เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่ 14 : การเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 14 : การเปลี่ยนแปลง
“เพิ่มพลังในการบ่มเพาะ?” กลุ่มของหลินหมิงพากันตื่นเต้นขึ้นมา
พวกเขาต่างใฝ่ฝันที่จะบ่มเพาะพลัง เพื่อกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริง แต่ทว่าพรสวรรค์ของพวกเขานั้นย่ำแย่เกินไป บางคนบ่มเพาะพลังมานานกว่า 6-7ปี หรือน้อยที่สุดก็บ่มเพาะมา 3-4 ปี แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถสัมผัสประตูของผู้บ่มเพาะได้ ทว่าตอนนี้พวกเขามียาฉีซวนแล้ว ด้วยเม็ดยาฉีซวนเหล่านี้ อีกไม่นานพวกเขาก็จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริงได้
“ขอบคุณเจ้าสำนัก” กลุ่มของหลินหมิงพากันตื่นเต้นจนพูดเสียงสั่น
จางหยูไม่ได้พูดอะไร แต่อู่เฉินกลับเป็นฝ่ายที่พูดออกมาแทน “พวกเราต้องขอบคุณท่านเจ้าสำนักมากจริงๆ ถ้าหากไม่มีเจ้าสำนัก พวกเราคงไม่มีโอกาสได้รับเม็ดยาฉีซวนอันล้ำค่านี้ ต่อให้มีเงินมากมายขนาดไหน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถซื้อมันได้!” อู่เฉินชื่นชมจางหยูจากใจ คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวโกหกแต่อย่างใด
เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของอู่เฉิน พวกหลินหมิงก็ชะงักขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสอู่ ยาฉีซวนเหล่านี้ ล้ำค่ามากเลยหรือ?”
ถึงจะรู้ว่ายาฉีซวนไม่ใช่ของธรรมดา แต่ก็ไม่เข้าใจถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน
“มันยิ่งกว่าล้ำค่าเสียอีก !” อู่เฉินมองไปที่หลินหมิงอย่างไม่สบอารมณ์ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “เท่าที่ข้ารู้มา เมืองทะเลทรายแห่งนี้ไม่มีนักปรุงยา ดังนั้นจึงไม่มียาขาย แต่สถานที่อื่นนั้นราคาของยาฉีซวนเม็ดหนึ่ง อย่างต่ำก็ 10,000 เหรียญ สูงสุดก็ 30,000 เหรียญ อีกอย่างยาฉีซวนที่เจ้าสำนักมอบให้พวกเรานั้น ก็เป็นยาลวดลายระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่มีคุณภาพสูงสุด แน่นอนว่าราคาขายของมันก็คือ 30,000 เหรียญต่อหนึ่งเม็ด !”
“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ยาฉีซวนเม็ดหนึ่งเทียบเท่ากับค่าเรียน 3 ปี! และเจ้าสำนักก็มอบให้พวกเจ้าถึง 6 เม็ด !”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ยาลวดลายระดับ 3 แม้แต่ในเมืองใหญ่ๆ ก็ยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก มันคือสินค้าที่ขาดตลาด ดังนั้นต่อให้มีเงินมากขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถหาซื้อมันได้ !”
พูดง่ายๆก็คือ ยาฉีซวนเหล่านี้....ไม่มีราคาตลาด!
หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของอู่เฉินแล้ว กลุ่มของหลินหมิงก็พากันเบิกตากว้าง และมองไปที่ยาในมือของตัวเองด้วยท่าทีซับซ้อน “ยาฉีซวนนั้นล้ำค่าจริงๆ !” เกรงว่าต่อให้ตระกูลพวกเขารวบรวมเงินที่ใช้เลี้ยงดูบุตรหลานมาหลายปี ก็ยังไม่เพียงพอที่จะซื้อยาฉีซวนเหล่านี้ได้สักเม็ด พูดไปพูดมา เดิมทีพวกเขาก็ไม่สามารถนำเงินออกมาได้มากมายขนาดนั้น
แม้แต่อู่โม่ก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของยาฉีซวนเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนรู้การปรุงยาจากจางหยู แต่สำหรับมูลค่าของเม็ดยานั้น ความรู้ด้านนี้ยังห่างไกลจากบิดานัก!
“นักปรุงยา คืออาชีพที่ปล้นเงินได้ชัดๆ” ในใจของอู่โม่ตกตะลึงขึ้นมา
เขาเห็นขั้นตอนการปรุงยาของจางหยูด้วยตาของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง และยังดูง่ายๆสบายๆอีกด้วย นอกจากนี้เขาสามารถปรุงยาออกมาได้ครั้งละ 9-10 เม็ด ซึ่งทุกเม็ดล้วนเป็นยาลวดลายระดับ 3 หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า จางหยูใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็สามารถทำเงินได้ถึง 2.5 ล้านเหรียญ โดยที่ต้นทุนนั้นมีแค่เตากับวัตถุดิบราคาประมาณแค่ 100,000 เหรียญเท่านั้น
โอ้พระเจ้า นี่มันได้เงินไวกว่าการปล้นซะอีก!
