนัก ... "
ต้วนหลิงเทียนตกตะลึง "อาจารย์ เรื่องนี้ท่านหมายความว่าอย่างไร?"
"เจ้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงในวันนี้ใช่หรือไม่ แต่ตอนหัวค่ำเมื่อครู่กลับมีคนมาจ้างวาน เงายมทูต ให้ไปลอบสังหารเจ้าแล้ว ... " ซื่อหม่าฉางฟงจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างลึกซึ้ง
ต้วหลิงเทียนหัวเราะออกมา "อาจารย์ซือหม่า ท่านเป็นหัวหน้าองค์กรเงายมทูตงั้นรึ?"
ซื่อหม่าฉางฟงเพียงแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย ทว่าเขาไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ
แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมได้รับคำตอบในใจแล้ว
เขาเคยคิดว่าซื่อหม่าฉางฟงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติคนที่ 4 ที่ปิดบังตัวตนเอาไว้ในอาณาจักรนภาล่อง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว
เห็นได้ชัดว่าที่แท้ซื่อหม่าฉางฟงกลับเป็นถึงผู้นำองค์กรเงายมทูต!
"อาจารย์ ผู้ใดคิดจ้างวานฆ่าข้างั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนคำถามทันที และยามนี้ประกายตาของเขาเรืองวูบขึ้นมา
"อันที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่าคนผู้นี้...ก็นับมีความสัมพันธ์กับเจ้ามิใช่น้อย" ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวพร้อมรอยยิ้มสนุกสนาน
"อาจารย์อย่าได้กล่าววาจาตีรวนแล้ว... มันเป็นผู้ใดกันแน่?" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและเสียกิริยาไปเล็กน้อย ตอนนี้เขาพลาดแล้วที่คิดว่าชายสวมหน้ากากอสูรไม่ค่อยพูด...
"ภรรยาของต้วนหรูเล่ย หรือกล่าวได้ว่านางเป็นมารดาของต้วนหลิงซิ่ง ... อวิ๋นผิง!" ซื่อหม่าฉางฟงค่อยๆกล่าวออกมา
อวิ๋นผิง?
ชื่อนี้นับว่าไม่คุ้นหูต้วนหลิงเทียนสักนิด
อย่างไรก็ตามเมื่อเขารู้ตัวตนของนางแล้ว เขาก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดนางจึงคิดจ้างวานมือสังหารมาเอาชีวิตเขา
ครอบครัวนี้ ราวกับผีร้ายที่ไล่เท่าไรก็ไม่ไปสักที!
"เจ้าต้องการให้ข้าจัดการกับมันหรือไม่"ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวถามออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มลี้ลับบนใบหน้า
"ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างใช่หรือไม่?" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา
"เด็กน้อย เจ้านี้ควักเงินออกมาใช้เสียบ้างมันจะตายเอาหรือไร? หากจะให้ข้าลงมือแน่นอนว่าย่อมต้องคิดเงินเจ้า!" ซื่อหม่าฉางฟงกล่าวเย้ยออกมา
"อาจารย์" ท่าทางของต้วนหลิงเทียนพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ขนาดท่านลุงนี่ของข้า ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้นำองค์กรเงายมทูต... แล้วนี่องค์ราชารู้เรื่องหรือไม่?”
ซื่อหม่าฉางฟงพยักหน้า "องค์ราชาแน่นอนว่าย่อมรู้ และอันที่จริงองค์กรเงายมทูตนี่ก็เป็นความคิดขององค์ราชาที่ขอร้องให้ข้าก่อตั้งขึ้น..."
"อาจารย์ซื่อหม่า ข้าล่ะอยากรู้นัก ว่าเหตุใดท่านจึงยินยอมติดตามรับใช้องค์ราชาอย่างเต็มใจเช่นนี้?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยแววตาลึกซึ้ง เขาเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของซื่อหม่าฉางฟง ...ไม่มีวันเป็นคนที่ถูกองค์ราชาควบคุมได้อย่างเด็ดขาด
สายตาของซื่อหม่าฉางฟงพลันเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เขาจ้องไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า ราวกับหวนคำนึงถึงวันวาน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมา "ในปีนั้นหากไม่ได้องค์ราชาช่วยเหลือ...เกรงว่าข้าคงต้องตกตายไปแล้ว...ข้าเป็นหนี้ชีวิตเขา"
ต้วนหลิงเทียนยอมเข้าใจได้ในทันที และไมคิดจะซักไซ้ไล่เรียงอะไรอีก
เหตุผลเท่านี้ย่อมเพียงพอแล้ว
การช่วยชีวิตผู้ใดด้วยความเมตตา ย่อมทำให้คนผู้นั้นยินยอมที่จะตอบแทนด้วยชีวิต
....
