px

เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่ 15 : การพูดคุยกันแบบลับๆและการลอบสังหาร


ตอนที่ 15 : การพูดคุยกันแบบลับๆและการลอบสังหาร

“ความจริงแล้ว คนที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พี่น้องตระกูลอู่ แต่เป็นเจ้าสำนักต่างหาก” ดวงตาของเหยามู่หว่านเป็นประกายขึ้นมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าสำนักอายุเพียง 23 ปีเท่านั้นเอง แต่พลังของเจ้าสำนัก กลับล้ำลึกจนคาดเดาไม่ได้ แม้แต่ผู้นำตระกูลอู่ก็ไม่ใช่คู่มือของเขา....”

 

ทันใดนั้น เหยามู่หว่านก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า “ข้าสงสัยนัก ว่าเจ้าสำนักได้ทะลวง...ขอบเขตว่อซวนในตำนานหรือยัง”

 

“ชู่ววว....” หลินหมิงยกนิ้วจ่อปากตัวเอง เพื่อบอกให้เงียบ ก่อนจะพูดด้วยท่าทีที่เคร่งขรึมว่า “เหยามู่หว่าน มันจะดีที่สุดถ้าหากพวกเราไม่พูดถึงเจ้าสำนักลับหลังท่าน...” ในระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาก็แสดงความเคารพออกมา

 

ในใจของเขานั้น จางหยูไม่ใช่แค่คนที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขา แต่ยังเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพมากที่สุด ไม่ว่าจางหยูจะอยู่ขอบเขตว่อซวน หรือว่าขอบเขตฉีซวน ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกเคารพในใจของเขาได้

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น เหยามู่หว่านก็กรอกตาใส่ พลางเบะปากออกมา “เจ้าไม่คิดมากไปหน่อยรึไง เจ้าสำนักจะใส่ใจเรื่องนี้ด้วยรึ ?”

 

หลินหมิงส่ายหน้า และจ้องเหยามู่หว่านโดยไม่พูดอะไร

 

“เฮ้อออ ก็ได้ๆ ข้าฟังเจ้าก็ได้ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ดีไหม?” เหยามู่หว่านถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ

 

ตอนนั้นเองบนใบหน้าที่จริงจังของหลินหมิง ก็เผยรอยยิ้มออกมา  ดูเหมือนว่าเขาจะพอใจกับท่าทีของเหยามู่หว่านมาก

...

“เอ๊ะ หลินหมิง คนขี้เกียจอย่างเจ้า ก็มีวันมาเช้าเหมือนกันรึ?” ตอนนี้เองเหมาฉางเฟิง ซูเลี่ยและคนอื่นๆก็มาถึง เมื่อเห็นหลินหมิง พวกเขาก็พากันแสดงท่าทีแปลกใจออกมา

 

ซูเลี่ยเองก็เอ่ยแซวขึ้นมา “นี่ดูไม่เหมือนเจ้าในยามปกติเลยนะ!”

 

หลินหมิงเผยรอยยิ้มหดหู่ขึ้นมา “พี่เหมา พี่ซู ในสายตาของพวกท่าน ข้าเป็นคนขี้เกียจจริงๆหรือ?”

 

“ฮ่าฮ่า...ข้าเพียงแค่หยอกเจ้าเล่น ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นนั้นเกียจคร้านรึไม่ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าขยันกว่าใคร” เหมาฉางเฟิงหัวเราะออกมา ถึงแม้ว่าหลินหมิงจะไม่เคยพูดมันออกมา แต่ในใจของเหมาฉางเฟิงก็รู้ดีว่า การที่คนซึ่งไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย จะสามารถประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความขยันและความอดทนมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เขารู้ดีว่าหลินหมิงจะต้องพยายามอย่างหนักมากกว่าทุกคนในที่นี่ อย่างน้อยๆก็พยายามเป็นสองเท่าของพวกเขา

 

หลังจากนั้นสักพัก อู่เฉิน อู่โม่และอู่ซินซินก็เดินมาถึง

 

ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียนด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง

....