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงอยากเป็นนักปรุงยากันนัก” อู่โม่รู้ถึงความน่าเกรงขามของนักปรุงยามากกว่าเดิม ในใจจึงเกิดความยินดีขึ้นมา “เจ้าสำนักเคยบอกว่า ตัวข้าก็มีพรสวรรค์ในการปรุงยา ในอนาคต....ข้าก็สามารถเป็นนักปรุงยาได้!”
“ ท่านพี่ !” อู่ซินซินมองไปที่อู่โม่ นางเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน นางได้ยินอู่โม่บอกว่าจางหยูสอนเขาเรื่องการปรุงยา
หลังจากที่รับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของยาฉีซวน หลินหมิงและคนอื่นๆก็จ้องมองไปที่จางหยูด้วยความซาบซึ้ง และพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักว่า “เจ้าสำนัก ข้า พวกข้า...” พวกเขาจ่ายเงินค่าเรียนแค่ 10,000 เหรียญ แต่กลับได้ยาฉีซวนที่มีมูลค่าถึง 30,000 เหรียญ แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเขาซาบซึ้งได้อย่างไร?
พวกเขาต้องการที่จะขอบคุณจางหยู แต่บุญคุณนี้กลับใหญ่หลวงยิ่งนัก ดังนั้นจึงรู้สึกพูดไม่ออก คล้ายกับว่าแค่คำขอบคุณนั้นดูไม่คู่ควรกับบุญนี้เท่าไหร่
ยังไงซะ แค่ยาฉีซวนเม็ดหนึ่งก็มีค่าถึง 30000 เหรียญแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น จางหยูไม่ได้มอบให้แค่เม็ดเดียว แต่ให้ถึง 6 เม็ด !
รวมทั้งหมดแล้วมีค่ามากกว่า 180,000 เหรียญ !
พวกเขาไม่รู้สึกสงสัยคำพูดของอู่เฉิน เพราะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองทะเลทราย ไม่จำเป็นต้องมานั่งหลอกพวกเขา?
จางหยูยังคงยิ้มน้อยๆออกมา ราวกับไม่สนใจเรื่องนี้ เขามองไปที่หลินหมิงและคนอื่นๆด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ตราบใดที่พวกเจ้าบ่มเพาะพลังได้ดี และไม่ทำให้ข้าผิดหวัง นั่นก็ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้ว!” ตอนนี้เขาดูเหมือนกับอาจารย์ที่สูงส่งและมากด้วยคุณธรรม
ทว่าในใจของเขานั้นกลับคิดต่างออกไป “ของพวกนี้มีค่าที่ไหนกัน? ข้าสามารถทำมันออกมาได้เท่าที่ต้องการ!”
แน่นอนว่า เสียงในใจของเขานั้น คนอื่นๆไม่มีทางได้ยิน
ตอนนั้นเอง หลินหมิงและคนอื่นๆก็เงยหน้าขึ้น สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า “เจ้าสำนักดีกับพวกเราขนาดนี้ พวกเราจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง พวกเราจะบ่มเพาะพลังให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนเจ้าสำนัก!” พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้พวกเขาได้เกิดความผูกพันธ์กับสำนักคังเฉียงขึ้นมาแล้ว ที่นี่อบอุ่นและเมตตาต่อพวกเขา ดียิ่งกว่าที่ที่พวกเขาเรียกว่าบ้านซะอีก มันเป็นมากกว่าที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของพวกเขา เจ้าสำนักจางหยูเปรียบเสมือนคนในครอบครัวพวกเขา และเป็นคนที่พวกเขาให้ความไว้วางใจเป็นอย่างมาก
....
เวลาผ่านพ้นไป
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไป 1 เดือนแล้ว
สำนักคังเฉียงยังคงสงบสุขเช่นเคย แต่รูปลักษณ์ของมัน กลับผิดหูผิดตามากขึ้น คล้ายกับว่า ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าคว่ำดิน บรรยากาศดูดีขึ้นมาก
สถานที่ที่เคยรกร้างและเต็มไปด้วยวัชพืช ตอนนี้ได้ถูกทำความสะอาดจนหมดจด ต้นไม้ดอกไม้ทุกต้นล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทำให้มันดูร่มรื่นและสร้างความสบายใจกับผู้ที่มอง
ในเช้าวันที่อากาศสดใส ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งได้เดินเข้าไปในสำนักคังเฉียงพร้อมกับพลั่วเล่มหนึ่ง
เด็กชายผู้นี้เดินตรงมาที่ประตูสำนักคังเฉียง ก่อนจะหยุดมองป้ายหินขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ถ้าหากไม่ได้มาที่สำนักคังเฉียง ตอนนี้เขาคงกลายเป็นหลงจู๊ดูแลร้านไปแล้ว”
สำนักคังเฉียง คือที่ที่มอบชีวิตที่สองให้กับเขา!
