บทที่ 242 : ไร้ก้นบึ้ง!
ผัวะ!!
ต้วนหลิงเทียน หวดขาเตะออกไปด้วยความเร็วสูง เมื่อเผชิญหน้ากับร่างอ้วนท้วนมหึมาที่พุ่งมาอย่างน่ารังเกียจ การเตะครั้งนี้ สงร่างอวิ๋นผิงกระเด็นไปชนกำแพงดังตึง
อย่างไรก็ตามทั้งร่างของอวิ๋นผิงเต็มไปด้วยชั้นไขมันหนา นางจึงหาได้บาดเจ็บอะไรมากมาย สามารถลุกขึ้นยืนได้ทันที นางจ้องมายังต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง "สารเลวน้อย เรื่องที่ข้าเสียใจมากที่สุดในชีวิต คือยามที่ข้าขับไล่ไสส่งมารดาเจ้าให้ออกไปให้พ้นหน้าข้าในปีนั้น ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าทิ้งเสียตั้งแต่อยู่ในท้องของมัน!"
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว "อะไร เป็นเจ้าเองที่บีบคั้นให้มารดาข้าออกจากตระกูลต้วน?"
นี่เป็นเรื่องที่เขาเองก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
“แน่นอน เป็นข้ากระทำทั้งสิ้น!” อวิ๋นผิงหัวเราเย้ยหยันออกมา “ในปีนั้นล้วนเป็นข้าเองที่ไปยุยงผู้อื่นให้เห็นดีเห็นงามด้วยกับการขับไล่ไสส่งมารดาเจ้า ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้าคงเป็นแค่สารเลวน้อยไร้ค่า ไม่อาจโงหัวได้ตลอดชีวิตหากไม่ได้อยู่ในตระกูลต้วนข้าเลยไม่ได้ฆ่าเจ้า... แต่ข้าไม่คิดเลย 10 ปีผ่านไป สารเลวน้อยอย่างเจ้ากลับกลายเป็นภัยซ่อนเร้น สร้างหายนะได้มากขนาดนี้ ข้าเสียใจนัก!” ในขณะที่กล่าวอวิ๋นผิงก็แลดูคลุ้มคลั่งขึ้นมา
นางคิดใคร่ครวญดูแล้ว หากนางลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนเสียตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดามันเสียตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คงไม่มีวันเกิดขึ้น!
บุตรชายสุดที่รักของนางเองก็ยังคงมีชีวิตอยู่ด้วย!
"ฮึ่ม!" สายตาของต้วนหลิงเทียนเย็นชาลง ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “แทนที่เจ้าจะมามัวเสียใจเพราะเรื่องนี้ เหตุใดเจ้าไม่คิดเสียใจที่ไม่ได้สั่งสอนลูกชายเจ้าให้เป็นคนดี ความแค้นระหว่างบิดาข้ากับสามีเจ้ามันก็เป็นความแค้นของคนรุ่นก่อน แต่ลูกชายเจ้าแทนที่จะปล่อยวางเรื่องราวนี้กลับลงมือต่อข้า กระทั่งคิดลงมือฆ่าข้า”
"หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ป่านนี้ตัวมันก็คงไม่ต้องตกตาย!" เมื่อต้วนหลิงเทียนกล่าวใกล้จบ น้ำเสียงของเขาก็ต่ำลง ...
“ชีวิตเจ้ามันต่ำต้อยไร้ราคาดั่งหญ้าคา หากบุตรชายข้าคิดสังหารเจ้าแล้วจะเป็นไรไป? ชีวิตสารเลวน้อยอย่างเจ้าจะเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตบุตรชายข้าได้อย่างไร?” ดวงตาของอวิ๋นผิงเผยให้เห็นความคิดที่บิดเบี้ยววิกลจริตออกมา "โชคร้ายนักที่ข้าไม่อาจแก้แค้นให้กับบุตรชายของข้า ... มิฉะนั้นหลังจากที่ข้าฆ่าเจ้าข้าจะฆ่าแม่เจ้าให้ตาย”
"อีอ้วนสวะ รนหาที่ตาย!" ต้วนหลิงเทียนไม่อาจระงับท่าทีได้อีกต่อไป เมื่อเขาได้ยินคำกล่าวชั่วช้าสามานย์ของอวิ๋นผิง เขาก็เสือกแทงกระบี่ออกไปดั่งเส้นสายอัสนี จี้ไปที่กลางอกของอีอ้วนบัดซบอย่างเกรี้ยวกราด
มังกรทุกตัวย่อมมีเกล็ดย้อน และหากผู้ใดไปแตะต้องมันแล้วล่ะก็ ต้องตายสถานเดียว!
