1670 วันที่แล้ว
Gg
ตอนที่ 20 : คู่หูสมองหมู
ใบหน้าของจั่นเฟิงบิดเบี้ยวไป เมื่อเห็นว่าอู่ซินซินยังจะทำการโจมตีอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะกัดฟันแล้วพูดขึ้นมา “ช้าก่อน !”
ใครจะไปรู้ว่าอู่ซินซินไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย นางยังคงทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง
“หยุดมือ ! ข้าคือจั่นเฟิง รองเจ้าสำนักเฉินกวง เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ !” จั่นเฟิงรีบตะโกนออกมาเสียงดัง
เมื่อได้ยินแบบนั้น อู่ซินซินก็หยุดมือทันที โดยที่มือขาวผ่องยังคงค้างอยู่กลางอากาศ ห่างจากตัวจั่นเฟิงไปไม่กี่ฟุต
อีกด้านหนึ่ง หลินหมิงและคนอื่นๆเองก็หยุดสู้กับลัวจวิน หลังจากเว้นระยะห่างแล้ว หลินหมิงและคนอื่นๆต่างก็มองไปที่จั่นเฟิง พร้อมกับคอยระวังตัวจากลัวจวิน
“ติ๋ง” เมื่อเห็นฝ่ามือที่จ่ออยู่ตรงหน้า เหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากของจั่นเฟิงก็หยดลงมา
อู่ซินซินมองจั่นเฟิงอย่างสงสัย “รองเจ้าสำนักเฉินกวง?”
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา จั่นเฟิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆถอดผ้าดำบนใบหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าของตน
เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว เขาไม่มีทางที่จะปกปิดตัวเองได้ มีแค่การเปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสรอด
“นั่นเขา!”
“จั่นเฟิง รองเจ้าสำนักเฉินกวง !”
“ มันเป็นเขาจริงๆด้วย !”
หลินหมิงและคนอื่นๆต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
พวกเขาเคยเห็นจั่นเฟิงจากที่ไกลๆมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่จะจำได้ทันที
“ดูเหมือนว่าข้าจะเคยเห็นเจ้ามาก่อน....” อู่ซินซินมองไปที่จั่นเฟิงด้วยท่าทีแปลกใจ “งั้นเจ้าก็เป็นรองเจ้าสำนักเฉินกวงจริงๆงั้นรึ?”
ตอนนี้เอง เหมาฉางเฟิงก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเจ้าเป็นรองเจ้าสำนักเฉินกวง งั้นเขาก็....” ระหว่างที่พูดนั้นเขาก็มองไปที่ ลัวจวิน
“ข้าคือลัวจวิน!” ลัวจวินถอดผ้าสีดำออกอย่างไม่ลังเล เพื่อเปิดเผยตัวตนของตัวเอง “รองเจ้าสำนักหยุนซาน ลัวจวิน”
“ไม่ผิดแน่ เขาคือรองเจ้าสำนักหยุนซาน ลัวจวินจริงๆ” เหมาฉางเฟิงพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาจำลัวจวินได้
จางเฮิงหยางกระซิบออกมาว่า “คนหนึ่งเป็นรองเจ้าสำนักเฉินกวง อีกคนเป็นรองเจ้าสำนักหยุนซาน แล้วสองคนนี้มาทำอะไรที่สำนักคังเฉียง?”
หลินหมิงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “ไม่ใช่ว่าพวกเขาเคยพูดไปแล้วรึ ? เป้าหมายของพวกเขาก็คือฆ่าเจ้าสำนัก !”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหมิง ทุกคนก็นึกขึ้นมาได้ว่าลัวจวินเคยพูดแบบนั้นมาก่อน ใบหน้าของพวกเขาต่างเย็นชาขึ้นมาทันที
“กระทั่งพวกเราก็ยังเอาชนะไม่ได้ แต่กลับคิดที่จะสังหารเจ้าสำนัก ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้านี้มาจากไหน” จางเฮิงหยางเยาะเย้ยขึ้นมา
จั่นเฟิงไม่ได้สนใจคำพูดเสียดสีของจางเฮิงหยาง เขาพูดขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า “ข้าผู้เฒ่ายอมรับว่า ประเมิณพวกเจ้าต่ำไปจริงๆ แต่พวกเจ้าก็อย่าได้คืบจะเอาศอก! อย่าลืมสิว่า ข้าผู้เฒ่าคือรองเจ้าสำนักเฉินกวง หากข้าตายที่นี่ เจ้าสำนักเฉินกวงจะต้องมาแก้แค้นให้ข้าแน่!”
