ตอนที่ 8 : รุ่นพี่?
จางหยูไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอู่เฉิน ตอนนี้เขารู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า แม้จะอยู่ห่างกัน 3 ฟุต แต่พลังลึกลับบนหมัดของเขา ก็ยังสามารถโจมตีถึงได้!
ความรู้สึกนี้จู่ๆก็เกิดขึ้นกะทันหัน และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่ะ!” จางหยูเปล่งเสียงร้องออกมาเบาๆ แม้ว่าอู่เฉินจะอยู่ห่างออกไปถึง 3 ฟุต แต่เขาก็สามารถต่อยไปที่อู่เฉินได้ โดยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะขยับตัว
ในเวลาเดียวกัน ขนอ่อนก็พลันลุกขึ้นราวกับพบเจอกับอันตราย ทำให้อู่เฉินได้สติขึ้นมาจากความสับสน
อู่เฉินราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง พริบตาเดียวเขาก็แสดงความสามารถที่ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมา ลมปราณในร่างกายราวกับคลื่นแม่น้ำที่เชี่ยวกราด มันกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แขนเสื้อที่ถักทอมาจากไหมกระพือไหวขึ้นมา แม้ว่าจะไม่มีลมก็ตาม
***
[ทักษะ : เมฆาล่องลอย (ระดับวิญญาณขั้นต่ำ มีทั้งหมด 10 ขั้น สามารถฝึกฝนถึงขอบเขตว่อซวนขั้นต่ำ มีข้อผิดพลาดเฉลี่ยขั้นละ 32 จุด)]
[เคล็ดวิชา : ชายเสื้อเมฆาล่องลอย (ระดับวิญญาณขั้นต่ำ มีข้อผิดพลาด 274 จุด)]
***
วินาทีนั้น พลังลึกลับที่ดูคล้ายกับปราณหมุนวน ก็พุ่งออกไปโจมตีอีกฝ่าย!
“ตูม!”
เมื่อสองพลังที่ยิ่งใหญ่ปะทะกัน ก็เกิดกระแสลมที่แปรปรวนขึ้นมา โดยที่มีอู่เฉินอยู่ใจกลางกระแสลมนั่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นการโจมตีที่รุนแรงมาก แม้ว่าจะอยู่ห่างกันถึง 3 ฟุต แต่ก็ยังยากที่จะประคองตัวเอาไว้ได้ ผมที่เกล้าบนศีรษะ สยายไปตามแรงลม ตรงบริเวณหลังแขนและใบหน้าบางส่วน ก็เปื้อนไปด้วยเลือด ทำให้เขาดูโหดเหี้ยมขึ้นมา
บริเวณรอบๆก็มีแต่ความเงียบเข้าครอบคลุม
ผ่านไปได้สักพัก
“พลังนี่แข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก” จางหยูพ่นลมหายใจออกมา บนใบหน้าที่ซีดขาว ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆขึ้นมา
หมัดนี้ช่างดุดันไร้ความปรานียิ่งนัก แม้แต่อู่เฉินที่เป็นนักสู้อันดับหนึ่งของเมืองทะเลทราย ก็ยังได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าถ้าเป็นการลอบโจมตีล่ะก็ แม้แต่ฉีซวนขั้น 9 ที่ไม่ได้เตรียมตัวให้ดี ก็มีสิทธิ์ตายได้
แต่น่าเสียดายที่พลังลึกลับในตัวเขาได้หมดลงแล้ว และไม่อาจโจมตีอีกครั้งในเวลาอันสั้นได้
ไม่ไกลออกไปนั้น อู่เฉินได้แสดงสีหน้าช็อกออกมา “นี่มันปราณหมุนวนจริงๆนี่น่า!”
ตอนที่ประมือกัน ในใจของเขาก็ยิ่งมั่นใจกับเรื่องนี้มาก ชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปีตรงหน้า เป็นนักสู้ว่อซวนคนหนึ่ง! เมื่อเทียบกับจางเฮ่าหลันผู้เป็นพ่อ จางหยูนั้นน่ากลัวกว่ามาก!
