เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่ 2 : ตระกูลอู่
ตอนที่ 2 : ตระกูลอู่
ทางเหนือของเมืองฮวง สำนักเฉินกวง
ในห้องรับสมัครอันหรูหรา อู่โม่ในชุดขนสัตว์ลุกขึ้นยืน พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปยังครูฝึกวัยกลางคนตรงหน้า “ ท่านหมายความว่าน้องสาวข้าไม่ได้มาที่สำนักเฉินกวงงั้นรึ ? ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้ล้อข้าเล่น? “
ครูฝึกชายวัยกลางผู้นี้คือคนที่รับผิดชอบในการรับศิษย์มีนามว่า โม่เทียนฉิว
เมื่อเห็นสีหน้าของอู่โม่ โม่เทียนฉิวก็เริ่มกังวลขึ้นมา “คุณชายอู่ ข้าได้ถามทุกคนแล้ว น้องสาวของท่านไม่ได้มาที่สำนักเฉินกวง” ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับอู่ซินซิน ทั้งเมืองคงตกอยู่ในความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่ แม้ว่าสำนักเฉินกวงจะไม่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ แต่ยังไงก็ต้องได้รับผลกระทบ
.....
สำนักคังเฉียง
ตอนที่อู่ซินซินได้ลงนามของตนลงไป เสียงในหัวของจางหยูก็ดังขึ้นมาทันที
[ภารกิจเสร็จสิ้น ท่านจะรับรางวัลหรือไม่ ? ]
“แน่นอนสิ!”
“รางวัล ‘มองทะลุ’ ได้ถูกส่งมอบแล้ว โปรดตรวจสอบด้วยตนเอง “
เมื่อเสียงโมโนโทนนั้นเงียบลง จางหยูก็รู้สึกได้ว่าตาของตัวเองเริ่มชา และร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสบร้อนไปทั่วดวงตา ประหนึ่งถูกกระแสไฟช๊อตขึ้นมา
ความรู้สึกนี้คงอยู่กว่า 2-3 วินาที ก่อนที่จะหายไป
จางหยูไม่ได้มีเวลามาตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขารีบเก็บใบสมัคร ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย “ ยินดีด้วย อู่ซินซิน จากนี้เจ้าคือคนของสำนักคังเฉียงแล้ว ! “
พูดจนปากเปียกปากแฉะไปตั้งนาน ในที่สุดก็หลอกล่อสาวน้อยผู้นี้เข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงจนได้
ไม่ง่ายเลย !
“ งั้นรึ ?”
ก่อนที่อู่ซินซินจะได้เปิดปากพูด จางหยูก็ต้องแปลกใจขึ้นมา เพราะตอนที่เขาจ้องไปที่อู่ซินซินนั้น มีข้อมูลมากมายที่เกี่ยวกับนางปรากฏขึ้นมาในหัว
[อู่ซินซิน]
[เพศ : หญิง]
[อายุ : 15 ปี]
[พรสวรรค์ทางกายภาพ : สายเลือดทั่วไป , สองดาวขั้นสูง]
[พรสวรรค์การรับรู้ : สองดาวขั้นต่ำ]
[พรสวรรค์พิเศษ : ไม่มี]
[การบ่มเพาะ : ฉีซวนขั้น 2]
ตอนนั้นเอง จางหยูถึงได้รู้ว่าเขาได้รับรางวัลที่ดีเพียงใด “ ดีจริงๆ ! นี่คือพลังของการมองทะลุงั้นรึ ? “
เพียงแค่มองอู่ซินซิน จางหยูก็รู้ข้อมูลพื้นฐานของนาง
สิ่งที่ทำให้จางหยูแปลกใจมากที่สุดก็คือ ทักษะมองทะลุไม่ได้มองเห็นแค่อายุและระดับการบ่มเพาะของอู่ซินซินเท่านั้น แต่ยังมองเห็นคุณสมบัติทางกายภาพ การรับรู้และพรสวรรค์พิเศษอีกด้วย
รางวัลที่ได้จากภารกิจครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า !
