เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่ 1 : เจียนตัว
ตอนที่ 1 : เจียนตัว
“ข้าดูดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้ว ลูกของเจ้าน่ะเป็นอัจฉริยะในทวีปป่าและหน้าที่ที่จะกอบกู้โลกจะต้องอยู่ที่เขา!” จางหยูซึ่งสวมชุดสีม่วง มองสองพ่อลูกที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง ระคนเจ็บปวดใจ “อัจฉริยะเช่นนี้ กลับเลือกสำนักเฉินกวง ไม่เท่ากับเป็นการทำลายพรสวรรค์ของตัวเองรึ?”
“ ท่านอาจารย์ เจ้าคิดว่าลูกของข้าเป็นอัจฉริยะเช่นนั้นรึ ? ! “ - ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นเคียงข้างลูกชายวัย 12 ปีของเขา
จางหยู พยักหน้าและพูดขึ้นมา “ มันไม่ง่ายเลยที่จะพบเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้าได้ ดังนั้นข้าจะแนะนำที่ที่ดีกว่านี้ให้กับเจ้า”
“เมืองชนบทเช่นนี้ยังมีที่ที่ดีกว่าสำนักเฉินกวงอีกรึ? อาจารย์ เร็วเข้า บอกข้ามาทีว่าจะไปที่นั่นได้ยังไง ! “
จางหยูกล่าวอย่างไม่รีบร้อนด้วยท่าทางผู้เชี่ยวชาญว่า “ เดินตามถนนนี้ไปทางตะวันตกประมาณ 6 ลี้ “
“ ไปตามทางตะวันตกประมาณ 6 ลี้.......” ชายวัยกลางคนมองไปที่จางหยูด้วยสีหน้าสงสัย
“ ไม่ใช่ว่านั่นเป็นสำนักคังเฉียงรึไง ? “
“ เอ่อ.....ใช่ มันก็คือสำนักคังเฉียง ! “
เมื่อได้ยินชื่อสำนักคังเฉียง ชายวัยกลางคนที่ยิ้มด้วยความตื่นเต้นเมื่อครู่ ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นใบหน้าที่เย็นชาออกมาแทบจะทันที เขาลากลูกชายวัย 12 ปีของเขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าจะถูกจางหยูตามตื้อ
“ เฮ้อ หนีไปอีกรายแล้ว ถ้านับครั้งนี้ก็โดนปฏิเสธมากกว่า 31 ครั้งแล้ว แค่การรับศิษย์ทำไมมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้นะ?” จางหยูมองไปที่กลุ่มผู้คนและถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม
หลังจากที่กุมขมับแล้ว จางหยู ก็เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินพร้อมกับแสดงสีหน้าเหนื่อยล้า “ถ้าก่อนค่ำวันนี้ยังไม่ได้ลูกศิษย์เลยสักคน ภารกิจคงล้มเหลวแน่” อาจจะพูดได้ว่า เขาเหลือเวลามากที่สุดอีกแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
พูดกันตามตรงก็คือ จางหยูไม่ใช่คนของทวีปป่า แต่เป็นผู้อำนวยการของมหาวิทยาลัยระดับสามที่โลก เพื่อที่แก้ไขปัญหาให้นักเรียน เขาได้วิ่งวุ่นตลอดวัน จนในที่สุดอาการป่วยก็กำเริบ และเสียชีวิตจากการทำงานหนักจนเกินไป พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็มาโผล่ที่ต่างโลกแล้ว
เจ้าของร่างนี้เองก็ชื่อว่า จางหยู เขาไม่ได้มีฐานะธรรมดาๆ แต่เป็นถึงเจ้าสำนักคังเฉียง
แต่....ตัวตนนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก
เนื่องจากบิดาของ จางหยู อย่าง จางเฮ่าหลัน ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อ 7 ปีก่อน สำนักคังเฉียงจึงตกต่ำลงในเวลาไม่นาน อาจารย์ที่ปรึกษากว่าร้อยคนและลูกศิษย์หลายพันคนก็พากันแยกย้ายออกจากสำนัก แม้แต่ทักษะและเคล็ดวิชาระดับสูงในหอหนังสือก็พลอยหายไปด้วย ดังนั้นทั้งสำนักคังเฉียงตอนนี้จึงถือว่าล่มสลายไปแล้ว
มีเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็มีแค่สุนัขที่ชื่อว่า เสี่ยวเฉียง ซึ่งพ่อเขาได้นำมาเลี้ยงไว้เมื่อ 8 ปีก่อน
อันที่จริงแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ฉีซวนขั้นที่ 4 ขอเพียงแค่จางหยูยินยอม สำหนักไหนก็เต็มใจที่จะอ้าแขนรับเขา แม้กระทั่งอบรมเขาให้เป็นศิษย์หลัก แต่โชคร้ายที่บุรุษผู้นี้ดื้อด้านและหัวแข็งไม่ยินดีที่จะไปเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่น เขายังคงอยู่สำนักคังเฉียงต่อไปและพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของสำนักต่อคังเฉียงให้ฟื้นคืนกลับมา
แต่น่าเสียดายที่ ตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จางหยูไม่สามารถรับศิษย์ หรือแม้แต่ครูฝึกได้เลยสักคน
อยู่มาคืนหนึ่ง จางหยู ที่กำลังหมดหวังเรื่องการรับศิษย์เข้าสำนักได้หยิบเหล้าขึ้นมาดื่ม เพื่อบำบัดความเศร้า ผลคือเขาเมามายอย่างมาก และถูกจางหยูที่ทะลุมิติมาจากโลกยึดครองร่างแทน
เมื่อ จางหยู จากโลกปัจจุบันตื่นขึ้นมา ก็มีเสียงเหมือนปัญญาประดิษฐ์ดังขึ้นมาในหัว “ระบบเจ้าสำนัก.....ทำงาน!”