เสือไม่มีทางมีลูกเป็นหมาได้ !
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน บิดาของจางหยูได้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน ด้วยการบดขยี้อัจฉริยะทุกคนของเมืองทะเลทราย วันนี้ 20 ปีให้หลัง จางหยูก็ได้เปิดเผยพรสวรรค์ที่น่ากลัวยิ่งกว่าออกมา ทั้งๆที่อายุยังน้อย แต่กลับสามารถทะลวงขอบเขตว่อซวนที่ทุกคนในเมืองทะเลทรายได้แต่แหงนหน้าดูเท่านั้น
“ท่านพ่อ ....ท่านแพ้จริงๆหรือ?” อู่โม่รู้สึกมึนงงขึ้นมา เขามองอู่เฉินตาค้าง หัวสมองพลันว่างเปล่า
ในความทรงจำของเขานั้นอู่เฉินไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด แต่วันนี้เขากลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ได้โค่นล้มความรู้ทั้งหมดของเขา!
ตอนนี้ ภาพลักษณ์ของจางหยูในสายตาของพ่อลูกตระกูลอู่ ได้กลายเป็นตัวตนที่ลึกลับขึ้นมา
“อะแฮ่ม....นี่คือใบสมัครที่พวกท่านต้องการ” จางหยูทำตามที่รับปาก เขาโยนใบสมัครของอู่โม่กับอู่ซินซินไปให้อู่โม่ จากนั้นก็รักษาภาพลักษณ์ที่สูงส่งลึกลับ ด้วยการหมุนตัวเดินจากไป แม้ว่าขาทั้งสองข้างจะไร้เรี่ยวแรงก็ตาม
หนี ต้องรีบหนี !
เมื่อพลังลึกลับในตัวหมดลงไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากคนปกติทั่วไป หากไม่หนีตอนนี้ จะให้หนีตอนไหน?
ถ้ารอให้อู่เฉินได้สติกลับมา แล้วขอให้เขาแสดงมันอีกรอบ เขาคงโดนเปิดโปงแน่!
จางหยูต้องการจะหนี แต่ก็มีบางคนที่ไม่อยากให้เขาหนี อู่เฉินรีบตะโกนไล่หลังขึ้นมาว่า “ เดี๋ยวก่อน !”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน จางหยูก็ชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดจะหยุด กลับกันยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกของอู่เฉิน
“เจ้าสำนักจาง รอก่อน โปรดรอข้าก่อน!”
เมื่อเห็นว่าจางหยูไม่มีท่าทีว่าจะหยุด อู่เฉินก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา เขารีบเดินตามหลังไปติดๆ
เมื่อรู้สึกได้ว่าอู่เฉินกำลังไล่ตามมา จางหยูก็เริ่มลนลาน เขายังรู้สึกได้ว่าร่างกายยังคงไร้เรี่ยวแรงอยู่เหมือนเดิม แต่จางหยูก็ยังฝืนบอกตัวเอง ‘อย่าลน ใจเย็นๆไว้’
จางหยูหยุดฝีเท้า แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็หันกลับมามองไปอู่เฉินด้วยสายตาที่เย็นชา “หัวหน้าตระกูลอู่ ยังมีเรื่องอะไรอีกรึ ?”
อู่เฉินถูกสายตาที่เย็นชาของจางหยู ทำเอาตกใจกลัวขึ้นมา เขากล่าวอย่างสุภาพว่า “เจ้าสำนักจาง เมื่อกี้ที่ข้าล่วงเกินท่าน โปรดยกโทษให้แก่ข้าด้วย”
นักสู้ขอบเขตว่อซวน ไม่ใช่ตัวตนที่ตระกูลอู่จะสามารถยั่วยุได้!