ห่างจากเสาหินขนาดใหญ่ที่บันไดด้านล่างสุดของสำนักไม่ไกลนัก ปรากฏชายผู้หนึ่งกำลังจ้องมองไปที่ประตูสำนักคังเฉียงอยู่ หลังจากที่เห็นอู่เฉิน อู่โม่และอู่ซินซินเดินเข้าไปในสำนักคังเฉียน สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินหายไปในหมู่ผู้คน

 

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มคนนั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถงของสำนักเฉินกวง

 

ซึ่งในห้องโถงแห่งนี้มีคนอยู่หลายสิบคน และพวกเขาก็มาจากสองขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองทะเลทราย ฝ่ายหนึ่งก็คือหลินไห่หยา เจ้าสำนักเฉินกวง จั่นเฟิง รองเจ้าสำนักเฉินกวง ครูฝึกโม่เทียนโฉวและคนอื่นๆ อีกฝั่งหนึ่งก็คือเจ้าสำนักหยุนซาน ลัวเยว่ซาน รองเจ้าสำนักหยุนซาน ลัวจวินและคนอื่นๆ

 

“ฉินชวน ไหนลองเล่ามาสิว่าเจ้าเห็นอะไรบ้าง” ตอนนั้นเอง เจ้าสำนักเฉินกวงหลินไห่หยาได้มองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น และพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง

 

วินาทีนั้น ทุกสายตาล้วนจ้องมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น

 

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา ฉินชวนก็รู้สึกกดดันขึ้นมาทันที  เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเล่าทุกอย่าง “ท่านเจ้าสำนัก ทุกสิ่งเป็นอย่างที่ท่านกล่าวไว้ไม่มีผิด ข้าเพิ่งเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในสำนักคังเฉียง นอกจากนี้ ผู้นำตระกูลอู่ได้พาอู่โม่และอู่ซินซินเข้าไปในสำนักคังเฉียงด้วยตัวเอง”

 

ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศในห้องก็พลันหนักอึ้งขึ้นมา

 

“การที่อู่โม่และอู่ซินซินเข้าไปในสำนักคังเฉียงนั้น ข้าเข้าใจได้ แต่การที่อู่เฉินผู้นำตระกูลอู่ไปที่สำนักคังเฉียงได้ทุกวัน นี่มันหมายความว่ายังไง ?” ลัวจวิน รองสำนักหยุนซานขมวดคิ้วขึ้นมา

 

“มันเดายากรึไง? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอู่โม่และอู่ซินซินนั้นได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักคังเฉียงแล้ว ส่วนอู่เฉิน....” จั่นเฟิง รองเจ้าสำนักเฉินกวง พูดขึ้นมาด้วยท่าทีมั่นใจ “ด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เขาอาจจะเป็นครูฝึกที่สำนักคังเฉียง หรือแม้แต่...เจ้าสำนักรึรองเจ้าสำนักก็ได้”

 

ลัวจวินมองไปที่ชายผู้นั้น แล้วพูดขึ้นมาว่า “ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นทุกวันไม่ใช่เหรอ? พวกศิษย์ที่ไร้ค่านั่น สำคัญยิ่งกว่ากิจการของตระกูลอู่รึไง ?”

 

“พอได้แล้ว หยุดเถียงกันสักที!”

 

ตอนนั้นเอง หลินไห่หยาก็โบกมือและพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าอู่เฉินจะมีบทบาทเช่นใดในสำนัก แต่เรื่องที่ตระกูลอู่ได้เข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงนั้นคือความจริง! ส่วนอีก 8 คนที่เหลือ ล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลชั้นสองและตระกูลชั้นสามที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลอู่ ดูเหมือนว่าตระกูลอู่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงไปแล้ว....”

 

“มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้น?” ลัวเยว่ซาน เจ้าสำนักหยุนซานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลินไห่หยาแย้งขึ้น “หลักฐานอะไรก็ไม่มี แล้วพวกเจ้าอาศัยอะไรไปตัดสินว่าพวกเขาเข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงแล้ว ?”

 

หลินไห่หยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปพูดกับชายวัยกลางที่อยู่ข้างๆว่า “โม่เทียนโฉว เอาของให้เจ้าสำนักลัวและคนอื่นๆดูเถอะ”

 

เมื่อได้ยินคำสั่งของหลินไห่หยา โม่เทียนโฉวก็หยิบขวดหยกออกมาจากแขนเสื้อ ซึ่งภายในขวดนั้นมีเม็ดยาสีแดงอยู่ มันดูคล้ายกับเม็ดยาในตำนาน

 

“นี่คือ...”  เมื่อมองไปที่ยาในขวดหยก ลัวเยว่ซานก็หลี่ตาลงทันที  “เม็ดยา!”