“หลินหมิง วันนี้เจ้ามาเช้าจริงๆ !” จู่ๆก็มีเสียงใสๆดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่ร่างอันบอบบางของเด็กสาวคนหนึ่ง จะเดินเข้ามาหาเขาทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ
“เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่รึ เหยามู่หว่าน” หลินหมิงหันกลับมามองเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม
“ก็วันนี้เจ้าสำนักจะพูด “ทักษะจี๋อู่” ขั้นที่6 นี่น่า ข้าก็ต้องรีบมาแต่เช้าสิ” เหยามู่หว่านแสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา “ข้าแค่คิดไม่ถึงเลยว่าคนขี้เกียจอย่างเจ้าจะตื่นเช้าได้ขนาดนี้”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินหมิงก็กรอกตาใส่ “ ข้าไม่ได้ขี้เกียจซะหน่อย”
เขาไม่เพียงไม่ขี้เกียจ แต่ยังขยันมากอีกด้วย
มองเผินๆ เขาคือศิษย์ที่มาถึงสำนักเป็นคนสุดท้ายแทบทุกวัน ทำให้ดูเหมือนเป็นคนขี้เกียจ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะว่าเขานอนตื่นสาย แต่เป็นเพราะเขาตื่นเช้ากว่าคนอื่น และใช้เวลาในช่วงรุ่งสางในการบ่มเพาะพลังครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินทางออกจากบ้าน เขาค่อนข้างทะนุถนอมโอกาสที่หาได้ยากมากกว่าใครๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเสียเวลาทุกๆวินาทีไปอย่างไร้ค่า
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร เพียงแค่ตัวเองรู้และมุ่งมั่นต่อไปก็พอ
“ไปที่ห้องเรียนกันเถอะ” เมื่อนึกถึง“ทักษะจี๋อู่” ขั้นที่6 หลินหมิงก็แทบจะอดใจไว้ไม่ไหว
เหยามู่หว่านกลับส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบ พี่เหมากับคนอื่นๆกำลังจะมา พวกเรารอพวกเขาตรงนี้เถอะ แล้วค่อยไปที่ห้องเรียนด้วยกัน”
หลังจากที่รู้จักกันมาหนึ่งเดือน อู่โม่ อู่ซินซินและกลุ่มของหลินหมิงก็คุ้นเคยกันพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มของหลินหมิง เนื่องจากพวกเขามีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน และยังมีนิสัยที่คล้ายกัน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นความคุ้นเคยและสนิทสนมกันขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันแค่หนึ่งเดือน แต่กลับสร้างมิตรภาพที่ไม่อาจสั่นคลอนขึ้นมาได้
หลินหมิงคิดสักพัก ก่อนที่จะพยักหน้า “ได้ พวกเขามักจะรอข้าเสมอ ครั้งนี้ถึงตาที่ข้าจะรอพวกเขาบ้าง”
“หลินหมิง ได้ยินพี่เหมาเล่าให้ฟังว่า เจ้าทะลวงฉีซวนขั้นที่ 4 แล้วหรือ เรื่องนี้จริงหรือไม่?” เหยามู่หว่านกระพริบตาขนตายาวงอนอย่างน่ารัก ขณะมองไปที่หลินหมิงอย่างแปลกใจ ในดวงตาเจือไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
“ทะลวงฉีซวนขั้น 4 มีอะไรให้ต้องพูดถึงกัน อีกไม่นาน พวกเจ้าก็จะทะลวงไปถึงขั้น 4 เช่นกัน” หลินหมิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ด้วย“ทักษะจี๋อู่”และยาฉีซวน ทำให้หลินหมิงที่ไม่มีพรสวรรค์อะไร กลับสามารถทะลวงฉีซวนขั้นที่ 4 ขึ้นมาได้
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาประสบด้วยตัวเอง หลินหมิงก็ไม่กล้าเชื่อว่า ภายในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน ตัวเองจะสามารถเลื่อนขั้นจากคนธรรมดาที่ไม่มีการบ่มเพาะอะไร กลายมาเป็นนักสู้ฉีซวนขั้นที่ 4 ได้!
การก้าวมาถึงขั้น 4 ในเวลา 1 เดือน มีแค่ยอดอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นแหละ!
ทั่วทั้งราชวงศ์โจว เกรงว่าคงหาคนมาเทียบด้วยยาก!