สำนักเฉินกวงคือแบคอัพที่ใหญ่ที่สุดของเขา มีที่พึ่งที่ใหญ่แบบนี้อยู่ ต่อให้เป็นตัวอู่เฉินเอง ก็ไม่กล้าที่จะจัดการเขาง่ายๆ
จั่นเฟิงรู้ว่าเขาไม่อาจเอาชนะอู่ซินซินและกลุ่มหลินหมิงได้ ดังนั้นจึงตั้งใจจะใช้ฐานะของตัวเองข่มขู่อีกฝ่าย
ลัวจวินเช็ดเลือดที่มุมปาก พลางกล่าวเสียงเย็นยะเยือกว่า “พวกเจ้าควรคิดดูดีๆ! หากวันนี้พวกเราสองคนตายไป สำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็มองหน้ากันด้วยความลังเล
จางเฮิงหยางมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างลังเลว่า “พวกเราจะทำยังไงกันดี ?”
เหมาฉางเฟิงมองไปที่จั่นเฟิงและลัวจวินอย่างครุ่นคิด
“ยังจะมัวลังเลอะไรอีก ในความเห็นของข้าแล้ว ต้องฆ่า!” หลินหมิงพูดออกมาอย่างเย็นชา แววตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ระหว่างพวกเรากับสองสำนักนั่น มันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เหมาฉางเฟิงก็ส่ายหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว “ข้าไม่กลัวตาย แต่ถ้าฆ่าสองคนนี้ที่นี่ จะส่งผลกระทบอะไรกับสำนักคังเฉียง?”
“นั่นมัน.....” เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินหมิงก็นิ่งไป แม้ว่าจะยังแค้นเคือง แต่ใบหน้าของเขาก็แสดงความลังเลออกมา
ในใจของหลินหมิงแล้ว สำนักคังเฉียงแห่งนี้คืออีกครอบครัวของเขา เขาไม่กลัวตาย แต่กลัวว่าจะทำให้สำนักคังเฉียงเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น
ท่ามกลางแสงสว่างที่สาดออกมาจากห้องเรียน ได้สะท้อนให้เห็นถึงความลังเลบนใบหน้าของเหล่าศิษย์
“ได้โอกาสแล้ว !” จั่นเฟิงคิดในใจ จากนั้นก็หันไปกระซิบลัวจวินทันที “ ไป !”
ตอนที่เตือนลัวจวินนั้น จั่นเฟิงได้ก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถพุ่งออกจากวงล้อมของพวกหลินหมิงได้ นี่คือโอกาสหนีที่เหมาะสมที่สุด ความจริงแล้ว ในบรรดาเหล่าลูกศิษย์ทั้ง 9 คน มีเพียงอู่ซินซินเท่านั้นที่สามารถไล่ตามความเร็วของพวกเขาทัน ส่วนคนที่เหลือต่อให้คิดจะไล่ตามพวกเขา ก็คงทำไม่ได้ นอกจากนี้แค่อู่ซินซินเพียงคนเดียว ก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางพวกเขาทั้งสองคนได้
ลัวจวินเองก็มองหาโอกาสที่จะหนีเช่นกัน ตอนที่เห็นจั่นเฟิงเคลื่อนไหว เขาก็รีบพุ่งออกไปทันทีโดยไม่ลังเล
เพียงชั่วพริบตา ลัวจวินและจั่นเฟิงก็พุ่งฝ่าวงล้อมออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ!
กว่าที่พวกหลินหมิงและอู่ซินซินจะตอบสนอง มันก็สายไปเสียแล้ว!
หลังจากที่ทิ้งช่วงห่างจากพวกอู่ซินซินแล้ว ลัวจวินก็หยุดวิ่ง ก่อนจะหันกลับมามองแล้วพูดว่า “เด็กน้อย ความอัปยศในวันนี้ ข้าจะจดจำไว้ ! อย่าให้ข้าพบพวกเจ้า หาไม่แล้ว...”
“หาไม่แล้วจะทำไม?”
จู่ๆก็มีเสียงเอื่อยๆดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของลัวจวิน
ตอนนี้เองประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออก จางหยูยืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ขณะมองไปที่ลัวจวินและจั่นเฟิง เสื้อคลุมสีม่วงบนตัวของจางหยูสะท้อนกับแสงไฟจนเกิดเป็นแสงสว่างที่ดูน่าเกรงขามและลึกลับขึ้นมา
ด้านหลังของจางหยู มีอู่โม่ที่ยืนมองพวกเขาราวกับมองคนโง่อยู่
ความจริงแล้วจางหยูรู้สิ่งที่เกิดขึ้นที่นอกห้องเรียนตั้งนานแล้ว ทว่าเขาแค่อยากจะใช้โอกาสนี้ทดสอบความแข็งแกร่งของลูกศิษย์ ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนออกมา แต่เมื่อจั่นเฟิงและลัวจวินคิดจะหนี จางหยูไม่อาจทนอยู่เฉยต่อไปได้
“ จางหยู !” ลัวจวินหรี่ตาลงมองจางหยูตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “วันนี้เจ้าอาจจะโชคดี แต่ครั้งหน้าเจ้าจะไม่โชคดีแบบนี้อีก!”