เห็นได้ชัดว่าเกล็ดย้อนเกล็ดนี้ย่อมเป็นมารดาของเขา!
ปัง!!
ร่างมหึมาของอวิ๋นผิงถูกต้วนหลิงเทียนแทงจนกระเด็นทะลุผนัง ตกลงไปกองเป็นก้อนเนื้อเลอะเลือน ตกตายอยู่บนถนนด้านข้างโรงเตี๊ยม
และถึงแม้ว่านางจะตกตายไปแล้วแต่ดวงตาทั้งคู่ของนางยังคงถลึงตามองต้วนหลิงเทียนอย่างอาฆาต ราวกับต่อให้เป็นผีก็จะไม่ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนได้อยู่อย่างสงบสุข
ต้วนหลิงเทียนกระโดดลงมาถ่มน้ำลายใส่ศพของอวิ๋นผิงก่อนที่จะเตะมันจนกระเด็น เหลือบมองด้วยสายตาเย็นชาไม่แยแสเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินจากไปทันทีโดยไม่คิดจะเผาทำลายซากศพหรือหลักฐานอะไรทั้งสิ้น
วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องนี้ก็แพร่กระจายออกไป
ภรรยาของอดีตรองประมุขตระกูลต้วน ต้วนหรูเล่ย เสียชีวิตลงบริเวณโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงชั้นใน
ส่วนทางด้านตระกูลต้วนไม่มีใครสนใจกล่าวถึงเรื่องนี้อีก พวกเขาเพียงนำศพนางไปฝังอย่างเรียบๆ เพราะเห็นแก่ผลงานที่ต้วนหรูเล่ยเคยกระทำเพื่อตระกูลต้วนเท่านั้น
พวกเขาจะมากจะน้อยล้วนพอคาดเดาถึงเหตุผลบางประการที่อยู่เบื้องหลังการตายของอวิ๋นผิงดี
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่คิดสืบสวนหาความจริงในเรื่องนี้
"ลูกเทียน การตายของป้ารองมีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่" ที่ลานบ้านด้านหลังยามนี้ ปรากฏร่างลี่หลัวที่มีท่าทีเอาเรื่องกล่าวถามต้วนหลิงเทียนสายตาของนางจับจ้องไปยังแววตาของต้วนหลิงเทียนเขม็งราวกับจะไม่ให้คลาดสายตาเพื่อดูว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าววาจาโกหกหรือไม่
"เป็นข้า ที่สังหารนาง" ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธอะไร
"ลูกเทียน เจ้าเด็กคนนี้ ... ลุงรองของเจ้าก็ตกตายไปแล้ว นางเป็นเพียงหญิงม่าย ลูกชายก็ตกตาย เจ้าจำเป็นต้องลงมือต่อนางเช่นนี้หรือ?" ลี่หลัวกล่าวออกมารวดเดียว ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ราวกับนางสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด ความรู้สึกผิดเริ่มฉายชัดออกมาบนใบหน้าของนาง
"ท่านแม่ เหตุใดท่านไม่ถามข้าก่อนเล่า ..ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงลงมือสังหารนาง?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว ก่อนที่จะค่อยๆกล่าวเรื่องราวที่อวิ๋นผิงกระทำ
"อะไร นางไปจ้างองค์กรเงายมทูตให้มาสังหารเจ้า?"ลี่หลัวพลันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ของนางทันที ยามนี้แลดูนางจะบันดาลโทสะไม่น้อย ใบหน้าของนางเย็นชาราวน้ำแข็งเคลือบ “อวิ๋นผิงนี่สมควรตายนับพันครั้ง! นางเล่นสกปรกลอบติดต่อยุยงผู้อื่นเพื่อบีบคั้นข้าให้ระเห็จออกจากตระกูลต้วน...ข้ายังพอทนได้ แต่ตอนนี้นางถึงขั้นคิดฆ่าเจ้า! ลูกเทียนแม่ผิดเองที่ด่วนตำหนิเจ้า...ครั้งนี้เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมนัก!”