อย่าว่าแต่ตระกูลอู่เลย ต่อให้ทุกขุมกำลังในเมืองทะเลทรายร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักสู้ว่อซวนเลย!
“คิดไม่ถึงเลยว่าข้าอู่เฉิน จะตามืดบอดได้ขนาดนี้!” ในใจของอู่เฉินรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ถ้าเขารู้ว่าจางหยูคือนักสู้ว่อซวนล่ะก็ เขาจะให้ลูกเขาออกจากสำนักคังเฉียงได้ยังไง? ความมืดบอดนี่ฆ่าคนได้ !
นี่มันเป็นเกียรติสำหรับตระกูลอู่ด้วยซ้ำ ที่ได้สานสัมพันธ์กับนักสู้ว่อซวน!
“ท่านพ่อ นี่มันอะไรกัน ?” อู่โม่เริ่มไม่เข้าใจความคิดของบิดาแล้ว
“โม่เอ๋อร์ ยังไม่รีบมาขอโทษท่านเจ้าสำนักจางอีกรึ!” อู่เฉินถลึงตาใส่อู่โม่ ในใจเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา จนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
อู่โม่สับสนเล็กน้อย นี่ข้าทำอะไรผิด ? ทำไมต้องขอโทษด้วย ?
แม้จะไม่เข้าใจความคิดของอู่เฉิน แต่อู่โม่ก็เชื่อฟัง และเดินเข้ามาก้มหัวให้จางหยูอย่างสุภาพ “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ท่านเจ้าสำนักจาง”
จางหยูมองสองพ่อลูกตระกูลอู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในหัวกลับปั่นป่วนขึ้น “สองพ่อลูกคู่นี้คิดจะทำอะไรกัน?”
เมื่อเห็นจางหยูยังคงเงียบ ก็ทึกทักเอาเองว่าจางหยูรับคำขอโทษของตัวเองแล้ว อู่เฉินพลันถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หยิบใบสมัครสองใบในมือของอู่โม่ ส่งกับให้จางหยู “ข้าลองคิดดูแล้ว การที่ให้โม่เอ๋อร์กับซินซินอยู่ในสำนักคังเฉียงต่อ น่าจะเหมาะสมกว่า มีแค่สำนักคังเฉียงเท่านั้น ที่จะทำให้ที่โม่เอ๋อร์กับซินซินได้รับการสั่งสอนที่ดีที่สุด ใบสมัครสองแผ่นนี้ โปรดรับมันไว้ด้วยท่านเจ้าสำนักจาง ถ้าหากท่านยังไม่หายขุ่นเคืองใจ ข้าก็ยินดีที่จะยอมรับผิดทุกอย่าง แต่โม่เอ๋อร์กับซินซินยังเด็ก เจ้าสำนักจางโปรดให้อภัยพวกเขาด้วย...”
ในใจของอู่เฉินมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือทำทุกอย่างเพื่อให้จางหยูยกโทษให้
เขาไม่อยากให้นักสู้ว่อซวนเกิดความประทับใจที่แย่ๆกับเขา!
แน่นอนว่า ถ้าหากสามารถเป็นพวกเดียวกับนักสู้ว่อซวนได้ จะดีมาก!
“หรือเขาจะเข้าใจผิดว่าข้าเป็นนักสู้ว่อซวน ดังนั้นก็เลยกลัวข้าขึ้นมา?” เมื่อจางหยูได้สติขึ้นมา เขาก็เริ่มคาดเดาเรื่องราวทั้งหมด
ต้องรู้ว่า ท่าทีก่อนหน้านี้ของอู่เฉิน ไม่ได้เป็นเช่นนี้!
เมื่อคิดแบบนั้น จางหยูก็ใจเย็นลง เขาไม่ได้รีบรับใบสมัครกลับมา แต่ทว่ากลับยิ้มออกมาแทน “ไม่ใช่ว่าหัวหน้าตระกูลอู่ต้องการให้อู่โม่กับอู่ซินซินลาออกจากสำนักงั้นรึ ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น อู่เฉินก็หน้าแดงขึ้นมา เขารู้สึกอึดอัดเล็กน่ย “ เอ่อ คือ...”