“จาง....ครูฝึก ท่านเป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นจางหยูนิ่งเงียบอยู่นาน อู่ซินซินก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเล็กๆของนาง ออกมาโบกไปมาตรงหน้าของจางหยู
จางหยูได้สติและกล่าวออกมาว่า “ เจ้ากลับไปก่อน ชั้นเรียนจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยมาหาข้าที่นี่ ส่วนค่าใช้จ่าย ค่อยมาพูดกันอีกทีพรุ่งนี้”
“ แต่...” สาวน้อยเหมือนจะมีคำถามที่ต้องการถามอยู่มากมาย
“ไม่มีแต่ เจ้าต้องรีบกลับไป ครอบครัวเจ้าคงเป็นห่วงแย่แล้ว” จางหยูค้านขึ้นมา
หากไม่รีบไล่นางกลับไปตอนนี้ เขากลัวว่าตัวเองคงต้องรู้สึกผิดขึ้นมาแน่ๆ
“ได้” อู่ซินซินมองไปรอบๆราวกับจะจดจำฉากในสำนักคังเฉียงไว้ในหัวใจ จากนั้นก็โบกมือเพื่ออำลาจางหยู “แล้วพบกันนะครูฝึก”
“อืม” จางหยูโบกมือตอบกลับ
....
บนถนนในเมืองทะเลทราย
หลังจากที่อู่ซินซินเดินออกจากสำนักคังเฉียงมา นางก็บังเอิญพบอู่โม่ที่เหงื่อท่วมตัวกำลังวิ่งอยู่บนถนนไม่ไกลจากตัวเองเท่าไร ดังนั้นนางจึงตะโกนเรียกเสียงดังว่า “ท่านพี่ !”
“ซินซิน!” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย อู่โม่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขารีบเดินเข้าไปหานางทันที
“ ท่านพี่ ท่านมาทำอะไรที่นี่ ?”
“ช่างหน้าไม่อายที่ถามเยี่ยงนี้ ! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะกระวนกระวายเช่นนี้รึ ?” อู่โม่ดุ ก่อนจะคิ้วขมวดแล้วถามออกมา “ เจ้าไปไหนมา ?”
ก่อนที่อู่ซินซินจะได้ตอบกลับ อู่โม่ก็พูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ กลับบ้านกันก่อน แล้วคอยคุยเรื่องนี้กันอีกที ท่านพ่อกับท่านแม่คงเป็นห่วงแย่แล้ว”
“โอ้” อู่ซินซินแลบลิ้นออกมา ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปอย่างเงียบๆ
เดินมาได้สักพัก อู่โม่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะหยุดและพูดกับชายวัยกลางคนข้างกายว่า “หวังป๋อ ในเมื่อซินซินกลับมาแล้ว คนที่เจ้าส่งออกไปตามหานางนั้น ให้เรียกกลับมาได้ เจ้ารับหน้าที่เป็นผู้ไปแจ้งข่าวเถอะ”
“ขอรับ นายน้อย” หวังป๋อตอบกลับ
.....
ตกดึก ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ คอยให้แสงสว่างกับเมืองทะเลทราย เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงทำให้ดูเหมือนดินแดนสวรรค์
ทางใต้ของเมืองทะเลทราย มีจวนที่หรูหราอยู่หลังหนึ่ง
หัวหน้าตระกูลอู่และคนอื่นๆนั่งอยู่ภายในห้องโถง คอยฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอู่ซินซินในวันนี้
“ซินซิน เจ้าพูดความจริงรึ ?” ใบหน้าของอู่เฉินผู้นำตระกูลอู่พลันเคร่งขรึม น้ำเสียงที่ได้ยินก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“ใช่”
อู่ซินซินตอบกลับเสียงเบา เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดา นางก็ไม่กล้าโกหกแต่อย่างใด
“ จางหยู ? เด็กน้อยฉีซวนขั้นที่ 4 ริอาจรับคนตระกูลอู่เป็นลูกศิษย์ ใครกันที่มอบความกล้าให้กับเขา?” อู่เฉินพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ “ชายหนุ่มผู้นี้กล้าถึงขนาดนั้นเชียวรึ ?”
ตระกูลอู่คือตระกูลที่มีอำนาจที่สุดในเมืองทะเลทราย แม้แต่สองสำนักอย่างสำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานที่มีลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์มากมาย ก็ยังไม่กล้าที่จะหาเรื่องตระกูลอู่เลย เห็นได้ชัดว่าอำนาจของตระกูลอู่นั้นมากมายเพียงใด
ในฐานะบุตรสาวของหัวหน้าตระกูลอู่ ต่อให้พรสวรรค์ของอู่ซินซินหรือคุณสมบัติในการบ่มเพาะไม่ได้เรื่อง แต่ทั้งสำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานก็พร้อมที่จะแย่งตัวนางเข้าสำนัก แต่ตอนนี้นางกลับถูกเจ้าเด็กนั่นใช้วาจาที่ไหลลื่นหลอกล่อให้เข้าสำนักคังเฉียง ช่างเป็นการกระทำที่น่าละอาย!