 

โม่เทียนโฉวเก็บขวดหยกที่ใส่ยาฉีซวนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและอธิบายด้วยท่าทีจริงจังว่า “นี่คือสิ่งที่คนของพวกเราพยายามซื้อมาจากผู้นำตระกูลต่ง ต่งหยู่เซิง ซึ่งต่งหยู่เซิงบอกว่า ยานี้เขาซื้อมาจากอู่เฉิน มันคือเม็ดยาที่เรียกว่ายาฉีซวน ซึ่งเป็นเม็ดยาที่สามารถเพิ่มพลังในการบ่มเพาะให้กับนักสู้ขอบเขตฉีซวนได้...”

 

จั่นเฟิงพยักหน้าแล้วพูดต่อไปว่า “หลังจากที่รู้ข่าวนี้ พวกเราก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบและยืนยันได้ว่า ไม่ได้มีแค่อู่เฉินเท่านั้นที่มี แต่ทุกคนในสำนักคังเฉียงต่างก็มียานี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเด็กที่ถูกตระกูลหลินทอดทิ้ง อย่างเจ้าขยะหลินหมิง เมื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆเข้าด้วยกัน พวกเราก็ตั้งสมมติฐานบางอย่างขึ้นมา นั่นก็คือ.....ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จางหยูได้ปกปิดความสามารถของตัวเอง ซึ่งความจริงแล้วเขาคือภัยคุกคามของพวกเราทุกคน นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ว่าเขาคือนักปรุงยา!”

 

นักปรุงยาในตำนาน!

 

ทุกคนในห้องโถงต่างสีหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมา  

 

“นี่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม อู่เฉินถึงได้ส่งลูกไปเรียนที่สำนักคังเฉียง หรือแม้แต่เขาก็ไปที่นั่นทุกวัน นอกจากนี้สิ่งที่ดึงดูดใจตระกูลชั้นสองและชั้นสามให้ไปที่นั่น ไม่ใช่เพราะสำนักคังเฉียง แต่เป็น... นักปรุงยาต่างหาก !” สีหน้าของจั่นเฟิงเคร่งเครียดขึ้นมา

 

ยานี้เป็นของจริง ไม่อาจจะทำปลอมขึ้นมาได้

 

อู่เฉินไปที่สำนักคังเฉียงทุกวัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด

 

อู่โม่ อู่ซินซิน หลินหมิงและคนอื่นๆได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักคังเฉียง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเท็จ

 

ดังนั้นการคาดเดาของจั่นเฟิงก็น่าจะเป็นความจริงถึง 8/10

 

“เจ้าสำนักลัว ตอนนี้ท่านยังสงสัยอะไรไหม?” หลินไห่หยามองไปที่ลัวเยว่ซาน

 

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจความหมายของท่าน” สีหน้าของลัวเยว่ซานดูเคียดขึ้น จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า “จางหยูจำเป็นต้องตาย พวกเราไม่สามารถปล่อยให้เขาเติบโตได้!”

 

เขารู้ถึงอำนาจของนักปรุงยาดี

 

ไม่ต้องพูดถึงนักปรุงยาระดับสูงเลย ต่อให้เป็นนักปรุงยาระดับหนึ่งดาว ถ้าต้องการพวกเขาก็สามารถเรียกรวมพลเหล่านักสู้ฉีซวนขั้นที่ 9 นับสิบคนมาได้!

 

อู่เฉินเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น หากพวกเขาปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตข้างหน้าเกรงว่าคงจะมีผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้นที่ 8 หรือขั้นที่ 9 เข้าหาจางหยูมากกว่านี้ หรือแม้กระทั่งรับใช้จางหยูก็ได้

 

 “ความคิดของเจ้าสำนักลัวเหมือนกันกับข้า ในตอนนั้นพวกเราหวาดกลัวจางเฮ่าหลันมากเกินไป เลยไว้ชีวิตจางหยูไว้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ความเมตตาในตอนนั้น กลับก่อให้เกิดภัยซ่อนเร้นขึ้นมาได้ โชคดีที่พวกเราค้นพบเรื่องนี้ได้เร็ว หาไม่แล้วถ้าหากปล่อยให้เขาเติบโตขึ้น...” หลินไห่หยาหยุดพูดและมองไปที่ลัวเยว่ซานอย่างจริงจัง “นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่จางเฮ่าหลันก็ยังไม่กลับมา ข้าคิดว่าเขาคงไม่กลับมาตลอดกาลแล้วล่ะ ฉะนั้นข้าขอเสนอว่า ให้กำจัดบุตรชายของเขาซะ!”

 

“จางหยูต้องตาย  จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ว่าเราควรจะส่งใครไปฆ่าเขาดี? เราไม่อาจจะทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้?”

