px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 103 รวมหัวกันวางแผนร้าย


นอกจากนั้นแล้วความรวดเร็วในการตวัดกระบี่ของซูหลี่ก็ว่องไวอย่างมาก

อย่างน้อยต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจได้ 1 เรื่อง นั่นก็คือความเร็วในการตวัดกระบี่ของซูหลี่หาได้ด้อยกว่าความเร็วในการวาดกระบี่ของเขาแม้แต่น้อย ...

วิชาวาดกระบี่ของหลิงเทียนนั้นกล่าวได้ว่า หากโจมตีจากจุดที่ไม่คาดฝันแล้วล่ะก็ มันก็มีความแข็งแกร่งที่สามารถเทียบเท่าได้กับวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูง

แต่ทว่าวิชากระบี่ของซูหลี่นั้นเป็นวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงของแท้!

นอกจากนั้นวิชากระบี่นี้ของซูหลี่กล่าวได้ว่าเป็นวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงที่สูงล้ำอย่างมาก

"วิชากระบี่ประสานเงาที่ข้าส่งมอบให้ลี่ฉีฉี ยังนับได้ว่าด้อยกว่าวิชาของซู่หลี่นิดหน่อย... บางทีอาจมีเพียงกระบี่เหมันต์ของเค่อเอ๋อเท่านั้นที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้" หลิงเทียนคิดในใจ

กระบี่เหมันต์เป็นหนึ่งในวิชาที่ส่งเสริมวิชาบ่มเพาะกระบี่เทพเจ้าเหมันต์ ที่เค่อเอ๋อฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ และยังถือเป็นพื้นฐานของเพลงกระบี่ในระดับที่สูงขึ้นของวิชากระบี่เทพเจ้าเหมันต์อีกด้วย

"หากข้าไม่ทุ่มเทใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมด หรือไม่รีบฝึกฝนให้วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกายมีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้ คงไม่สามารถเอาชนะซูหลี่ผู้นี้ได้อย่างแน่นอน!"

ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ประกายตาของเขาฉายแววกระหายในการต่อสู้เล็กน้อย

เมื่อเวลาล่วงเลยไป

ตอนนี้การทดสอบเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะก็ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

หลังจากที่ซูหลีทำการทดสอบ ถึงแม้จะมีอัจฉริยะที่มีฝีไม้ลายมือยอดเยี่ยมแต่ก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบอะไรกับซูหลี่ได้ ...

"หมายเลข 237"

สิ้นเสียงหัวหน้ากอง ชายหนุ่มที่มีรูปร่างกำยำแลดูแข็งแกร่งก็เดินอกผายไหล่ผึ่งออกมายังเวทีประลอง ท่าทางของมันแลดูกระฉับกระเฉงและหนักแน่นราวกับไม่หวั่นเกรงฟ้าดิน

"หืม?"

ต้วนหลิงเทียนที่ตอนแรกง่วงหงาวหาวนอนอยู่ ถึงกับลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อสังเกตเห็นถึงท่าทางของชายหนุ่มคนนี้

"ชายคนนี้นับว่าไม่ธรรมดา"

เซี่ยวหยูเองก็รับรู้ได้เช่นกัน

ในขณะที่นักโทษเดนตายทั้ง 10 คนกรูกันเข้ามา และกระโจนเข้าสู่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างรุนแรงนั้น

ครืนน!

ร่างกายของชายหนุ่มพลันขยายขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากกล้ามเนื้อ

อีกทั้งเหนือศีรษะของเขายังเด่นหราด้วยเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 6 ตัว ...

"ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4!"

"เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 อีกคนแล้ว!"

เหล่าเยาวชนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา

ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเหล่านักโทษล้วนแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทั้งสิ้น

นี่เพราะชายหนุ่มตรงหน้าได้กลบช่องว่างระหว่างจำนวนด้วยความต่างของระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 และระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 2 ที่เป็นระดับสูงสุดในกลุ่มนักโทษของพวกเขาเสียจนมิด

ตูมมม!

เขาฟาดกำปั้นธรรมดาซัดหนึ่งในนักโทษปลิวกระเด็นและจับขาของมันไว้ก่อนที่จะลอยออกไปไกล

แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อเช่นนั้นหรือ มันช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดนัก เขาจับขาของนักโทษคนเมื่อครู่ไว้ ก่อนที่จะใช้ร่างของนักโทษนั้นฟาดนักโทษอีกคนจนตกตายไปทั้งคู่

เหล่านักโทษที่เหลือล้วนมีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน...พวกมันล้วนตกตายด้วยการถูกฟาดด้วยร่างเนื้อเช่นนี้แทบทั้งสิ้น

นักโทษเดนตายคนสุดท้ายที่ถูกจับนั้นนับว่าประสบกับชะตากรรมที่น่าสงสารที่สุด ร่างกายของมันนั้นนอกจากจะถูกฟาดอย่างรุนแรงด้วยร่างของนักโทษก่อนหน้าแล้ว ตัวมันยังถูกซัดโดยตรงอีกด้วย

ก่อนมันจะตายภาพสุดท้ายที่มันเห็นคือร่างของมันถูกชายหนุ่มยกขึ้น

ฟู่มมม!

