px

เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่  7 : ขอบเขตว่อซวน


ตอนที่  7 : ขอบเขตว่อซวน

ด้านหน้าสำนักคังเฉียง

 

เมื่อจางหยูเดินมาถึง เขาก็เห็นสองพ่อลูกตระกูลอู่ ใบหน้าของพวกเขาแสดงสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวออกมา “แข็งแกร่ง?!”

***

[อู่เฉิน]

 

[เพศ : ชาย]

 

[อายุ :  49 ปี]

 

[พรสวรรค์ทางกายภาพ : สายเลือดทั่วไป  1 ดาวขั้นสูง]

 

[พรสวรรค์ในการรับรู้ : 3 ดาวขั้นต่ำ]

 

[พรสวรรค์พิเศษ : ไม่มี]

 

[การบ่มเพาะ : ฉีซวนขั้น 9]

***

แซ่อู่นี้หาพบได้ยากอย่างมาก และคนที่แซ่อู่ชื่อเฉิน ทั้งเมืองทะเลทรายก็มีอยู่แค่คนเดียว

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายวัยกลางคนตรงหน้า ก็คือนักสู้อันดับหนึ่งของเมืองทะเลทราย หัวหน้าตระกูลอู่ อู่เฉิน!

 

สายเลือดทั่วไป พรสวรรค์ทางกายภาพ 1 ดาวขั้นสูง”  จางหยูรู้สึกแปลกใจนิดๆ “พรสวรรค์ระดับนี้ แต่กลับสามารถบ่มเพาะถึงขอบเขตฉีฉวนขั้น 9 ในวัยสี่สิบได้ นับว่าไม่ง่ายเลย.....”

 

ดูเหมือนว่า สมัยหนุ่มๆอู่เฉินน่าจะเคยใช้ชีวิตผาดโผนมาก่อน

 

นอกจากนี้ พรสวรรค์ในการรับรู้ของอู่เฉินนั้น ก็น่าทึ่งมาก!

 

พรสวรรค์ในการรับรู้ ก็มีความหมายตามชื่อของมัน นั่นก็คือการเรียนรู้เคล็ดวิชา และพรสวรรค์การเข้าใจในเคล็ดวิชาจะดีกว่าคนทั่วไป ยิ่งพรสวรรค์ในการรับรู้สูง ความเร็วในการเรียนรู้เคล็ดวิชาก็ยิ่งไว และยังสามารถเข้าใจแก่นแท้ของวิชาได้ง่ายขึ้น การบ่มเพาะในช่วงหลัง คนที่มีพรสวรรค์ในการรับรู้สูง จะสามารถเข้าใจกฎของธรรมชาติได้ง่าย และสามารถควบคุมพลังของธรรมชาติได้ ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้บ่มเพาะแล้ว พรสวรรค์ในการรับรู้สำคัญกว่าพรสวรรค์ทางกายภาพซะอีก

 

หากมองในมุมนี้ อู่เฉินเองก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่เป็นอัจฉริยะอีกด้านหนึ่ง

 

“ระบบได้ตรวจจับว่าอู่เฉินมีพรสวรรค์ในการรับรู้ 3 ดาว และกำลังจะส่งภารกิจให้”

***

[ภารกิจ 3 : รับอู่เฉินเป็นศิษย์สำนักคังเฉียง]

 

[เพื่อสร้างสำนักที่ยิ่งใหญ่ จะต้องรู้จักประนีประนอม และใจกว้างดุจมหาสมุทร ในฐานะเจ้าสำนักแล้ว โฮสต์มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบด้วยการรับศิษย์อัจฉริยะ]

 

[รางวัล : พัฒนาพรสวรรค์ในการรับรู้ของโฮสต์เป็น 3 ดาวขั้นต่ำ]

 

[เวลาจำกัด : 12 ชม.]

 

[ภารกิจล้มเหลว : ไม่มีบทลงโทษ]

***

จางหยูคึกขึ้นมาทันที  “ ภารกิจมาอีกแล้ว !”

 

แต่หลังจากได้ยินรายละเอียดของภารกิจแล้ว จางหยูก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “ ระบบ แน่ใจนะว่าจะให้รับเขาเป็นศิษย์ ไม่ใช่ครูฝึก?”

 

นักสู้ฉีซวนขั้นที่ 9 ต้องมาเป็นศิษย์ของสำนักคังเฉียงงั้นรึ ?

 

ระบบสร้างเรื่องให้เขาแล้ว!

 

จางหยูเกาหัว ในใจรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย

 

ถ้าภารกิจนี้คือการรับอู่เฉินเป็นครูฝึกของสำนัก จางหยูก็ยังพอมั่นใจอยู่บ้าง อย่างน้อยๆก็อาจจะทำภารกิจสำเร็จ แต่นี่...รับเป็นศิษย์เนี่ยนะ คงไม่ไหวหรอก!