 

ลัวเยว่ซานมองไปที่หลินไห่หยา

 

เมื่อเห็นสายตาของลัวเยว่ซาน หลินไห่หยาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เนื่องจากจางหยูเป็นนักปรุงยา ข้อมูลเรื่องระดับพลังของเขาก่อนหน้านี้คงเป็นเท็จเช่นกัน ในความเห็นของข้าแล้ว ระดับการบ่มเพาะของเขาคงอยู่ที่ฉีซวนขั้น 7 รึแม้แต่ขั้น 8” หลังจากเขาก็เงียบไปสักพัก แล้วค่อยพูดต่อว่า “ในอีกความหมายหนึ่งคือ หากต้องการจะฆ่าเขา ท่านจะต้องส่งผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้น 7 หรือขั้น 8 ไป และต้องหลีกเลี่ยงการปะทะกับอู่เฉินด้วย! มีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะมีช่องโหว่น้อยที่สุด”

 

ลัวเยว่ซานพยักหน้า แม้ว่าเขากับหลินไห่หยาจะเป็นตาแก่หัวรั้น แต่ก็จำใจต้องยอมรับว่า การวิเคราะห์ของหลินไห่หยานั้นถูกต้อง

 

“ในบรรดาพวกเรามีผู้บ่มเพาะฉีซวนขั้น 8 เป็นจำนวนมาก แต่มีขั้น 9 เพียงแค่ 4 คน นั่นก็คือข้า ท่าน รองเจ้าสำนักของท่านและรองเจ้าสำนักของข้า และข้าไม่ต้องการให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในภารกิจนี้ ดังนั้น ถ้าจะให้ดีที่สุดพวกเราจะต้องส่งผู้บ่มเพาะขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9 ไปทำภารกิจ หากไม่นับท่านกับข้า ก็เหลือแค่จั่นเฟิงและลัวจวิน” สายตาของหลินไห่หยาจับจ้องไปที่ลัวจวิน “จั่นเฟิงเพิ่งทะลวงขั้นที่ 9 ได้ไม่นาน ดังนั้นพลังของเขาจึงยังไม่มั่นคง  ฉะนั้นคงไม่อาจแสดงพลังขั้นที่ 9 ออกมาได้ทั้งหมด แต่รองเจ้าสำนักลัวนั้นไม่ใช่ เจ้าสืบทอดพรสวรรค์ที่โดดเด่นมาจากเจ้าสำนักลัว อีกทั้งยังทะลวงขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9 ในวัย 40 ปีได้ นอกจากนี้ยังฝึกฝนหมัดเหล็กจนเชี่ยวชาญ ในอนาคตข้างหน้า พลังของเจ้าก็สามารถเทียบเคียงกับอู่เฉินได้ ตามความคิดเห็นของข้า ภารกิจในครั้งนี้ให้ลัวจวินรับหน้าที่เถอะ!”

 

“เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่ !” ลัวจวินแอบสบถออกมา “พูดได้ดี ข้าเองก็ไม่กลัวหากจางเฮ่าหลันจะกลับมา...”

 

ซึ่งนั่นคงเป็นไปได้ยาก คนที่จากไปนานถึงเจ็ดปีแล้ว ยังจะเหลือความกดดันอะไรไว้?

 

ลัวจวินยังพูดไม่จบ แต่ลัวเยว่ซานก็ส่ายหน้าทันที “เจ้าสำนักหลินชมเกินไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ยังไม่เอาถ่าน เกรงว่าคงรับภารกิจนี้ไม่ไหว! กลับกันรองเจ้าสำนักจั่นเป็นคนที่รอบคอบ ภารกิจที่สำคัญเช่นนี้ ควรให้รองเจ้าสำนักจั่นเป็นผู้จัดการเถอะ!”

 

“ช่างมันเถอะ !” หลินไห่หยารู้ดีว่าไม่อาจจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้ จึงกล่าวต่อไปว่า “ท่านกับข้าไม่อาจผลักภาระนี้ได้ ดังนั้นก็ให้รองเจ้าสำนักจั่นและรองเจ้าสำนักลัวช่วยกันรับผิดชอบก็แล้วกัน! หากสองคนร่วมมือกัน โอกาสที่จะฆ่าจางหยูได้ก็ยิ่งสูงขึ้นกว่าเดิม ต่อให้ต้องปะทะกับอู่เฉิน ก็ยังสามารถถ่วงเวลาเขาได้สักระยะหนึ่ง และให้อีกคนหนึ่งไปฆ่าจางหยู!”

 

ลัวเยว่ซานและลัวจวินมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าตอบรับทันที  “ ได้ งั้นก็เอาตามนั้น !”

รีวิวผู้อ่าน