น่าละอายจริงๆ !
อู่โม่ก็โกรธเคืองเช่นกัน เขาได้พูดขึ้นมาว่า “ ท่านพ่อ ข้าจะนำคนไปสั่งสอนเจ้าเด็กนั่นพรุ่งนี้!”
ภรรยาของอู่เฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา นางไม่คิดจะสนับสนุนรึคัดค้านคำพูดของลูกชาย
“นั่น....” เมื่อเห็นสีหน้าที่โกรธเคืองของอู่เฉิน อู่ซินซินก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า “ ข้าคิดว่า สิ่งที่ครูฝึกจางพูดมานั้นมีเหตุผล....”
สำนักคังเฉียงมีสภาพแวดล้อมที่งดงาม และมีความสงบราวกับเป็นโลกที่ไร้มลทิน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีในการบ่มเพาะ
ตรงจุดนี้ นางได้เห็นกับตาของตัวเองแล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่จางหยูพูดมานั่นไม่นับว่าเกินเลยนัก
เมื่อได้ยินอู่ซินซินแก้ตัวแทนจางหยู อู่เฉินก็รู้สึกทั้งโมโหและขบขำ เขากล่าวด้วยสีหน้าจนใจว่า “ลูกสาวที่โง่เขลาของข้า! เจ้าไม่รู้รึไง ว่าเจ้าเด็กนั่นจงใจทำให้เจ้าเข้าใจผิด?”
ตัวเขานับว่าเป็นคนฉลาดที่สุดในรุ่น แต่คาดไม่ถึงเลยว่า บุตรสาวของตัวเองนั้นจะเบาปัญญาเช่นนี้
อู่ซินซินกระพริบตาปริบๆ ขนตายาวกระพือเล็กน้อย ก่อนจะช้อนสายตามองอย่างสงสัย “เข้าใจผิด?”
อู่โม่ถูกท่าทางใสซื่อของน้องสาวทำให้แสดงสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี เขาส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วถามย้อนไปว่า “ ซินซิน ข้าถามเจ้าหน่อย อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้บ่มเพาะ ?”
“พรสวรรค์ ? “ อู่ซินซินตอบกลับแบบไม่กระพริบตา
“พรสวรรค์คือสิ่งที่ถูกกำหนดมา ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้” อู่โม่พยักหน้าและถามต่อไปว่า “ นอกจากพรสวรรค์ล่ะ ?”
“ ความขยันงั้นรึ ?” อู่ซินซินคิดสักพัก ก่อนจะตอบกลับอย่างตั้งใจ
“ ....”
อู่โม่อดไม่ได้ที่จะกรอกตาใส่ ในใจก็แอบบ่นขึ้นมาว่า “แม้ว่าคำตอบนี้จะไม่ผิด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อ หรือสมองของนางได้รับการกระทบกระเทือน?”
หลังจากส่ายหน้าอย่างจนใจอีกครั้ง อู่โม่จึงกล่าวขึ้นมาว่า “มันคือทักษะและเคล็ดวิชา! “
“แม้ว่าตระกูลอู่ของพวกเราจะแข็งแกร่ง แต่เวลาในการเติบโตนั้นสั้นนัก มรดกของพวกเราจึงอ่อนแอกว่ามาก หากเทียบกับตระกูลโบราณที่อ่อนแอเหล่านั้น! ทักษะที่พวกเราใช้ ก็เป็นแค่ทักษะระดับวิญญาณขั้นต่ำอย่าง ‘เมฆาล่องลอย’ ส่วนเคล็ดวิชา ถ้าเป็นวิญญาณขั้นต่ำก็คือ ‘ชายเสื้อเมฆาล่องลอย’ ส่วนขั้นธรรมดาก็คือ ‘ฝ่ามือปารมิตา’”
“หรือจะพูดตรงๆว่า ในด้านของทักษะและเคล็ดวิชานั้น พวกเราตระกูลอู่ไม่ได้เปรียบผู้ใดเลย...”
