ตอนที่ 11 : เด็กตระกูลหลินที่ถูกทอดทิ้ง
“งั้นก็ดี เอาล่ะคาบแรกได้จบลงตรงนี้ แล้วค่อยกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้” จางหยูวางมาดเย็นชา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อู่เฉินตามตื้อ
ตอนนั้นเอง เสียงโมโนโทนอันเป็นเอกลักษณ์ของระบบก็ดังขึ้นมาในหัวจางหยูอีกครั้ง
“ระบบได้ตรวจจับว่ามีศิษย์น้อยกว่า 10 คนในสำนักคังเฉียง และกำลังจะส่งภารกิจ”
***
[ภารกิจ 4 : เพิ่มจำนวนศิษย์ของสำนักคังเฉียงให้ถึง 10 คน]
[การจะเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ จะต้องมีขนาดที่เหมาะสม ศิษย์เพียงแค่ 3 คน จะทำให้สำนักคังเฉียงเติบโตขึ้นได้อย่างไร? โฮสต์จะต้องรับสมัครศิษย์เพิ่ม และขยายอำนาจของสำนัก ยิ่งสำนักมีอำนาจมากเท่าไหร่ เจ้าสำนักก็ยิ่งมีอำนาจมากเท่านั้น]
[รางวัล : สัญญานภา]
[เวลาจำกัด : 72 ชม.]
[ภารกิจล้มเหลว : ไม่มีบทลงโทษ]
***
“ภารกิจนี้ไม่ได้ยาก เวลาเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” จางหยูไม่กังวลอีกต่อไป เขามั่นใจว่าจะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จอย่างแน่นอน “ไม่รู้ว่า ‘สัญญานภา’ มันคืออะไร...”
ระบบได้อธิบายขึ้นมาทันทีว่า “สัญญานภาคือใบสมัครพิเศษ ศิษย์ทุกคนที่ลงชื่อบนใบสัญญานี้ จะภักดีต่อสำนักคังเฉียงไปชั่วชีวิต ต่อให้คนคนนั้นจะสำเร็จการศึกษา และออกจากสำนักคังเฉียงไปแล้ว แต่ก็ยังคงจงรักภักดีต่อสำนักไม่เสื่อมคลาย”
ทันทีที่จางหยูได้ยินแบบนั้น เขาก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ “นี่มันน่าทึ่งจริงๆ!”
ศิษย์ที่ลงนามในสัญญานี้จะภักดีต่อสำนักคังเฉียงไปชั่วชีวิตงั้นรึ?
“ ของดี !” จางหยูแทบอดใจรอไม่ไหว “ ข้าต้องเอามันมาให้ได้!”
เมื่อสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของจางหยู อู่เฉินก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านเจ้าสำนัก งั้นพวกข้าไปนะ?”
จางหยูหันกลับมามองอู่เฉินด้วยแววตาที่เป็นประกาย บนใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่นุ่มนวลขึ้นมา “เดี่ยวก่อนสิอู่เฉิน ท่านผู้นำตระกูลอู่! เจ้าไม่คิดหรือว่า สำนักของพวกเรามีศิษย์น้อยเกินไป?”
“เจ้าสำนัก หากท่านต้องการอะไรก็ว่ามาได้เลย !” ต่อหน้าจางหยู อู่เฉินไม่กล้าเรียกตัวเองว่าผู้นำตระกูล
“ได้ ข้าแค่จะบอกว่า สำนักคังเฉียงต้องการศิษย์มากกว่านี้ แต่ข้าเป็นเจ้าสำนักจึงไม่สะดวกออกหน้า ดังนั้น....ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” จางหยูมองไปที่อู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูลอู่ ย่อมรู้จักคนมากกว่าข้า และมีอำนาจมากกว่าข้า แค่พูดไม่กี่คำ ก็น่าจะรับสมัครศิษย์ให้กับสำนักคังเฉียงได้เป็นจำนวนมาก”
“นี่มัน...” จริงๆแล้ว อู่เฉินต้องการจะปฏิเสธ
สำหรับเขาแล้ว สำนักคังเฉียงคือเนื้อชิ้นโตที่เขาไม่ต้องการจะแบ่งให้ใคร
แต่เขาก็รู้ว่า เรื่องแบบนี้ตัวเขาเองก็ไม่อาจขัดขวางได้ ต่อให้เขาปฏิเสธ ทว่าจางหยูก็จะรับคนเพิ่มเข้ามาด้วยวิธีอื่นแทน
และแทนที่จะเป็นแบบนั้น มันจะดีกว่าถ้าหากเขาจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำให้จางหยูพอใจ แต่เป็นฝ่ายรุกแทนที่จะรอตั้งรับเพียงอย่างเดียว
ความคิดมากมายไหลเข้ามาในหัว สุดท้ายอู่เฉินก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ในเมื่อเจ้าสำนักเชื่อใจข้า งั้นก็ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง !”