 

อีกฝ่ายเป็นถึงนักสู้ขอบเขตฉีซวนขั้น 9 ซึ่งจางหยูไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้

 

“น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คู่มือเขาในตอนนี้ หาไม่แล้ว คงทำภารกิจนี้สำเร็จแน่” จางหยูคิดในใจ

 

ถ้าพูดกันตามตรง พลังลึกลับในร่างกายของเขาค่อนข้างที่จะน้อยมาก ถึงแม้ว่าเขาจะทะลวงการบ่มเพาะได้แล้ว และพลังลึกลับก็เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังยากที่จะแสดงพลังออกมาได้

 

ถ้าหากไม่สามารถกำจัดศัตรูภายใน2-3วินาที คนที่โชคร้ายก็จะกลายเป็นเขาแทน

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางหยูก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

 

แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนจากวีรบุรุษ 3 วิเป็น 10 วิ แต่มัน....แตกต่างจากเมื่อก่อนมากแค่ไหนเชียว?

 

ตอนที่จางหยูแอบตรวจสอบอู่เฉินนั้น อู่เฉินเองก็ตรวจสอบจางหยูเช่นกัน “เขาปิดกั้นลมปราณไว้ ทำให้คาดเดาความแข็งแกร่งได้ยาก ดูเหมือนว่าโม่เอ๋อร์จะไม่ได้หลอกข้า เจ้าเด็กนี่อย่างน้อยๆก็น่าจะอยู่ขอบเขตฉีซวนขั้น 8 ” เขาไม่สามารถหยั่งเชิงการบ่มเพาะของอีกฝ่ายได้ แต่ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายอ่อนแอกว่าตัวเองไม่มากนัก

 

“น่าเสียดาย” สายตาของอู่เฉินแสดงความเสียดายออกมา

 

อัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นนี้ แต่กลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน

 

ผ่านไปสักพัก จางหยูก็ถอนสายตากลับ และมองไปยังอู่โม่ “ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องมาพรุ่งนี้รึไง ? ทำไมเจ้าถึงได้มาเร็วนักล่ะ ? รึว่าจะมาจ่ายค่าเรียน ?” เขายังนึกถึงค่าเรียนอยู่เลย

 

เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยู  อู่โม่ก็อดไม่ได้ที่จะกรอกตาเล็กน้อย “ในเวลาแบบนี้ เจ้าหมอนี่ยังเอาแต่คิดถึงเรื่องเงินอยู่เลย!”

 

โชคดีที่อู่ซินซินไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างงั้น ภาพลักษณ์พี่ชายสุดหล่อในใจของนางคงแตกสลาย

 

“ขออภัยด้วย ข้าคิดว่า...ข้าจะลาออกจากสำนัก” อู่โม่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง จากนั้นก็จ้องมองไปที่จางหยู

 

อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาเอาใบสมัครคืน หรือจัดการลาออกด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่า พวกเขาคุ้นเคยกับการทำตามกฎระเบียบ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน ตระกูลอู่ในฐานะตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองทะเลทราย แม้มีพันธมิตรมากมาย แต่ก็มีศัตรูไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

 

จางหยูคิ้วกระตุกเล็กน้อย “พวกเจ้าตระกูลอู่คิดจะทำอะไรกันแน่? จู่ๆก็มาขอลาออกอีกแล้ว!”

 

ค่าเรียนยังไม่จ่าย ก็คิดจะลาออกจากสำนักอีกแล้ว ใต้หล้านี้มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน!

 

ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่เห็นอู่เฉิน จางหยูก็พอเดาไว้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ เพียงแต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี

 

“จาง....ท่านเจ้าสำนัก นี่ไม่ใช่ความคิดของโม่เอ๋อร์ แต่เป็นความคิดของข้าเอง” ครั้งนี้อู่เฉินเป็นคนพูด เขาหันไปส่ายหน้าให้อู่โม่ จากนั้นก็หันมาพูดกับจางหยู

 

จางหยูมองไปที่อู่เฉิน และแสร้งทำสีหน้าเหมือนไม่รู้จัก จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ ท่านเป็นใคร ?”