ก่อนที่จางหยู จะได้ตอบโต้ เสียงในหัวก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ ดูจากสภาพปัจจุบันของโฮสต์ ภารกิจแรกได้ถูกมอบหมาย
[หน้าที่หลัก: รับศิษย์ ไม่กำหนดพรสวรรค์]
[ตึกสูงหมื่นฟุตก่อตั้งบนที่ราบ สำนักที่ยอดเยี่ยม ล้วนมาจากการไม่มีอะไร ค่อยๆก่อร่างสร้างขึ้นทีละเล็กทีละน้อย มีลูกศิษย์ จึงจะเรียกว่าสำนัก มีสำนัก โฮสต์จึงจะกลายเป็นเจ้าสำนักที่แท้จริง]
[รางวัล: มองทะลุ]
[เวลาจำกัด: 12 ชม.]
[หากภารกิจล้มเหลว: ไม่มีบทลงโทษ]
ใช้เวลาทั้งเช้ากว่าที่ จางหยู จะเข้าใจและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สนแม้แต่เรื่องกินอาหารเช้า รีบวิ่งลงไปที่ถนนเพื่อรับสมัครศิษย์ ผลก็คือ เพียงแค่ได้ยินชื่อสำนักคังเฉียง ทุกคนต่างพากันหลบหลีกราวกับเจอเทพกาฬโรค ท่าทางตอนหลบหนี ราวกับชิงชังที่ไม่มีขางอกมามากกว่านี้
มันมีเวลาเหลือเพียงแค่ชั่วโมงเดียวสำหรับภารกิจนี้ จางหยู ยังไม่อาจจะรับศิษย์ได้เลยแม้แต่คนเดียว
“ สำนักอื่นทำเพียงแค่รอที่สำนักก็จะมีคนไปขอเข้าร่วม แต่เจ้าสำนักอย่างข้ากลับมารับสมัครด้วยตัวเองแต่กลับไม่มีผู้ใดอยากเข้าร่วมด้วยเลย.......”
จางหยู รู้สึกท้อแท้อย่างมาก
“ ดูเหมือนว่าวิธีปกตินั้นจะไม่ได้ผล งั้นคงต้องใช้วิธีหลอกลวง”
ตอนที่จางหยูกำลังคิดวิธีการหลอกคนอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ขอโทษที่รบกวน เจ้าช่วยบอกได้รึไม่ว่าสำนักเฉินกวงไปทางไหน ? “
เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็พบกับเด็กสาวที่สีหน้าดูซื่อๆผู้หนึ่ง นางอายุประมาณ 14-15 ปี นางดูเหมือนดอกไม้ตูมที่ดูลึกลับและขี้อาย
เสียงนั้นอ่อนนุ่มและเบา ใบหน้าของนางค่อนข้างน่ารักซึ่งทำให้คนอดไม่ได้ที่จะอยากปกป้องนางเอาไว้
ตาของ จางหยู เป็นประกายขึ้นมา “กำลังสัปหงกก็พบหมอนแล้ว!” ความหมายคือ กำลังคิดวางแผนการอะไรบางอย่าง แล้วบังเอิญได้จังหวะพอดี
ถ้าหลอกเด็กสาวคนนี้ได้.....พาไปยังสำนักคังเฉียง เขาก็จะทำภารกิจของตัวเองให้เสร็จสิ้นได้
ตอนนั้นเองบทบาทจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่จางหยูเคยดูที่โลกก่อนก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา เขาแสดงท่าทีเย็นชาออกมาและพูดขึ้นเบาๆ “เจ้าจะไปที่สำนักงั้นรึ?” สำนักเฉินกวงนั้นเป็นสำนัก สำนักคังเฉียงเองก็เป็นสำนัก จางหยูคิดในใจอย่างเจ้าเล่ห์
“อืม” เด็กสาวพยักหน้าด้วยท่าทีเอียงอาย
นางดูเหมือนไม่ค่อยได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าโดยเฉพาะชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่าง จางหยู ถึงแม้ว่าเขาจะดูเย็นชาแต่นั่นก็ทำให้นางไม่กล้าที่จะถามต่ออีก
