เย่เซี่ยวกำลังจดจ่ออยู่กับการโคจรลมปราณม่วงบูรพาซึ่งกำลังหมุนเวียนอยู่ในเส้นชีพจรเพื่อดูดซับปราณเย็นยะเยียบ
เย่เซี่ยวได้ยินเสียงของมันจากจุดชีพจร
ด้านในจุดตันเถียนของเขา ปราณเย็นยะเยียบกำลังรวมตัวกันอยู่ด้วยความเร็วที่น่าตื่นตระหนก
ในขณะเดียวกันปราณเย็นยะเยียบก็เปลี่ยนไปเป็นพลังงานหยางภายในตัวของเย่เซี่ยว โชคดีที่พวกมันเปลี่ยนแปลงในอัตราเดียวกัน ไม่เช่นนั้นเขาอาจระเบิดหรือแช่แข็งก็ได้เนื่องจากมีปราณเย็นยะเยียบจำนวนมาก
ลมปราณม่วงบูรพาเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ในการแปลงพลังของหยินและหยาง มันสร้างวงจรภายในจุดตันเถียนของเย่เซี่ยวและย่อยสลายปราณเย็นเยียบเป็นจำนวนมาก มันลดความเสียหายลงและเปลี่ยนแปลงให้เป็นข้อได้เปรียบ
เย่เซี่ยวจดจ่อกับการโคจรลมปราณเป็นอย่างมาก เขาไม่กล้าที่จะประมาท
ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยน้ำแข็งจำนวนมาก
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงฤดูร้อน
นั่นเป็นฉากที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
ขณะที่เขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อแปลงปราณเย็นยะเยียบที่อยู่ภายในห้วงมิติทั้งเก้า บางส่วนของปราณเย็นยะเยียบก็ไหลออกไปข้างนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากกระแสลมเย็นไหลผ่านภูเขา
และกระแสอากาศที่เย็นนี้ก็ยังคงไหลออกไป ...
เย่เซี่ยวนั่งอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน
เมื่อเขายืนขึ้นเขาก็ยังคงรู้สึกกลัว กระดูกของเขาส่งเสียงลั่นกราวเมื่อเขาลุกขึ้นยืน อย่าลืมว่าวิกฤตที่นำมาโดยหยกจิตวิญญาณไม่ได้นำไปสู่ความเสียหายที่แท้จริงใด ๆ กับเขา ปราณเย็นยะเยียบภายในห้วงมิติทั้งเก้าถูกยับยั้งในที่สุดภายใต้การทำงานหนักของเขา หินอุกกาบาตพญายมได้กลับไปยังห้วงมิติสวรรค์ในตอนท้ายที่สุด
ห้วงมิติทั้งเก้าได้กลับคืนสู่สภาพที่มั่นคง
มันมีโอกาสอยู่ตลอดเวลาในช่วงเวลาที่วิกฤต เย่เซี่ยวรู้สึกว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ลมปราณม่วงบูรพาของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาตรวจสอบให้แน่ใจว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นได้สิ้นสุดลงแล้วและได้เข้ามาตรวจสอบห้วงมิติทั้งเก้า น้ำแข็งในห้วงมิติทั้งเก้าได้หายไปเหลือเพียงความเสียหายไม่กี่แห่งบนห้วงมิติทั้งเก้า ตัวอย่างเช่นใบของพืชในห้วงมิติธาตุไม้ได้ถูกความเย็นกัด ในการฟื้นฟูมันคงต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ถึงอย่างนั้นเย่เซี่ยวก็ดีใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าเขาหยุดปราณเย็นยะเยียบช้าไปสักเล็กน้อยต่อมา สมุนไพรเหล่านั้นก็คงถึงแก่ความตาย ขณะนี้อัตราการเติบโตของพวกมันถูกชะลอลงเท่านั้น มันไม่ใช่โชคดีใช่มั้ย?
ในตอนนี้หินอุกกาบาตพญายมได้สร้างความหายนะเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?
มันไม่สามารถมองเห็นได้
มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของหยกจิตวิญญาณ ทำไมมันถึงทำให้เกิดวิกฤติอันตรายได้?
เย่เซี่ยวมองไปที่หินอุกกาบาตพญายม เขาไม่เข้าใจอะไรเลย
[มันเหมือนกับว่าข้าไม่สามารถใส่คริสตัลพลังงานนี้เข้าไปในห้วงมิติทั้งเก้า]
เขาพยายามสัมผัสกับหินอุกกาบาตพญายมและค้นพบว่าเขาสามารถสัมผัสมันได้อย่างแท้จริง
มันไม่ได้เป็นผลึกสวรรค์บริสุทธิ์ซึ่งเขาสามารถดูได้เแต่สัมผัสไม่ได้
[โอ้…]
เย่เซี่ยวพยายามจะขยับมันออกไปสักหน่อย
ตุบ...