แตกต่างจากทัศนคติที่แสนอวดดีของลัวจวินแล้ว จั่นเฟิงนั้นกลับแสดงสีหน้าที่สงบนิ่ง ในใจของเขาเกิดความสงสัยขึ้นมา “ลมปราณของเด็กคนนี้นี่มัน...” เขาไม่รู้สึกถึงลมปราณในตัวของจางหยูเลยด้วยซ้ำ
แปลก !
แปลกเกินไปแล้ว !
ปกติแล้ว มีแค่สองกรณีเท่านั้นที่เขาไม่สามารถรู้สึกถึงลมปราณจากตัวคนอื่นได้ หนึ่งก็คือคนคนนั้นไม่สามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางผู้บ่มเพาะได้ ส่วนอีกหนึ่งก็คือคนคนนั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าตัวเอง!
จางหยูเป็นคนธรรมดางั้นรึ ?
ไม่ใช่อย่างแน่นอน !
คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว !
“ เจ้าโง่นี่!” จั่นเฟิงเหลือบมองลัวจวินที่ยังคงหาเรื่องจางหยูอยู่ และอดไม่ได้ที่จะก่นด่าขึ้นมาในใจ เขาสาบานว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่ร่วมงานกับลัวจวินอีกต่อไป “ไม่รู้ว่าไอ้โง่นี่ สามารถบ่มเพาะมาถึงขอบเขตฉีซวนขั้นที่9 ได้ยังไง”
ถ้าลัวจวินไม่ใช่ลูกชายของเจ้าสำนักหยุนซาน ลัวเยว่ซานล่ะก็ จั่นเฟิงคงทิ้งอีกฝ่ายไปนานแล้ว
จั่นเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่คอยระวังจางหยู เขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “พอได้แล้วลัวจวิน นี่ยังอับอายไม่พองั้นรึ? ถ้าเจ้ายังไม่รีบออกจากที่นี่ล่ะก็ ข้าจะทิ้งเจ้าซะ!”
“กลัวอะไร ? ไม่ใช่ว่าพวกนั้นไล่ตามพวกเราไม่ทันรึไง ?” ลัวจวินพูดขึ้นมาอย่างภูมิใจ ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องน่าอายก่อนหน้านี้ไป และเริ่มกลับมามั่นใจตัวเองอีกครั้ง
...
จางหยูไม่ได้สนใจจั่นเฟิงและลัวจวิน เขาหันกลับมามองหลินหมิง อู่ซินซิน และคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เวลาช่างผ่านไปไวยิ่งนัก พริบตาเดียวพวกเจ้าก็มาอยู่ที่สำนักคังเฉียงได้เดือนหนึ่งแล้วรึ ? ระหว่างนี้ข้ามัวแต่สอนทักษะในการบ่มเพาะให้กับพวกเจ้า แต่กลับลืมสอนเคล็ดวิชาการต่อสู้ให้กับพวกเจ้า เอาล่ะ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาให้กับพวกเจ้าอย่างหนึ่ง ดังนั้นวันนี้ข้าจะสาธิตถึงความร้ายกาจของมันให้พวกเจ้าดูก่อน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทุกคนต่างก็ตาเป็นประกายขึ้นมา
“ เคล็ดวิชา? เคล็ดวิชาอะไร ?”
“เคล็ดวิชาของเจ้าสำนักต้องน่าทึ่งมากแน่ๆ !”
“บางทีมันอาจจะเป็นเคล็ดวิชาระดับเทพก็ได้!”
ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววคาดหวังออกมา
จางหยูหัวเราะออกมาเบาๆ “จะเป็นเคล็ดวิชาอะไรนั้น อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้เอง ตอนนี้ข้าบอกพวกเจ้าได้เพียงว่า มันคือเคล็ดวิชาระดับธรรมดาขั้นกลาง ความแข็งแกร่งของมันนั้นน่ากลัวมาก มันแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเจ้าจินตนาการไว้แน่!”
ระดับธรรมดาขั้นกลาง?