ดึกลงไปในค่ำคืนกลางสารทฤดู ...สายลมโชยพลิ้ว ใบไม้ปลิดปลิวลอยล่องท่องอากาศ
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ในเมืองหลวงชั้นใน
ฮูหยินร่างท้วมอุดมไปด้วยหนั่นเนื้อไขมันที่มากล้น กำลังเดินไปเดินมาอย่างอุ้ยอ้ายภายในห้องพักระดับสูงสุด และทุกขั้นตอนที่นางก้าวนั้นทำให้พื้นไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
"ไอสารเลวน้อย เงายมทูตจักต้องทำให้เจ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!" น้ำเสียงของฮูหยินคนนี้เผยให้ถึงความเคียดแค้นชิงชังอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าตราบใดที่คนที่นางเคียดแค้นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า นางจะฉีกร่างมันให้เป็นชิ้นๆด้วยมือเปล่า!
"มันจะเป็นเช่นนั้นแน่หรือ?" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงเย็นชาพลันดังขึ้นจากบนพลังคา
พริบตาต่อมาหลังคาก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง เปิดช่องกว้างระบายอากาศขนาดใหญ่ไม่น้อย...
ร่างสีม่วงพลันกระโดดลงจากหลังคาลงมายืนกลางห้องโดยพลัน
แน่นอนว่าร่างนี้ย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนไม่ผิดเพี้ยน!
อวิ๋นผิงที่เห็นคนเคลื่อนร่างเข้ามาในห้อง ใบหน้าของนางก็ซีดลงโดยพลัน และเมื่อนางสังเกตว่าผู้ที่มาเป็นต้วนหลิงเทียน สายตาของนางก็กลับกลายเป็นเย็นชาอำมหิตในทันใด "สารเลวน้อย ที่แท้เป็นเจ้า!"
แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นต้วนหลิงเทียนยามเติบโตแม้แต่ครั้งเดียว แต่ใบหน้าของต้วนหลิงเทียนก็กล่าวได้ว่า มีไม่ต่ำกว่า 6-7 ส่วนที่คล้ายคลึงกับบิดาของมันต้วนหรูฟง นั่นทำให้นางระบุตัวต้วนหลิงเทียนได้ในทันที
"สารเลวน้อย?" ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเย็นชาลง จิตสังหารอำมหิตกระหายเลือดเริ่มแผ่ซ่านออกมาอีกครั้ง
เมื่อสังเกตเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของต้วนหลิงเทียน อวิ๋นผิงพลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางย่อมรู้ดีว่ายามนี้ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้แล้ว
ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็กลับกลายเป็นหมองคล้ำลง เต็มไปด้วยความดุร้ายหมายแลกชีวิต ร่างกายที่เต็มไปด้วยไขมันของนางๆ คอยๆสั่นกระเพื่อมเมื่อเริ่มโคจรพลังงานต้นกำเนิด
ต้วนหลิงเทียนก้าวเดินไปข้างหน้าในมือของเขาปรากฏกระบี่หยกสีเขียวอันเป็นอาวุธวิญญาณระดับ 8 ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า กระบี่ต้องแสงจันทร์จากช่องบนหลังคา บังเกิดประกายคมกล้าฉายออกมา...
"สารเลวน้อยบัดซบ ข้าจะฆ่าเจ้าล้างแค้นให้ลูกซิ่งของข้า!" อวิ๋นผิงขบเคี้ยวฟันก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความแค้น ไขมันทั้งร่างของนางสั่นกระเพื่อมอย่างน่าหวาดหวั่น ในขณะที่กระโจนร่างเข้าหาต้วนหลิงเทียน กระบวนท่าโถมไปสุดตัว ราวกับต่อให้ต้องตายก็ไม่คิดเสียใจ
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่