จางหยูไม่สนใจจะฟังคำอธิบายของอู่เฉินอยู่แล้ว เขาโบกมือและพูดขึ้นมาเบาๆว่า “ เอาล่ะ ข้าไม่คิดจะฟังคำอธิบายของท่านหรอก ข้ารับมันคืนก็ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ถ้าท่านไม่รับ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” สำนักคังเฉียงก็ยังคงเป็นสำนักคังเฉียง แต่เขาจางหยูไม่ใช่จางหยูคนเดิม ถ้าเขาตกลงง่ายๆ ความน่าเชื่อถือของเขาก็จะลดลง
เขาต้องการใช้เรื่องนี้บอกอู่เฉินให้รู้ว่า สำนักคังเฉียงนั้น ไม่ใช่ที่ที่ใครนึกจะเข้าก็เข้า นึกจะออกก็ออก!
อู่เฉินกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “ เงื่อนไขอะไร?”
“สำนักคังเฉียงอยู่ในเมืองนี้มาหลายปีแล้ว และเคยมีธุรกิจมากมาย แต่บัดนี้ กลับไม่เหลืออะไร...” ในขณะที่อู่เฉินคิดว่าจางหยูคิดจะฉวยโอกาสรีดเคล้นสมบัติของตระกูลอู่ จู่ๆน้ำเสียงของจางหยูก็พลันเปลี่ยนไป “เฮ้ออ...สมบัติอะไรนั้น หากไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ลูกศิษย์กับครูฝึก กลับไม่อาจขาดหายไปได้....”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักจาง ข้ายินดีที่จะเป็นครูฝึกให้กับสำนักคังเฉียง” ก่อนที่จางหยูจะพูดจบ อู่เฉินก็รีบพูดแทรกขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องที่ยากจะรับได้ กลับกันยังเป็นเรื่องที่น่ายินดีซะด้วยซ้ำ
สำนักที่มีนักสู้ขอบเขตว่อซวนนั้น การได้เป็นครูฝึกของที่นี่ ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่อัปยศแต่อย่างใด
ใครจะไปรู้ว่า จางหยูกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมาแทน “ไม่ ท่านคิดผิดแล้ว เงื่อนไขของข้าก็คือการที่ท่านเข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงในฐานะ....ลูกศิษย์ ! “
“ศิษย์ ?” อู่เฉินมองจางหยูด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ท่านได้ยินถูกแล้ว ลูกศิษย์ !”
“นี่มัน มัน....”
อู่เฉินคิ้วขมวด เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบอย่างไรดี
กระทั่งอู่โม่ก็ยังตะลึงจนตาค้าง
มีเงื่อนไขบ้าบอแบบนี้ด้วยรึ ?
“ทำไม ยากไปงั้นรึ ?” จางหยูเข้าใจความคิดของอู่เฉินดี แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นเงื่อนไขของระบบนะ และเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ จางหยูส่ายหัวและเลิกคิดทุกอย่าง “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง สำนักคังเฉียงนั้นมีข้อกำหนดที่สูงมากในการรับครูฝึก บางทีท่านอาจจะผ่านข้อกำหนดนั้นได้ในอนาคต แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ดังนั้นท่านควรเริ่มต้นจากการเป็นศิษย์ก่อน!”
อู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ ในใจก็นึกอยากปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่าจางหยูจะไม่พอใจ
ศิษย์อายุกว่า 40 กว่าปี ไม่ใช่ว่าไม่มี เท่าที่เขารู้มา ในทวีปป่าอันกว้างใหญ่ ขุมกำลังหรือสำนักที่แข็งแกร่งบางแห่ง ในบรรดาศิษย์จำนวนมากมายนั้น อย่าว่าแต่อายุ 40 กว่าปีเลย กระทั่งศิษย์อายุร้อยกว่าปีก็มี และไม่ใช่จำนวนน้อยๆเท่านั้น อีกอย่างทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งทั้งนั้น
แต่เห็นได้ชัดว่า....สำนักคังเฉียงไม่ได้อยู่ในนั้น!