สีหน้าของทุกคนพลันแข็งทื่อขึ้นมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง
“ทำไม หรือว่าพวกเจ้าดูถูกเคล็ดวิชาระดับธรรมดาขั้นกลางงั้นรึ ?” จางหยูเลิกคิ้วสูง ก่อนจะพูดเสียงจริงจังว่า “ข้าไม่ได้โม้นะ เคล็ดวิชาระดับธรรมดาขั้นกลางของข้า มันแข็งแกร่งจริงๆ!”
ต่อให้มันแข็งแกร่งแค่ไหน แต่มันก็แค่เคล็ดวิชาระดับธรรมดาขั้นกลางไม่ใช่หรือ ?
หลินหมิงหัวเราะออกมา “หึหึ หึหึ.....”
จางหยูมองไปที่หลินหมิงแล้วถามขึ้นมาว่า “หลินหมิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เชื่อข้างั้นรึ ?”
“เชื่อ ข้าเชื่อทุกอย่างที่เจ้าสำนักพูดมา” แม้ปากของหลินหมิงจะพูดแบบนั้น แต่สีหน้ากลับแสดงออกว่าไม่เชื่อ เขายังคิดว่าเจ้าสำนักคงหยอกล้อพวกเขาเล่น
“พวกเจ้า...เฮ้ออ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าหลบไปก่อน” จางหยูส่ายหน้าแล้วโบกมือ “สองคนนั่นปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เขาเงยหน้ามองจั่นเฟิงและลัวจวิน จากนั้นก็ยิ้มออกมา “จั่นเฟิง ลัวจวิน ใช่รึไม่ ? พอดีเลย ข้าเพิ่งพัฒนาเคล็ดวิชาระดับธรรมดาขั้นกลางขึ้นมา ดังนั้นพวกเจ้ามาทดสอบพลังของมันหน่อย หากพวกเจ้าสามารถรับมือกับมันได้ พวกเจ้าก็จะไม่ตาย และข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป แต่ถ้าพวกเจ้าตาย ก็อย่าได้ตำหนิที่ข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้า”
“เคล็ดวิชาระดับธรรมดาขั้นกลาง?” ลัวจวินรู้สึกราวกับว่ากำลังโดนดูถูกอยู่ จึงตะโกนออกมาราวกับคนบ้าว่า “เด็กน้อย อย่ามาดูถูกพวกเรานะ! เชื่อรึไม่ว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว !”
คิ้วของจั่นเฟิงขมวดหนักขึ้นไปอีก เขากระซิบขึ้นมาว่า “อย่าใจร้อน ข้ามองการบ่มเพาะของเขาไม่ออก! อีกอย่าง บางทีเขาอาจจะแค่อยากถ่วงเวลาไว้ เพื่อให้เด็กพวกนั้นมาล้อมพวกเราก็ได้!”
เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่ต้องคอยระวังพวกจางหยูเท่านั้น แต่ยังต้องคอยห้ามไม่ให้ลัวจวินทำอะไรโง่ๆอีกด้วย
ถ้าเขาไม่รู้ฐานะของลัวจวินล่ะก็ เขาคงสงสัยว่าชายคนนี้ถูกส่งมาจากฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว
เมื่อได้ยินแบบนั้น ลัวจวินก็เหงื่อตกขึ้นมา “ ใช่แล้ว ข้าลืมพวกปีศาจน้อยพวกนั้นไป !” เขาไม่ได้กลัวจางหยู แต่เขากลัวพวกหลินหมิง เพราะเขาทนรับการโจมตีจากพวกนั้นมาแล้ว จนเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่
เขามองไปที่พวกหลินหมิงด้วยความแค้น ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่ลังเลว่า “ ไปกันเถอะ !”
เมื่อเห็นว่าลัวจวินเลิกหัวรั้น และยอมจากไปแต่โดยดี จั่นเฟิงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา “ในที่สุดข้าก็จะได้กลับเสียที มันไม่ง่ายเลย !” มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่า เขาเปลืองความคิดไปมากแค่ไหน
เมื่อเห็นจั่นเฟิงและลัวจวินกำลังจะออกจากสำนัก หลินหมิงและคนอื่นๆก็กังวลขึ้นมา “ เจ้าสำนัก !”
จางหยูก้าวเท้าออกไปอย่างไม่รีบร้อน พลางหัวเราะออกมา “ ไม่ต้องกังวล พวกเขาหนีไม่พ้นหรอก !”
เมื่อพูดจบ ร่างของจางหยูก็เริ่มพร่ามัว ก่อนจะหายไปจากสายตาของทุกคน พร้อมกันเสียงดัง “ฟิ้ว”
Gg