อยู่ๆลี่หลัวก็เปลี่ยนทีท่าราวกับศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับอวิ๋นผิงได้ ...นี่ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นกัน
แต่แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากมารดาเขาได้อย่างชัดเจน อดไม่ได้ที่หัวใจของเขาจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมานัก
"ท่านแม่ แล้วท่านไม่คิดเดินทางไปยังอาณาจักรพนาครามกับพวกเราจริงๆหรือ?" ต้วนหลิงเทียนมองไปยังลี่หลัว ก่อนที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจในการตัดสินใจครั้งนี้ของนาง
ลี่หลัวยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า "ลูกเทียน แม่ตามไปก็รังแต่จะเป็นภาระให้เจ้า"
"ท่านแม่ ท่านกล่าวอันใด?" ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนที่จะเริ่มจ้องมองมารดาเขา "เดี๋ยวก่อน... ที่ท่านไม่ไปเป็นเพราะเหตุผลอื่น... มันเป็นเพราะท่านพ่อใช่หรือไม่?!"
ลี่หลัวไม่คิดปกปิดอีกต่อไป เมื่อเห็นว่าบุตรชายของนางคงมองทะลุความคิดของนางแล้ว นางก็พยักหน้าออกมา “มิผิด มันเป็นเพราะบิดาของเจ้า แม่มีความรู้สึกว่าบิดาของเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ และสักวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาแม่...หากแม่ยังอยู่ในเมืองหลวงบิดาเจ้าต้องหาแม่เจอได้โดยง่าย แต่หากแม่ไปแล้ว เขาจะไปตามหาแม่ที่ไหนกัน?”
ต้วนหลิงเทียนพูดไม่ออก "ท่านแม่ นี่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ท่านไม่คิดปล่อยวางเรื่องนี้บ้างหรือ?"
ลี่หลัวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวถามออกมา "ลูกเทียน เจ้าไม่เชื่อใช่หรือไม่ ว่าบิดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่?"
"นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าเชื่อหรือไม่เชื่อ... แน่นอนว่าข้าเองก็หวังให้เขายังมีชีวิตอยู่ แต่จะอย่างไรเขาก็หายตัวไปเกือบ20 ปีแล้ว ... หากเขายังมีชีวิตอยู่เขาคงกลับมาหาท่านแม่นานแล้ว" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เขาเองก็หวังว่าบิดาที่คิดว่าตกตายไปแล้วจะกลับมาเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้มารดาของเขาจะได้มีความสุขเสียที
ทว่าความหวังนี้มันช่างริบหรี่นัก
"ลูกเทียน เรื่องนี้เจ้าต้องเชื่อแม่นะ แม่มีความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่ง ...บิดาของเจ้าจะต้องกลับมาแน่ๆ" ลี่หลัวยืนกรานความคิด พร้อมจ้องไปยังตาของต้วนหลิงเทียน ราวกับนางเองก็ต้องได้รับคำยืนยันจากปากของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
ต้วนหลิงเทียนลอบระบายลมหายใจในใจของเขา ก่อนที่จะพยักหน้าออกมา "ท่านแม่ข้าเชื่อท่านแล้ว ท่านพ่อต้องกลับมาแน่"
ใบหน้าของลี่หลัวเผยรอยยิ้มออกมา
...
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเอง มีเส้นสายอัสนีสีดำขาวพุ่งมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่จะมาหยุดลงบนหัวของต้วนหลิงเทียน
แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่พ้นเป็น เสี่ยวเฮย กับเสี่ยวไป๋
ต้วนหลิงเทียนยกมือขึ้นก่อนที่จะไปหยิบร่างอสรพิษตัวน้อยทั้ง 2 ลงมา ก่อนที่จะจ้องพวกมันแล้วกล่าวถามว่า "เจ้าตัวน้อยทั้ง 2 พวกเจ้าพึ่งตื่นขึ้นมาก็ซุกซนแล้วหรือ?"
ครั้งสุดท้ายนั้นต้วนหลิงเทียนได้หลอมปรุงโอสถเร่งพลังกำเนิดออกมามากมาย แน่นอนว่าเจ้าอสรพิษน้อย 2 ตัวนี่ย่อมพลอยได้กินเข้าไปไม่น้อย...พวกมันกินไปถึงครึ่ง! และหลังจากที่พวกมันกินลงไปแล้วพวกมันก็นอนหลับลึกไปอีกครั้ง และในที่สุดมันก็ตื่นขึ้นมาเสียที
ความแข็งแกร่งของพวกมันพลันก้าวหน้าไปอีกขีดขั้น ยามนี้พวกมันตัดผ่านไปยังระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6!แล้ว
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูรธรรมดาที่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1 คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนระดับพรวดพราดขนาดนี้ ตอให้กินโอสถเร่งพลังกำเนิดไปมากกว่าพวกมันก็ตาม
แต่เจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ตัวนี้ราวกับจะไร้ข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น พวกมันนับเป็นตัวตะกละอย่างแท้จริง!!