“ทางเดียวที่พวกเราจะรักษาสถานะตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองทะเลทรายได้ นั่นก็คือเข้าร่วมกับสำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซาน เพื่อเรียนรู้ทักษะและเคล็ดวิชาที่ดีกว่าเดิม นี่ไม่ใช่แค่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตระกูลเท่านั้น แต่ยังยกระดับตระกูลขึ้นไปด้วย”
“แม้ว่าสำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานจะอ่อนแอกว่าตระกูลเราเล็กน้อย แต่สองสำนักนี้ก็นับว่าร่ำรวย พวกเขามีเคล็ดวิชาและทักษะระดับสูงอยู่มากมาย และเท่าที่ข้ารู้มา ตอนที่เกิดความวุ่นวายในสำนักคังเฉียง สำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานก็ใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ ด้วยการลอบขโมยเคล็ดวิชาและทักษะระดับสูงของสำนักคังเฉียงมาจำนวนไม่น้อย”
ตอนนั้นเอง อู่โม่ก็ถอนหายใจออกมา “ เจ้าเข้าใจรึยัง ? สำนักคังเฉียงอาจจะมีสภาพแวดล้อมที่ดี แต่มันขาดสองสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้บ่มเพาะ นั่นก็คือทักษะและเคล็ดวิชา!”
สำนักคังเฉียงใช่ว่าจะขาดทักษะและเคล็ดวิชา เพียงแต่ว่าทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้น มันไร้ค่า มีก็เหมือนไม่มี
อู่ซินซินตกตะลึงไปชั่วขณะ แน่นอนนางรู้ว่า ทักษะและเคล็ดวิชานั้นสำคัญมากเพียงใดต่อผู้บ่มเพาะ แต่ในตอนนั้นนางกำลังมึนงงและถูกวาจาของจางหยูหลอกล่อ จนลืมนึกถึงปัญหานี้ไป
“ที่แท้จาง....ชายคนนั้นโกหกข้า ! “
สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ราวกับจิตวิญญาณได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรง
“ขอโทษด้วยท่านพ่อ ท่านพี่ ข้า...ข้า...” ตาของอู่ซินซินแดงก่ำขึ้นมา
เมื่อเห็นสีหน้าโศกเศร้าของลูกสาว อู่เฉินก็รีบปลอบขึ้นมาทันที “ไม่เป็นไรหรอกซินซิน อย่าร้องไห้ไปเลย พ่อจะพาเจ้าไปที่สำนักเฉินกวงในวันพรุ่งนี้ เมื่อพ่อออกหน้า แม้ว่าจะเลยเวลารับคนไปแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธเจ้าหรอก สำหรับจางหยู อู่โม่เจ้าเป็นตัวแทนของซินซินไปพูดคุยกับเจ้าหมอนั่นซะ แค่สั่งสอนเล็กน้อยก็พอ...คราวหน้าคราวหลังเขาจะได้ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีก!” ตอนที่พูดประโยคนี้ เขาก็หันไปมองอู่โม่แวบหนึ่ง
“วางใจเถอะท่านพ่อ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” เมื่อเห็นสายตาของอู่เฉิน อู่โม่ก็เข้าใจทันที ก่อนจะพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าเขาเข้าใจคำพูดของอู่เฉิน สิ่งที่เรียกว่าสั่งสอน คงไม่พ้นเป็นการกล่าวเตือนทางวาจา อย่างไรเสีย อู่โม่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือจริงๆ
ต่อให้อู่เฉินจะไปด้วยตัวเอง เขาก็ไม่กล้าทำร้ายจางหยูหรอก
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา แม้ว่ากองกำลังอื่นๆจะเล่นลูกไม้กับสำนักคังเฉียง แต่ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวจางหยูเลยแม้แต่คนเดียว !
ตราบใดที่ยังไม่มีข่าวคราวของบิดาจางหยู ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวเขา!
ตอนนั้นเอง อู่ซินซินก็เงยหน้าขึ้น พร้อมกับสายตาอันมั่นคง “ ไม่ ข้าจะไปหาเขาที่สำนักคังเฉียงในวันพรุ่งนี้เอง!”
....
หลังจากที่จางหยูไล่อู่ซินซินกลับไปแล้ว เขาก็กลับมาที่บ้านของตัวเอง
ทันทีที่ไปถึงประตู ก็มีหมาบ้านขนสีเทาที่ยุ่งเหยิงวิ่งเข้ามา
[เสี่ยวเฉียง]
[เพศ : ผู้]
[อายุ : 3 ปี]
[พรสวรรค์ทางกายภาพ : ไม่มี]
[พรสวรรค์การรับรู้ : ไม่มี]
[พรสวรรค์พิเศษ : ไม่มี]
[ระดับการบ่มเพาะ : ไม่มี]
แน่นอนว่าทั้งสี่ค่านั้น...ไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยสักอย่าง!
“เสี่ยวเฉียง” จางหยูหัวเราะพร้อมกับลูบหัวหมาที่ส่ายหางอยู่ตรงหน้าเขา “หิวแล้วรึ? รอก่อน ข้าจะไปหาอะไรมาให้กิน”