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือ....เจ้าจะต้องรับสมัครศิษย์ 7 คนภายในเวลาสองวัน” จางหยูพูดเน้นขึ้นมา
ไข่ไก่ไม่สามารถวางไว้ในตะกร้าใบเดียวได้ฉันท์ใด จางหยูก็ไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่อู่เฉินได้ฉันท์นั้น ระบบกำหนดเวลาไว้แค่สามวัน ดังนั้นเขาจึงตั้งเงื่อนไขให้อู่เฉิน 2 วัน โดยเหลือสำรองไว้อีกวันหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าเฒ่าทารกนี้จะเล่นอุบายลับหลังเขาหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยๆเขาก็ยังมีเวลาแก้ไขปัญหาเหลืออยู่
....
ตอนบ่าย จางหยูเรียกอู่โม่ให้อยู่ต่อ เพื่อสอนเรื่องการปรุงยา
แต่ไหนแต่ไรมาอู่โม่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องการปรุงยามาก่อน ดังนั้นตอนที่ได้ยินจางหยูบอกว่าเขามีพรสวรรค์ในการปรุงยา เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อ “ข้ามีพรสวรรค์ในการปรุงยา?”
นักปรุงยา เป็นอาชีพที่มีฐานะสูงส่ง และตอนนี้ เขาก็มีหวังที่ได้จะเป็นนักปรุงยาอย่างนั้นหรือ?
เรื่องที่น่าประหลาดใจเช่นนี้ ทำให้อู่โม่รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นของอู่โม่ จางหยูก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ยังไงซะเมืองแห่งนี้ก็เล็กและห่างไกลเกินไป ถ้าอู่โม่เกิดในเมืองหลวงอย่าง‘เมืองเสียนตัน’ พรสวรรค์ด้านการปรุงยาที่เขามี อาจจะถูกพบไปก่อนหน้านี้แล้ว” เมืองทะเลทรายตั้งอยู่ที่ชายแดนของราชวงศ์โจว มีผู้แข็งแกร่งเพียงน้อยนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักปรุงยาที่มีจำนวนน้อยยิ่งกว่านักสู้หลายเท่า
เมื่อได้สติกลับมา จางหยูก็อธิบายความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการปรุงยาให้อู่โม่ฟัง จากนั้นก็เริ่มทำการปรุงยาให้อู่โม่ดู
“ระบบได้ตรวจจับว่า โฮตส์กำลังสั่งสอนการปรุงยาอยู่และกำลังจะส่งภารกิจ”
***
[ภารกิจ 5 : ฝึกฝนนักปรุงยา 1 ดาว]
[สำนักที่ยิ่งใหญ่ จะต้องดึงศักยภาพของลูกศิษย์ออกมา ด้วยการอบรมพวกเขาไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทำให้ศิษย์ทุกคนได้มีโอกาสพัฒนาพรสวรรค์พิเศษของเขาให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น]
[รางวัล : ทักษะปรุงยา 2 ดาว]
[เวลาจำกัด : 1 เดือน]
[ภารกิจล้มเหลว : ไม่มีบทลงโทษ]
***
แม้ว่าจางหยูจะได้ยินเสียงจากระบบ แต่ก็ไม่ได้วอกแวกแต่อย่างใด เขายังคงเพ่งสมาธิไปกับการปรุงยาต่อ
อู่โม่เห็นจางหยูจดจ่ออยู่กับการปรุงยา ก็รู้สึกตกใจขึ้นมา “ เจ้าสำนักยังเป็นนักปรุงยาอีกด้วย!”
ต่อให้เป็นแค่นักปรุงยา 1 ดาว แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สูงส่งอยู่ดี!
....
ตระกูลหลิน เป็นหนึ่งในตระกูลขั้นสองของเมืองทะเลทราย แม้ว่าจะเทียบกับขุมกำลังที่แข็งแกร่งทั้ง 5 อย่างตระกูลอู่ ตระกูลเจ้าเมือง นิกายอินทรีย์ทองคำ สำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถมองข้ามได้ นอกจากนี้ผู้นำตระกูลหลินยังเป็นนักสู้ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 8 และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำตระกูลอู่อีกด้วย แม้แต่ขุมกำลังชั้นสูงอย่างตระกูลเจ้าเมือง นิกายอินทรีย์ทองคำและสำนักอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะหาเรื่องตระกูลหลินได้ง่ายๆ
ด้านหลังของจวนตระกูลหลินมีป่าไผ่อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งข้างๆของป่าไผ่ยังมีลำธารเล็กๆอยู่สายหนึ่ง
ตอนนั้นเอง ก็มีเด็กหนุ่มอายุประมาณ 16 ปีคนหนึ่ง กำลังนั่งตกปลาอยู่ที่ริมธาร มุมปากของเขายกยิ้มนิดๆ เหมือนกับจะเยาะเย้ยตัวเอง
“อีกหนึ่งเดือน ข้าก็จะอายุครบ 16 ปีแล้ว” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความไม่ยินยอม “พออายุครบ 16 ปี ข้าก็จะถูกส่งไปที่ตลาดฝั่งตะวันออก....เพื่อไปเป็นหลงจู๊!”
เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นจนนิ้วซีด เพราะออกแรงมากเกินไป “หลงจู๊! หึหึ...ที่จริงแล้ว ข้าไม่ยินดีเลยสักนิด!”
สำหรับคนทั่วไป หากชีวิตนี้ได้เป็นถึงหลงจู๊ ก็คุ้มค่าแก่การฉลองแล้ว แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่เคยเห็นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เขาจะยินดีที่ได้เป็นแค่หลงจู๊ได้ยังไง?
หลงจู๊ คำๆนี้สำหรับตระกูลหลินแล้ว...มันคือการดูถูกอย่างหนึ่ง
ตระกูลหลินอยู่ในเมืองทะเลทรายแห่งนี้มากว่าร้อยปีแล้ว พวกเขาได้แตกกิ่งก้านสาขา มีผู้คนมากมาย และมีทรัพย์สมบัติที่สมบูรณ์ ภายในตระกูลหลิน เด็กที่ไม่มีพรสวรรค์จะถูกตระกูลทอดทิ้ง และถูกส่งไปเป็นหลงจู๊เพื่อดูแลร้าน
อาจจะพูดได้ว่า หลงจู๊ของตระกูลหลินทุกคน ล้วนอยู่ห่างจากศูนย์กลางอำนาจของตระกูลหลิน
เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนแรกที่ถูกส่งออกไปเป็นหลงจู๊ และจะไม่ใช่คนสุดท้ายอีกด้วย…
“1 เดือน ข้ายังสามารถเพลิดเพลินไปกับความสบายเช่นนี้อีกแค่ 1 เดือน” เด็กหนุ่มนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจออกมา ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ กลับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดที่วัยของเขาไม่ควรจะมี
ตอนนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ ว่ายังไง หลงจู๊หลินหมิงของพวกเรา กำลังคิดถึงชีวิตของตัวเองอยู่รึไง?”
หลินหมิงไม่ได้หันไปมอง แค่ฟังจากเสียงเขาก็รู้ว่าแล้วว่าใครกำลังเดินมาหา
“รีบๆพูดธุระออกมา แล้วรีบไสหัวไปซะ” หลินหมิงแกว่งเบ็ดในมือ พลางกล่าวอย่างเฉยเมย
“สวะไร้ค่าที่บ่มเพาะพลังมาตั้ง 4 ปี แต่กลับไม่สามารถทะลวงขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 1 ได้อย่างเจ้า มีสิทธิอะไรมาเถียงข้า ?” หลินเซินแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา จากนั้นก็หัวเราะขำแล้วพูดขึ้นมาว่า “โอ้ ข้าพูดผิดไป หลงจู๊หลินหมิงว่าที่หลงจู๊ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต ข้าควรจะหาทางเอาใจเจ้าสินะ บางทีตอนที่ข้าไปซื้อของที่ร้านของเจ้า เจ้าจะได้ลดราคาให้กับข้าบ้าง”
หลินหมิงปล่อยเบ็ดในมือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วจ้องไปที่หลินเซิน พลางพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าสวะไร้ค่า งั้นเจ้าก็แสดงฝีมือให้คนไร้ค่าอย่างข้าดูได้รึเปล่า ?” คำถากถางประเภทนี้ หลินหมิงได้ยินมานับไม่ถ้วน มันเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาเรื่อยมา
เมื่อเห็นท่าทางที่สงบนิ่งของหลินหมิง หลินเซินก็หมดความสนใจทันที เขาเบะปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ก็ได้ ข้าก็ขี้เกียจพูดมากกับเจ้าเหมือนกัน ท่านผู้นำตระกูลให้ข้ามาเรียกเจ้าไปพบที่ห้องโถง”
“ ห้องโถง ?” หลินหมิงขมวดคิ้ว ในสายตาแสดงความสงสัยออกมา “ไม่ใช่ว่ายังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนรึไง? แล้วทำไมถึงเรียกข้าให้ไปพบตอนนี้?”