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมมีความสุขอย่างมาก หากโอสถเร่งพลังกำเนิดทำให้อสรพิษน้อยทั้ง 2 แข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้
เพราะหากความแข็งแกร่งของเจ้าอสรพิษน้อย 2 ตัวเพิ่มมากขึ้น นั่นย่อมหมายถึงชีวิตเขามีปราการป้องกันมากขึ้น
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมีฉงเฉวียนที่ยามนี้เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติขั้นที่ 2 ติดตาม ซ้ำยังเป็นผู้ที่สามารถรู้แจ้งในวิถีแห่งพลังกระบี่ขั้นสูง แต่นั่นก็ทำได้แค่ติดตามเขาอยู่ก่อนที่จะเข้าร่วมนิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาครามเท่านั้น ...เพราะนิกายคงไม่อนุญาตให้มีผู้ติดตาม
นั่นหมายความว่าเมื่อเข้าร่วมนิกายใหญ่ของอาณาจักรพนาครามได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง และเจ้าอสรพิษน้อย 2 ตัวนี่เท่านั้น
"เอาล่ะ ข้ายังคงพอมีโอสถเร่งพลังกำเนิดอยู่อีกเล็กน้อย พวกเจ้าทั้ง 2 จะกินอีกหรือไม่ ?" ต้วนหลิงเทียนหยิบโอสถเร่งพลังกำเนิดออกมา แต่เขาก็สังเกตได้อย่างรวดเร็วว่ายามนี้เจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 มันไม่แม้แต่จะมองมายังโอสถเร่งพลังกำเนิดเลยสักนิด ราวกับมันเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง
"อะไรกัน เจ้า 2 ตัวน้อย ตอนนี้พวกเจ้าไม่ชอบโอสถเร่งพลังกำเนิดแล้วรึ? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าทั้ง 2 ยังกินมันอย่างมีความสุขอยู่เลยรึไง?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ยหยันออกมา
แต่เขาก็คาดเดาได้ถึงเหตุผลบางส่วนเบื้องหลังเรื่องนี้
อันที่จริงแล้วพวกมันไม่ได้กระทำเช่นนี้เฉพาะกับโอสถเร่งพลังกำเนิด หลังจากที่เจ้าตัวน้อยทั้ง 2 นี่กินโอสถเพิ่มกำเนิดไปครั้งหนึ่ง พวกมันก็ไม่คิดแตะต้องโอสถเพิ่มกำเนิดอีกเลยเช่นกันในภายหลัง ราวกับว่าการกินโอสถที่มีผลในการเพิ่งพลังงานต้นกำเนิดเป็นครั้งที่ 2 นั้นจะไม่มีผลกับพวกมัน
"หากมันเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆ...บางทีข้าอาจจะหลอมปรุงโอสถชนิดอื่นๆให้พวกมันลองกินดู ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันอาจจะไม่ได้ดีเท่าโอสถเร่งพลังกำเนิด แต่ก็สมควรมีประโยชน์ต่อพวกมันไม่น้อย" ต้วนหลิงเทียนคิดขึ้นมาภายในใจ และความคิดนี้ก็ปรากฏออกมา
จากการค้นในความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดแล้ว นอกเหนือจากโอสถเร่งพลังกำเนิด ยังคงมีโอสถอีก 3 ชนิด ที่สามารถเพิ่มพลังงานต้นกำเนิดให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์ได้ และพวกมันก็เป็นโอสถที่ต้วนหลิงเทียนสามารถหลอมกลั่นได้ในตอนนี้
แต่แน่นอนว่าผลลัพธ์ของโอสถทั้ง 3 ชนิดนี้ยังค่อนข้างห่างไกลจากโอสถเร่งพลังกำเนิด
แต่ตอนนี้ตัวเขาไม่ได้ต้องการผลลัพธ์ของโอสถ เขาต้องการแค่โอสถชนิดแตกต่างกันแต่สามารถเพิ่มพูนพลังงานต้นกำเนิดเท่านั้น และเขายังหวังว่าโอสถทั้ง 3 ชนิดนี้จะสามารถช่วยให้เจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ก้าวหน้าไปอีกขั้น
ถ้าผลของยามันไม่พอ เช่นนั้นก็ต้องใช้ปริมาณเพื่อบรรลุ
หาก 10 ไม่พอเขาจะให้พวกมันกิน 20 หากยังไม่พอเข้าจะเป็น 50! หากยังไม่เพียงพอ เขาจะให้มัน 100 นึง!
ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 นี่ก็กินจุนัก พวกมันเป็นตัวตะกละอย่างแท้จริง คงไม่เป็นอันใดหากจะกินมากเกินไป
เมื่อคิดแล้วก็ต้องกระทำทันทีอย่าได้รีรอ! ต้วนหลิงเทียนกับฉงเฉวียนจึงออกไปยังร้านค้าโอสถทันที เพื่อซื้อวัตถุดิบสมุนไพรที่จำเป็น และวัตถุดิบสำหรับหลอมปรุงโอสถทั้ง 3 ชนิดนั้นก็ไม่ได้หายากเย็นอะไร
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องประหลาดใจก็คือ ทันทีที่เขาเดินออกจากประตูร้านค้าโอสถมา สิ่งแรกที่เขาเห็นกลับเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังเดินตรงมาทางเขา
เซี่ยวเหอ!
พี่ชายของเซี่ยวฉวิน
ผู้หลอมโอสถอัจฉริยะของตระกูลเซี่ยว
ผู้ที่พ่ายแพ้เดิมพันให้เขาจนต้องสูญเงิน 5,000,000 เหรียญเงินไปเมื่อปีที่แล้วกลางสมาคมผู้หลอมโอสถ
มุมปากของต้วนหลิงเทียนยกขึ้นมาเผยรอยยิ้มบางๆเล็กน้อย เขาส่งยิ้มให้กับเซี่ยวเหอขณะที่เดินสวนกัน หลังจากนั้นเขาก็แยกไปอีกทางพร้อมกับฉงเฉวียน
"หืม?" เซี่ยวเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มชุดสีม่วงเมื่อครู่จะรู้จักเขา?
แต่เขาไม่คุ้นหน้าชายหนุ่มเมื่อครู่เลยสักนิด
เซี่ยวเหอสั่นศีรษะไปมาก่อนที่จะหยุดคิดแล้วเดินเข้าเข้าไปในร้านค้าโอสถ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเซี่ยวเหอไม่มีทางเชื่อมโยงต้วนหลิงเทียน กับชายหนุ่มชุดสีม่วงที่โกงเงินเขาไปถึง 5,000,000 เหรียญเงินเมื่อปีที่แล้วแน่นอน ...
เพราะหลังจากทั้งหมดชายหนุ่มในชุดสีม่วงคนนั้นแลดูธรรมดาเกินไป
ต้วนหลิงเทียนเริ่มวุ่นทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน โอสถทั้ง 3 ชนิดที่เขาต้องปลอมปรุงได้แก่ โอสถหมอกเมฆา โอสถกระแสธารา และก็โอสถหยกแดงฉาน
โอสถทั้ง 3 ชนิดนี้ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน แต่โอสถทั้ง 3 นี้ก็นับว่าด้อยกว่าโอสถเร่งพลังกำเนิด
ฟุ่บ!
ไม่นานหลังจากที่จัดเรียงความคิด ต้วนหลิงเทียนก็หยิบเจาหลอมโอสถออกมา และเริ่มต้นหลอมปรุงโอสถ
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว โอสถที่เขาต้องการหลอมปรุงครั้งนี้เป็นเพียงโอสถระดับธรรมดาเท่านั้น และแต่ละชนิดเขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็หลอมสร้างได้ 10 กว่าเม็ดแล้ว
ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง และเขาสามารถหลอมปรุงโอสถหมอกเมฆาได้ถึง 43 เม็ด
"ข้าหวังว่าเจ้าตัวน้อยทั้ง 2 ตัวยินดีที่จะกินโอสถนี้" ต้วนหลิงเทียนกล่าว
เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นประกายตาเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 กระพริบวูบวาบ ซ้ำยังแลบลิ้นแผล่บๆอย่างหิวโหยเมื่อเห็นโอสถหมอกเมฆาที่เขาปรุง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าแนวคิดของเขาน่าจะถูกต้อง
ไม่นานโอสถหมอกเมฆาทั้ง 43 เม็ดก็ถูกเจ้าอสรพิษตัวน้อยทั้ง 2 กินกันจนเกลี้ยง!
แต่ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 จะต้องหลับลึกไปอีกครั้ง เขาก็สังเกตเห็นว่าเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 มันจ้องเขามาตาแป๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ...
"พวกเจ้าอสรพิษน้อยทั้ง 2 ตัวช่างไร้ก้นบึ้งนัก!" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่ตั้งหน้าตั้งตาปรุงโอสถหมอกเมฆาต่อไป พวกมันกินจุยิ่งนัก!
รีวิวของคุณ
คุณจะให้ดาวนิยายเรื่องนี้หรือไม่