 

“ข้าลืมแนะนำตัวเองไป ข้าชื่ออู่เฉิน เป็นบิดาของอู่โม่”

 

อู่เฉินแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เพราะเขารู้ว่า จางหยูจะต้องรู้จักชื่อของเขาอย่างแน่นอน ในเมืองทะเลทรายแห่งนี้ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อของเขา

 

“อ้อ” จางหยูพยักหน้าส่งๆ คล้ายกับว่าไม่สนใจ

 

เมื่อเห็นท่าทีของจางหยู สมองของอู่เฉินก็พลันสับสนขึ้นมา “ ‘อ้อ’ นี่ มันหมายความว่ายังไง ? แล้วนี่ตกลงรึไม่ตกลงกันแน่?” เขารู้สึกสับสนกับท่าทีของจางหยู

 

อู่เฉินจึงตัดสินใจพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าสำนักจาง ข้าต้องทำยังไงถึงจะสามารถจัดการเรื่องลาออกให้อู่ซินซินกับอู่โม่ได้? หากมีเงื่อนไขอะไร สามารถเสนอขึ้นมาได้!” เขาไม่ต้องการบีบคั้นจางหยูมากนัก

 

ตระกูลอู่มีกิจการใหญ่โตรุ่งเรือง หากต้องใช้เงินแก้ปัญหา พวกเขาก็ไม่มีปัญหา

 

จางหยูมองอู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าตระกูลอู่ ข้าสามารถตั้งเงื่อนไขอะไรก็ได้งั้นรึ ?”

 

“บอกมาได้เลย”

 

“เงื่อนไขของข้านั้นเรียบง่ายมาก ต้องจ่ายค่าเรียนของทั้งสองคนก่อน แล้วข้าจะจัดการเรื่องลาออกให้กับพวกเขา” จางหยูยิ้ม “เป็นไง เงื่อนไขนี้เรียบง่ายรึเปล่า ?”

 

อู่เฉินมองไปที่จางหยูด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง ก่อนจะหัวเราะออกมา “โม่เอ๋อร์ รีบไปจ่ายค่าเรียนของเจ้าซะ รวมไปถึงค่าเรียนของน้องสาวเจ้าด้วย” ในเมื่อเงินแค่ 20,000 เหรียญสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เขาก็คร้านที่จะเสียน้ำลายต่อรองต่อ เงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้ สำหรับตระกูลอู่แล้ว ก็เหมือนขนหนึ่งเส้นบนวัวเก้าตัว

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น อู่โม่ก็รีบหยิบธนบัตรหมื่นเหรียญออกมา 2 ใบ

 

แต่จางหยูกลับไม่ยื่นมือออกไปรับ ทั้งยังส่ายหน้าเล็กน้อย “จำนวนไม่ถูกต้อง”

 

“ไม่ใช่ว่าหมื่นเหรียญต่อปีรึไง?” อู่เฉินคิ้วขมวด  “เจ้าสำนักจางอย่ามาเล่นลิ้นกับข้า !”

 

จางหยูพูดขึ้นมาเบาๆ  “ ข้าขอโทษที หมื่นเหรียญต่อปีนั้นเป็นราคาของเช้าวันนี้ แต่ตอนนี้ ราคามันเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านเหรียญต่อปีแล้ว ! “

 

พอเจ้าเด็กนี่เปิดปากพูด ราคาก็ดีดขึ้นเป็นร้อยเท่า

 

1 ล้านเหรียญนี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แม้ว่าตระกูลอู่จะมีกิจการใหญ่โต แต่ก็ทำเงินได้ไม่ถึง 10 ล้านเหรียญต่อปี

 

ค่าเรียน 1 ล้านเหรียญต่อคน สองคนก็เท่ากับสองล้าน !

 

สีหน้าของอู่เฉินบิดเบี้ยวเล็กน้อย “เจ้าอยากจะลองดีกับข้ารึ ?”

 

แม้ว่าเงิน 2 ล้านเหรียญจะมาก แต่ตระกูลอู่ก็ใช่ว่าจะจ่ายไม่ได้ เพียงแต่ว่าอู่เฉินกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนดูถูกอยู่ และยังโดนปั่นหัวอีกด้วย

 

เขามองจางหยูด้วยความโกรธ

 

จางหยูทำราวกับไม่เห็นอาการโกรธของอู่เฉิน ใบหน้าเขายังคงสงบนิ่งเช่นเดิม “ค่าเข้าเรียนก็ 10,000 เหรียญ ค่าลาออกก็ 1 ล้านเหรียญ เลือกเอาเอง”

 

สีหน้าของอู่เฉินพลันมืดขรึม “ ถ้าข้าไม่เลือกทั้งสองอย่างล่ะ ?”

 

อารมณ์เขาจวนจะระเบิดอยู่แล้ว

 

“ไม่เลือกทั้งสองข้อ? งั้นก็ได้” จางหยูเองก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอู่เฉินจะต้องพูดแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เขาขยับไม้ขยับมือเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลง  จากนั้นแววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมา พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “หมัดเดียว....ตราบใดที่ท่านรับหมัดข้าได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง ข้ารับปากว่าข้าจัดการเรื่องลาออกให้กับอู่ซินซินและอู่โม่!”