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ลูกชายของเขาก็เป็นศิษย์ของสำนักคังเฉียงเช่นกัน ลูกสาวเขาเองก็ด้วย ถ้าหากเขาผู้เป็นบิดาตอบตกลง...ก็เท่ากับว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของลูกชายกับลูกสาวนะสิ?
ถ้าตอบรับเงื่อนไขของจางหยู หลังจากนี้ลูกชายและลูกสาวของเขาจะเรียกเขาว่าอะไร?
ท่านพ่อ ?
รุ่นพี่?
ศิษย์พี่ ?
เขาแทบไม่อยากจะนึกถึงภาพนี้เลย
อู่เฉินส่ายหน้าและตัดสินใจในทันที “ ปฏิเสธ ข้าต้องปฏิเสธ !”
ต่อให้ตาย ก็ไม่ยอมเสียเกียรติ!
เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของจางหยู อู่เฉินก็กัดฟันแน่นและพูดขึ้นมาว่า “เจ้าสำนักจาง ท่านต้องการฟื้นฟูสำนักคังเฉียงขึ้นมานั้น ข้าเข้าใจแต่...” อู่เฉินพูดไปพลาง ก็สังเกตสีหน้าของจางหยูไปพลาง เมื่อเห็นอีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนไป แววตาของจางหยูทวีความเย็นชามากขึ้น หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ คำพูดที่จะกล่าวต่อไปก็จุกอยู่ที่ปาก จากนั้นเขารีบกลับคำพูดแทบไม่ทัน “แต่ข้าชื่นชมในการตัดสินของท่าน ดังนั้น ข้าเต็มใจที่จะเป็นศิษย์ของสำนักคังเฉียง !” อู่เฉินกล่าวออกมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ จนน่าเลื่อมใสอย่างบอกไม่ถูก
“ตกลง ?” อู่โม่มองอู่เฉินด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นี่ใช่บิดาเขาคนเดิมรึเปล่า ? ทำไมถึงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ ?
จางหยูยิ้มออกมาอย่างพอใจ รอยยิ้มของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกระแสลมที่อบอุ่น “ไม่เลว ท่านตัดสินใจได้ฉลาดมาก”
อู่เฉินแอบเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เมื่ออยู่ต่อหน้าจางหยู เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
ช่องว่าระหว่างขอบเขตฉีซวนกับว่อซวนนั้น มันต่างกันเกินไป ต่อให้เป็นนักสู้ว่อซวนขั้นต่ำ ก็สามารถจัดการนักสู้ฉีซวนขั้น 9 ได้อย่างง่ายได้ อู่เฉินจำได้ดีว่า ตอนที่ประมือกับจางหยูนั้น จางหยูไม่ได้ใช้แม้กระทั่งเคล็ดวิชาในการต่อสู้ มันเป็นแค่หมัดธรรมดาๆเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เขาแทบจะต้านทานไม่ไหว ถ้าหากจางอยู่แสดงเคล็ดวิชาออกด้วยนั้น อู่เฉินเกรงว่าตัวเขาเองก็อาจจะไม่รอด
มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะพ่ายแพ้ให้กับนักสู้ว่อซวน
“ดี เมื่อท่านตกลง ข้าก็ยินดีที่จะรับใบสมัครสองแผ่นนี้คืน” หลังจากที่จางหยูรับใบสมัครของอู่โม่และอู่ซินซินกลับมา เขาก็หยิบใบสมัครใบใหม่ออกมาจากแขนเสื้อ และยื่นไปให้อู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “ใบนี้ของท่าน เซ็นซะสิ”