หินอุกกาบาตพญายมปรากฏขึ้นบนภูเขา
มันออกมาจริง ๆ!
เย่เซี่ยวย้ายมันออกมาจากห้วงมิติทั้งเก้า!
มองไปที่หินอุกกาบาตพญายมซึ่งเพิ่งแคะออกมาจากหลุมบนพื้น เย่เซี่ยวรู้สึกประหลาดใจ
เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
หยกจิตวิญญาณได้ทำให้หินอุกกาบาตพญายมเปลี่ยนเป็นราชา ...
หลังจากนั้นแล้วหินอุกกาบาตพญายมสามารถเอาออกไปจากห้วงมิติทั้งเก้าได้...
เย่เซี่ยวยังคงจมอยู่กับความคิดอยู่ชั่วขณะแต่ก็ไม่สามารถคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ เขาเลิกคิดและเดินออกจากภูเขาราวพู่กันซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งแล้ว เขาต้องการที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของภูเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรเขาสังเกตเห็นร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ดูเหมือน 'สายฟ้าแลบ' มันไม่ดีพอที่จะอธิบายถึงความเร็วของเขาคนนั้น เพียงแต่พริบตาชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเย่เซี่ยว- วูบ! –
เย่เซี่ยวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นชายคนนั้นเขาตะโกนว่า "พี่กู่?"
ผู้ชายคนนั้นคือกู่จินหลงอย่างแน่นอน
กู่จินหลงแสดงอาการเหมือนเขารู้สึกประหลาดใจมากเกินไปและกล่าวว่า“โอ้ มันเป็นเจ้า น้องเฟิงเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เย่เซี่ยวสาปแช่งเขาในใจหลายร้อยครั้ง [เจ้าบัดซบ!เจ้าสังเกตเห็นข้าอยู่ที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้ามา!]
เขาแปลกใจว่ากู่จินหลงนั้นเร็วมาก
เขาเพิ่งถอดหินอุกกาบาตพญายมออกเป็นเวลาไม่กี่วินาที และกู่จินหลงก็รู้สึกได้และเข้ามาหาจากที่ไกลหลายร้อยลี้ ...
โชคดีที่เย่เซี่ยวได้จัดตั้งค่ายกลปกคลุมดาราขึ้น มิฉะนั้นเขาจะถูกค้นพบทันที
ข้าต้องระมัดระวังให้มากขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป ไม่มีอะไรสามารถถือเป็นความระมัดระวังเกินไปเมื่อเผชิญหน้าเจ้าบัดซบนี้]
"ข้ามาส่งสมุนไพรบางอย่างมาให้อาจารย์ของข้า ... " เย่เซี่ยวกล่าวว่า "ข้าเพิ่งจากอาจารย์ของข้าและตอนนี้ข้าก็ได้พบกับท่าน มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ เรามีวาสนาต่อกันอย่างแท้จริง "
กู่จินหลงมองไปข้างหน้าและรู้สึกถึงพลังแปลก ๆ แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์ แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร เขาถามว่า "น้องเฟิง อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่นี่?"
เย่เซี่ยวพยักหน้าและชี้ "ใช่ เขาอยู่บนภูเขานี้ เขาราวพู่กัน "
"เขาราวพู่กัน?" กู่จินหลงมองไปที่เย่เซี่ยวชี้ แต่ก็ไม่เห็นอะไร
มีเพียงเมฆและหมอกบางส่วนเท่านั้น
เย่เซี่ยวตระหนักและอธิบายว่า "พี่กู่ อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่รู้ว่าทำไมมันถึงกลายเป็นเช่นนั้น หลังจากปรมาจารย์ตุลาการดอกบัวม่วงมาถึง เทือกเขาก็มองไม่เห็น อย่างไรก็ตามข้ายังสามารถเข้ามาได้ ข้าเติบโตขึ้นมาที่นี่ แม้ข้าหลับตา ข้าก็สามารถหามันพบ"
"ข้าเข้าใจ" กู่จินหลงมองไปที่หมอกและพูด
ในขณะเดียวกันเขาก็คิดว่า [ความสามารถของข้าห่างไกลจากคำว่าอ่อนแอมากกว่าคนส่วนใหญ่ในอาณาจักรฉิงหวิน ปรมาจารย์ตุลาการดอกบัวม่วงกำลังจะไปถึงจุดจบของเขา แต่ด้วยค่ายกลนี้เขาสามารถหลอกข้าได้อย่างง่าย ๆ มันน่าประทับใจ
เขาเป็นคนที่สามารถต่อสู้กับราชันเซี่ยวได้จริง ๆ เขาเป็นที่น่าทึ่ง
อย่างไรก็ตามเขากำลังจะตายในเร็ว ๆ นี้ ... ฮ่าฮ่า ๆ ]
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ได้ยินเสียงเฟิงจือหลิงว่า "มา มาพี่กู่ มากับข้า ข้าจะพาท่านไปหาอาจารย์ของข้า "
กู่จินหลงกำลังวางแผนที่จะเห็นอาจารย์ของเขา ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า "ข้ากำลังจะบอกอยู่พอดี มันเป็นความสุขของข้าที่ได้เห็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งการปรุงโอสถ "
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าในขณะที่บอกว่า
"พี่กู่ ท่านควรทำตามข้าให้เหมือนทุกอย่าง อย่าทำผิดแม้แต่นิดเดียว" เย่เซี่ยวกำลังเดินอยู่ข้างหน้า เขาเดินเหมือนเขาหลับตา หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวพวกเขาก็หายตัวไปในหมอก
หลังจากยี่สิบกว่าก้าว เฟิงจือหลิงผู้ซึ่งเป็นผู้นำได้ก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปอย่างรวดเร็วในสายตาของกู่จินหลง
กู่จินหลงคิดว่าต้องมีค่ายกลเล็ก ๆ บางอย่างที่ครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงเดินต่อไป
เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นเฟิงจือหลิงหลังจากก้าวต่อไป แต่ ...