“ งั้นก็ไปกัน ตัวข้าเองก็เป็นครูฝึก ข้าจะพาเจ้าไปเอง” จางหยู มองไปที่เด็กสาวและหันกลับก่อนจะเดินออกไป
ในฐานะคนเพียงคนเดียวที่อยู่ในสำนักคังเฉียง เขาเป็นทั้งเจ้าสำนักและครูฝึก แต่คำที่ว่าครูฝึกที่ออกจากปากเขานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักเฉินกวงเลย
“ ได้ ! “
เด็กสาวแปลกใจเล็กน้อย นางไม่คิดเลยว่า แค่หาคนถามทางบนถนน จะบังเอิญพบกับครูฝึกของสำนักเฉินกวงเข้า
เมื่อเห็นว่า จางหยู เดินหายไปในฝูงผู้คน นางก็ไม่มีเวลาให้มัวคิด นางรีบเดินตามไปในทันทีเพราะกลัวว่าจะพลัดหลงกัน
....
หลังจากนั้นสักพัก
ชายหนุ่มในชุดขนสัตว์ได้เดินออกมาจากศาลาฉีเบ่าไม่ห่างออกไปไกลนัก เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะคิ้วขมวดเล็กน้อย “ เด็กสาวผู้นี้ นางวิ่งไปไหนกัน? ไม่ใช่ว่านางควรจะไปที่สำนักเฉินกวงรึไง ? “ เขาไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของนาง ในเมืองห่างไกลความเจริญเช่นนี้ คนที่กล้าหาเรื่องคนตระกูลอู่นั้น ไม่เคยมีแม้แต่ผู้เดียว
หลังจากที่มองไปรอบๆ จนแน่ใจว่านางได้จากไปแล้ว เด็กหนุ่มที่ถือกล่องของขวัญก็มุ่งหน้าไปยังสำนักเฉินกวงทันที
....
ป่าทึบแห่งนี้เป็นพื้นที่รกร้างที่ใหญ่ที่สุดของทวีปป่า เมืองฮวงตั้งอยู่บนภูเขาฝั่งทิศตะวันออกของป่าทึบ ซึ่งสถานที่ที่เชื่อมระหว่างเมืองฮวงกับป่าทึบ ก็คือที่ตั้งของสำนักคังเฉียง
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ สำนักคังเฉียงตั้งอยู่ฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตกของป่าทึบ ซึ่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์นั้นมีเอกลักษณ์และหายากมาก
หลังจากที่เดินขึ้นมาบนบันไดหินได้สักพัก จางหยู ก็หยุดและถอนหายใจออกมาก่อนจะหันกลับช้าๆแล้วพูดขึ้น “ เรามาถึงแล้ว ! “
ตอนที่เด็กสาวได้ยินแบบนั้น นางก็แสดงสีหน้าสงสัยและตะลึงออกมา “ ข้าได้ยินมาว่าสำนักเฉินกวงนั้นมีผู้แนะนำและศิษย์จำนวนมาก มันน่าจะคึกครื้นกว่านี้ ทำไมถึง....ดูไร้ผู้คนเช่นนี้ได้ ? “ นางสับสนเล็กน้อยแต่นางไม่ได้โง่
นางหันไปสำรวจรอบๆ ไม่ช้า ก็ไปสะดุดตากับป้ายหินขนาดใหญ่ ซึ่งป้ายหินนี้ดึงดูดความสนใจของเด็กสาวมาก บนป้ายหินแกะสลักตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้สี่ตัวอย่างเด่นชัด สำนักคังเฉียง
ดวงตาของนางชะงักค้างอยู่ที่ป้ายหินนานมาก จากนั้นก็หันไปมองด้วยดวงตาโง่งม พลางกล่าวว่า “ สำนักคังเฉียง ? ไม่ใช่ว่าคือสำนักเฉินกวงหรอกรึ ?”
เด็กสาวมองไปที่ จางหยู ด้วยสีหน้าโกรธ “ เจ้าโกหกข้า !”