แต่ในสำนักคังเฉียงแห่งนี้ ผลงานที่หลินหมิงทำนั้น สามารถพูดได้แค่ว่าไม่เลว แต่ทว่าก็ยังมีคนที่โดดเด่นกว่าเขาอยู่
“นั่นก็จริง แต่จะทะลวงเมื่อไหร่นั้น ใครจะไปควบคุมได้ล่ะ” เหยามู่หว่านถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “เฮ้ออ เจ้าสำนักเคยบอกว่า ในบรรดาพวกเราทั้งหมด 8 คน เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์น้อยที่สุด แล้วทำไมเจ้าถึงสามารถทะลวงขอบเขตได้ก่อนทุกครั้ง? บอกมานะ เจ้ามีเคล็ดลับอะไร!”
“ ข้ามีเคล็ดลับที่ไหนกัน?” หลินหมิงยิ้มอย่างจนใจ “ถ้าพูดถึงเคล็ดลับแล้ว ไม่รู้ว่า ‘ความขยัน’ จะนับเป็นเคล็ดลับได้ไหม?”
“ความขยัน ?” เหยามู่หว่านแปลกใจเล็กน้อย ศิษย์ของสำนักคังเฉียง ไม่มีใครที่ไม่ขยัน หลินหมิงคือคนที่ไร้พรสวรรค์ที่สุด แต่กลับก้าวหน้ากว่าทุกคนในกลุ่ม
เหยามู่หว่านเกิดความคิดแปลกๆขึ้นมา หรือว่าเจ้าสำนักจะแอบให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆกับหลินหมิง?
“เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องข้าเลย เมื่อเทียบกับพี่โม่และซินซินแล้ว ข้ายังด้อยกว่ามากนัก” หลินหมิงส่ายหน้า พลางพูดเสียงเศร้า “พี่โม่บ่มเพาะ“ทักษะจี๋อู่” ทำให้การบ่มเพาะของเขาลดลงมาเหลือขั้นที่ 3 แต่ใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถกลับไปขั้นที่ 5 ได้ ส่วนซินซินยิ่งร้ายกาจกว่านั้น ทั้งๆที่เด็กกว่าพวกเรา แต่กลับสามารถทะลวงขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 5 ได้แล้ว...”
พี่น้องตระกูลอู่นั้นน่ากลัวกว่าคนอื่นๆ!
ไม่ต้องพูดถึงอู่โม่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 6 หลังจากที่บ่มเพาะ“ทักษะจี๋อู่”ฉบับดัดแปลง ทำให้การบ่มเพาะของเขาลดลงมาเหลือขั้น 3 ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เขาก็สามารถทะลวงขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 5 สูงสุดได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าจางหยูยังไม่สอน“ทักษะจี๋อู่”ขั้น 6 เกรงว่าตอนนี้อู่โม่คงทะลวงขั้นที่ 6 ไปแล้ว
ส่วนอู่ซินซิน นางนับได้ว่าเหนือกว่าอัจฉริยะรุ่นเดียวกันมาก ตอนที่นางบ่มเพาะ“ทักษะจี๋อู่”ฉบับดัดแปลง การบ่มเพาะของนางก็ลดลงไปเหลือขั้นที่ 1 แม้ว่าในยามปกตินั้นนางจะทำตัวน่ารักเหมือนลูกแมว แต่ภายในเวลาหนึ่งเดือน นางกลับสามารถทะลวงขอบเขตติดต่อกัน จนกระทั่งตามอู่โม่พี่ชายของนางทัน!
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ลมปราณที่มาจากการบ่มเพาะ“ทักษะจี๋อู่”ฉบับดัดแปลงนี้ กลับบริสุทธิ์และทรงพลังกว่าทักษะทั่วไปมาก
แม้ว่าอู่โม่และอู่ซินซินจะอยู่เพียงฉีซวนขั้น 5 สูงสุด แต่พวกเขาก็สามารถรับมือกับอู่เฉินที่เป็นนักสู้ฉีซวนขั้นที่ 9 ได้หลายสิบกระบวนท่า หากพวกเขาสามารถทะลวงขอบเขตไปได้อีกขั้น เกรงว่าคงสามารถรับมือกับอู่เฉินได้อย่างสบายๆ หรือแม้กระทั่งเอาชนะอู่เฉินได้
อู่โม่ก็น่ากลัว อู่ซินซินก็น่ากลัว คนตระกูลอู่ล้วนน่ากลัว !
และแน่นอนว่า คนที่น่ากลัวที่สุดก็คือจางหยู ผู้ที่สร้างทักษะนี้ขึ้นมา !
ปล. นิยายแปลจีน ไม่มี eng ครับ รอติดตามได้ วันละ 2 ตอน ที่ amnovel จ้าาาาา