- วูบ! – สิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเขากำลังเปลี่ยนไป เขารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยในทันที เมื่อเขาได้สติกลับมาและลืมตาขึ้นเขาก็พบว่าตัวเองกลับไปยังที่ที่เขาได้พูดคุยกับเฟิงจือหลิงก่อนหน้านี้
เขาเพียงได้ยินเสียงเฟิงจือหลิงดังออกมาว่า "พี่กู่ ... พี่กู่?ท่าน ... ท่านอยู่ที่ไหน ทำไมท่านไม่ตามข้าเข้ามา? ท่านอยู่ไหน?”
กู่จินหลงพูดไม่ออก
[ทำไมข้าจะไม่อยากตามเจ้าไป ... แต่ ... มันคืออะไร?]
กู่จินหลงมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำผิดขั้นตอนใด ๆ เลย แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้ค่ายกลถูกเปิดใช้งานและส่งเขาออกมาจากมัน
เขากำลังคิดถึงสิ่งที่ผิดพลาดที่เขาได้ทำเมื่อจู่ ๆ เขาได้เห็นเฟิงจือหลิงออกมาจากค่ายกล เฟิงจือหลิงมองไปที่กู่จินหลง และถามว่า "ทำไมท่านถึงยังคงอยู่ที่นี่?"
กู่จินหลงขมวดคิ้วและยิ้มอย่างขมขื่น "ค่ายกลนี้แปลกจริง ๆ ข้าติดตามเจ้าทุกก้าว ข้าแน่ใจว่าข้าไม่ได้ทำผิดพลาดใด ๆ แต่ ... ข้าเพิ่งถูกขับออกมาจากค่ายกล ... "
เย่เซี่ยวขมวดคิ้ว "ทำไม? ข้าเข้าและออกหลายครั้งแล้วทุกอย่างก็ปกติดี ...อืม ถ้าเช่นนั้น ท่านหลับตาและจับมือข้าไว้ ให้ข้านำท่านเข้าไป "
กู่จินหลงพยักหน้า "ความคิดที่ดี ขอบคุณ น้องเฟิง "
เขาคว้ามือของเย่เซี่ยวและหลับตาลง พวกเขากลับเข้าไปในหมอก
กู่จินหลงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้ไว้ใจเฟิงจือหลิงจริง ๆ เขารู้สึกดีกับเรื่องนี้เพราะในสายตาเขาเฟิงจือหลิงไม่ได้มีค่ามากไปกว่ามด นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่กลัวว่าเขาจะถูกลอบโจมตีโดยเฟิงจือหลิงหรืออะไรบางอย่าง
เย่เซี่ยวจับมือกู่จินหลงไว้ พวกเขากำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน แต่หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาประมาณยี่สิบก้าวในหมอก เย่เซี่ยวก้าวอีกก้าวหนึ่งและกู่จินหลงก็สับสนอีกครั้ง เขายังคงจับมือเฟิงจือหลิงอยู่ แต่เขาไม่สามารถรู้สึกถึงร่างกายของเขาได้
กู่จินหลงตัดสินใจที่จะตามเขาไปอีกก้าวหนึ่ง ทันใดนั้นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงหัวเราะของเฟิงจือหลิงและครู่ต่อมาเขาก็ออกจากแถวนี้อีกครั้ง
คราวนี้เย่เซี่ยวก็ออกมาเหมือนกัน
…