“ ข้าบอกเจ้าว่าจะพาไปยังสำนักแต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะพาเจ้าไปยังสำนักเฉินกวง “ - จางหยู ค้านโดยไม่กล้าแม้จะมองสบตาของเด็กสาว
“ เจ้าโกหกข้า ! “
“ ข้าไม่เคยพูดถึงสำนักเฉินกวงมาตั้งแต่แรกแล้ว เป็นเจ้าที่คิดไปเอง” จางหยูดูหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยถึงแม้คำค้านของเขาจะฟังไม่ขึ้นก็ตาม
“เจ้าโกหกข้า !” เด็กสาวเม้มปากพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
จางหยูรู้สึกปวดหัวขึ้นมาและต้องพูดขึ้นว่า “ ก็ได้ ข้ายอมรับว่าข้าโกหกเจ้า “
แม้ว่าเขาจะใจอ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมแพ้
จากนั้นเขาก็ได้พูดขึ้นมา “แต่ข้าเองก็ห่วงเจ้า ดังนั้นข้าถึงได้โกหกเจ้าเช่นนี้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กสาวก็นิ่งไปและมองไปที่ จางหยู ด้วยสีหน้าสงสัย
“ ดูดีๆสิ ตึกในสำนักเฉินกวงนั้นสวยงามแบบนี้รึไง ? “ จางหยู ชี้ไปที่ตึกรอบๆโดยแต่ละตึกนั้นดูโดดเด่นและมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ้นเปลืองความคิดไปมากมาย ถึงแม้พื้นดินจะมีหญ้าขึ้นมากมายก็ตามแต่มันก็ยังให้ความงดงามในตัวมันอยู่ดี “สำนักคังเฉียงแห่งนี่มีสภาพแวดล้อมที่สงบสุข เจ้าคิดว่าสำนักเฉินกวงที่อยู่หลังภูเขาจะงดงามเช่นนี้รึไม่?” ด้านหลังของสำนักคังเฉียงเป็นป่าทึบ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมองเห็นวิวทิวทัศน์
จางหยู แอบมองไปที่เด็กสาวที่แสดงท่าทีใจอ่อนออกมาก่อนจะพูดต่อ “ เจ้าไม่คิดว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้นั้นเหมือนกับแดนสวรรค์รึไงกัน ? ไม่ใช่ว่ามันน่าพอใจรึไง ?”
เด็กสาวนิ่งไปและตะลึงกับฉากรอบตัว ความไม่พอใจก่อนหน้านี้ในใจของนางก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ
“ รึว่าเขา....จะพูดถูก ? “ เด็กสาวเริ่มลังเลขึ้นมาในใจ เมื่อเห็นนางลังเล จางหยู ก็พูดขึ้นมาทันที
“ เด็กสาวที่น่ารักเช่นเจ้านั้นต้องชอบสภาพแวดล้อมที่งดงามแบบนี้ไม่ใช่รึไง ? รึว่าเจ้าจะทนกับสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเช่นในสำนักเฉินกวง ? “
คำชมของ จางหยู ทำให้นางอายจนหน้าแดงขึ้นมาก่อนที่นางจะกระซิบขึ้น “ น่ารักจริงๆรึ ?”
นางพบว่า พี่ชายตรงหน้าก็ดูหล่อเหลาไม่เบา แถมยังมีวิสัยทัศน์ที่ดีอีกต่างหาก
“ แน่นอน ใครกันที่จะบอกว่าเจ้าไม่น่ารัก ข้า!จางหยู ผู้นี้จะจัดการเขาผู้นั้นเป็นคนแรก !” ใบหน้าของ จางหยู จริงจังขึ้นมาราวกับว่าเชื่อในคำพูดของตนเอง ถึงแม้ว่านางจะไม่น่ารักแต่เพื่อจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขาก็ต้องยอมทำทุกอย่าง
เมื่อเห็นสายตา’จริงใจ’ของ จางหยู ใบหน้าของเด็กสาวก็แดงขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับคิดในใจ “ พี่ชายผู้นี้มีนามว่า จางหยู ! “
หลังจากที่ปูทางมาขนาดนี้ จางหยูก็ไม่รอช้า เขารีบเอาใบสมัครออกมาและส่งมันให้กับนาง “ เชื่อใจข้าได้ เข้าร่วมสำนักคังเฉียงแห่งนี้ เจ้าจะไม่มีทางรู้สึกเสียดาย ! ลงชื่อของเจ้าไว้ที่นี่ได้เลย ! “
ตอนนั้นเด็กสาวสับสนจนถึงกับลงชื่อไปโดยไม่รู้ตัวลงในใบสมัคร อู่ซินซิน