หลินเซินยักไหล่ “ ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ? บางทีเขาคงอยากให้เจ้าไปเป็นหลงจู๊เร็วๆ !”
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของหลินเซิน หลินหมิงก็ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องโถงทันที
....
ตอนที่หลินหมิงมาถึงห้องโถง ภายในห้องโถงอันว่างเปล่าก็มีแค่ผู้นำตระกูลเท่านั้น
ผู้นำตระกูลมีนามว่าหลินจ้าน เขาเป็นชายแก่ผมสีเทาคนหนึ่ง ตามลำดับผู้อาวุโสแล้ว หลินหมิงควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าปู่รอง เพราะว่าปู่แท้ๆของหลินหมิงนั้นเป็นพี่ชายคนโตของผู้นำตระกูล
“ เจ้ามาแล้วรึ” หลินจ้านหันกลับมามองที่หลินหมิง ในดวงตาแสดงความสงสารออกมา ตระกูลหลินมีลูกหลานมากมาย แต่ในบรรดาลูกหลานเหล่านั้น แทบจะหาคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นไม่เจอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งตระกูลหลิน มีคนไม่กี่คนที่สามารถเทียบกับหลินหมิงในด้านนี้ได้ แต่น่าเสียดาย....ที่พรสวรรค์ของเขานั้นย่ำแย่เกินไป
หลินหมิงไม่สนใจสายตาที่มองมาของหลินจ้าน เขาทำความเคารพอย่างสุภาพ “ท่านผู้นำ”
หลินจ้านพยักหน้าพร้อมกับลูบหนวดเบาๆแล้วถามขึ้นมาว่า “ หลินหมิง เจ้าเคยเกลียดข้ารึเปล่า ?”
“ เกลียดท่าน?” หลินหมิงมองไปที่หลินจ้านอย่างสงสัย
“ข้าไม่ให้โอกาสเจ้าบ่มเพาะพลังต่อ และส่งเจ้าไปเป็นหลงจู๊ที่ตลาดฝั่งตะวันออก” หลินจ้านเปิดหัวข้อที่ละเอียดอ่อนอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าไม่เคยเกลียดท่าน เพียงแค่...ไม่ยินยอมอยู่บ้าง” หลินหมิงส่ายหน้า
“หมายความว่าอย่างไร?”
“พรสวรรค์ข้าเป็นเช่นไร ข้าเองก็รู้ดี ต่อให้บ่มเพาะพลังต่อก็มีแต่จะเสียเวลา แต่บางครั้งในส่วนลึกของจิตใจข้า ก็ยังเกิดความหวังเล็กๆว่า สักวันหนึ่งตัวเองอาจจะโชคดีก็ได้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี” แม้ว่าหลินหมิงจะยังเด็ก แต่สติปัญญาของเขากลับโดดเด่นมาก “แทนที่จะรอให้ข้าชนกับกำแพงแห่งความเสียใจ มันจะดีซะกว่าหากข้าเปลี่ยนไปทางอื่น แม้ว่าท่านจะตัดเส้นทางการบ่มเพาะของข้า แต่ก็ยังมอบเส้นทางอื่นให้ข้าแทน อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่ซุกหัวนอน แค่นี้ก็ดีสำหรับข้าแล้ว”
แม้จะถูกตระกูลหลินทอดทิ้ง แต่ก็ยังกินดีอยู่ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป ในทางกลับกัน ถ้าหากไม่มีตระกูลหลิน บางทีตัวเองอาจจะกลายเป็นขอทานข้างถนนก็ได้ ดังนั้น เขามีสิทธิอะไรที่จะไปโกรธแค้นตระกูล?
เมื่อพูดจบ หลินหมิงก็ยิ้มเยาะตัวเอง “ยิ่งไปกว่านั้น....ธุรกิจใหญ่โตของตระกูลหลิน ก็ต้องการคนไปดูแลไม่ใช่หรือ?”
“แล้วถ้าหาก...ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งล่ะ ?” หลินจ้านมองไปที่หลินหมิงด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินหมิงก็เงยหน้าขึ้น ท่าทางของเขาดูตกใจมาก ราวกับก้อนหินหล่นลงแม่น้ำ จนเกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง
“เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า บ่ายวันนี้ ผู้นำตระกูลอู่ได้มาหาข้า...” หลินจ้านพูดขึ้นอย่างช้าๆ “สถานการณ์ของสำนักคังเฉียงเป็นเช่นไร เจ้าก็คงรู้ดี ดังนั้นข้าจะให้เจ้าเลือกระหว่างไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักคังเฉียง และยอมรับชะตากรรมที่ไม่อาจคาดถึงได้ หรือจะรอให้ครบหนึ่งเดือนแล้วถูกส่งไปเป็นหลงจู๊ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเจ้าเลือก”