 

ในฐานะนักสู้อันดับ 1 ของเมืองทะเลทราย ความแข็งแกร่งของอู่เฉินนั้น ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ถ้าหากเขาเอาจริงขึ้นมา แม้แต่จางหยูก็คงรับมือได้ไหว

 

แทนที่จะรอให้อู่เฉินฉีกหน้าเขา เขาเลือกลงมือก่อนจะดีกว่า

 

ยิ่งกว่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้พบนักสู้ขอบเขตฉีซวนขั้น 9 ดังนั้นจางหยูก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา  เขาต้องการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเอง และทดสอบพลังลึกลับในตัว

 

สำหรับอู่โม่และอู่ซิงซิงนั้น....

 

บนทวีปป่าอันกว้างใหญ่ มีอัจฉริยะอยู่นับไม่ถ้วน ประหนึ่งปลาในแม่น้ำ ดังนั้นสำนักคังเฉียง ไม่มีทางที่จะขาดลูกศิษย์ได้ แต่เป็นอู่โม่กับอู่ซิงซิงต่างหาก ที่พลาดโอกาสไป

 

“ จริงรึ ?”

 

อู่เฉินตื่นเต้นขึ้นมา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เงื่อนไขของจางหยูจะเรียบง่ายเช่นนี้

 

อย่าว่าแต่หมัดเดียวเลย ต่อให้เป็นสิบหมัดหรือร้อยหมัด สำหรับอู่เฉินแล้ว มันไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่า จางหยูนั้นแข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งของจางหยูจะเหนือกว่าเขาได้ยังไง?

 

“ดูเหมือนท่านจะตกลงสินะ งั้นก็ดี เตรียมตัวรับมือข้าเถอะ” จางหยูมองไปที่อู่เฉินอย่างใจเย็น “อย่าได้ตำหนิว่าข้าไม่เตือน หมัดของข้าแข็งแกร่งมาก แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังคาดเดาพลังของมันไม่ได้” เขาไม่รู้จริงๆว่าหมัดเขาทรงพลังแค่ไหน ที่พูดแบบนี้ไป ก็ไม่นับว่าหลอกลวงอู่เฉิน

 

“ ไม่จำเป็น ลงมือเลย” อู่เฉินโบกมือ ก็แค่หมัดเดียวไม่ใช่เหรอ เขาไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเตรียมตัวอะไร

 

อู่โม่ที่อยู่ข้างๆ เบิกตากว้างอย่างตกใจ และแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา

 

คนหนึ่งเป็นถึงนักสู้อันดับหนึ่งของเมืองทะเลทรายที่ทุกคนรู้จักกันดี ส่วนอีกคนคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีขอบเขตฉีซวนขั้น 8 หรือขั้น 9 เมื่อทั้งสองคนประมือกัน มันจะต้องเป็นอะไรที่น่าดูน่าชมมาก ไม่อาจพลาดได้

 

จางหยูหลับตาลง และถอนหายใจออกมาเบาๆ  เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาก็เปลี่ยนไป

 

ในร่างกายของเขา พลังลึกลับที่อยู่ในตันเถียนได้ปะทุขึ้นมาตามเส้นชีพจร ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ มันก็ไปรวมตัวกันที่หมัดของเขา

 

แรงกดดันอันน่ากลัวได้ไปรวมตัวกันที่หมัดของเขา จากนั้นก็แพร่กระจายไปทั่วสารทิศ

 

ยังไม่ทันปล่อยหมัดออกไป ก็สร้างแรงกดดันให้กับผู้คนแล้ว ราวกับจะแช่แข็งอากาศ!

 

เมื่อรู้สึกได้ถึงลมปราณที่แผ่ออกมาจากจางหยู  ใบหน้าของอู่เฉินก็เปลี่ยนไปทันที ในดวงตาของเขานั้นฉายแววไม่อยากจะเชื่อออกมา “นี่มัน...”

 

“เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน !” อู่เฉินมองไปที่จางหยูด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

 

ปราณหมุนวน!

 

เด็กวัยยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง จะมีปราณหมุนวนได้อย่าง?

 

ภาพลวงตา มันต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ !

 

ต้องรู้ว่า ปราณหมุนวงก็คือสัญญาณของนักสู้ขอบเขตว่อซวนเท่านั้น มีเพียงแค่นักสู้ที่สามารถทะลวงขอบเขตฉีซวนขั้น 9 ตันเถียนของพวกเขาจึงจะสามารถควบแน่นปราณหมุนวนได้ และเปลี่ยนจากลมปราณธรรมดาให้กลายเป็นปราณหมุนวน!

 

นักสู้ขอบเขตว่อซวนในวัยยี่สิบกว่าปี มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?

 

ความคิดของอู่เฉินเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาทันที

 

รีวิวผู้อ่าน