และร่างของมันถูกปล่อยลงมาจากเหนือศีรษะ ก่อนที่จะกระทบเข้ากับขาที่หวดออกมาราวกับเส้นสายอัสนี!

ปังงงง!

ร่างของนักโทษถูกเตะเข้ากลางลำตัวจนหักพับอย่างน่าหวาดกลัว ก่อนที่จะกระเด็นออกไปนอนจบชีวิตอย่างน่าเวทนา

เสียงรอบเวทีเงียบลงตั้งแต่ตอนที่ชายหนุ่มเริ่มจับนักโทษคนแรกมาหวดฟาดใส่ผู้อื่นแล้ว...

"ฮ่า ๆ ... ดี ยอดเยี่ยมนัก!"

รองแม่ทัพของกองกำลังโลหิตถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ เยาวชนที่เข้ามาร่วมทดสอบเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กปีนี้นับว่าน่าสนใจนัก

โดยเฉพาะชายหนุ่มที่กำลังอยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้ ท่าทางของมันราวกับเครื่องจักรสังหารไม่มีผิด ...

หากปล่อยมันเข้าสู่สนามรบแล้วล่ะก็ ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องวิธีการสังหารศัตรูของมันเลย มันสามารถใช้อะไรเป็นอาวุธในการเข่นฆ่าข้าศึกก็ได้ อย่างแน่นอน!

"เจ้ามีนามว่าอะไร?" เฉียวชิงจ่างกล่าวถามออกมา

เยาวชนที่แข็งแกร่งคนนั้นรีบใช้มือแสดงท่าทางการทำความเคารพแบบทหารทันที "ข้าน้อยขอทำความเคารพท่านรองแม่ทัพ! ข้าน้อยมีนามว่า เทียนหู ขอรับ!"

"เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมากเทียนหู"

เฉียวชิงจ่างพยักหน้าพร้อมกล่าวชมเชยออกมาด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เยาวชนรอบเวทีนับร้อยล้วนแสดงความอิจฉาเทียนหูออกมา แต่พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเทียนหูด้วยเช่นกัน

"เทียนหูผู้นี้ช่างน่าหวาดกลัวนัก"

หลิงเทียนเองยังแสดงความประหลาดใจออกมา

"ข้าไม่คิดเลยว่าปีนี้จะมีตัวประหลาดมาทดสอบเข้าร่วมค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะเยอะถึงเพียงนี้... "

เมิ่งฉวนได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น

และในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เมิ่งฉวนถอนหายใจนั้น ก็มีคนอีกหลายคนที่ถอนหายใจออกมาด้วยเช่นกัน

"นับว่าในการทดสอบเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะปีนี้จะปรากฏม้ามืดขึ้นมามากมายนัก เฮ่อ เยาวชนที่มีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 ยังมีอยู่ถึง 4 คน!"

"นั่นสิ ในปีอื่นๆนั้น หากมีเยาวชนที่มีระดับบ่มเพาะระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 แค่คนเดียวก็นับว่าตื่นตาตื่นใจมากดูชมแล้ว แต่ปีนี้กลับมีโผล่ออกมาถึง 4 คน"

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้วนหลิงเทียน แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาอาจจะยังไม่เท่าเทียมกับซูหลี่และเทียนหู แต่เขาก็ยังอายุน้อยกว่าทั้ง 2 อยู่มากนัก ไม่อยากจะคิดเลยหากเขามีอายุเท่ากันกับซูหลี่หรือเทียนหูแล้วเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน"

...

คำพูดเหล่านี้ล้วนเข้าหูหยูเซี่ยงทั้งสิ้น

ดวงตาของหยูเซี่ยงพลันเย็นชาลงและเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร

"เมื่อมันโตขึ้นจนมีอายุเทียบเท่าซูหลี่หรือเทียนหูเช่นนั้นหรือ?"

มุมปากของหยูเซี่ยงพลันแสยะยิ้มออกมา "แต่นั่นต้องหมายความว่ามันสามารถมีชีวิตรอดไปถึงตอนนั้นก่อน... ."

"การทดสอบใกล้จะจบแล้วล่ะ" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาในขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ

ในช่วงท้ายองการทดสอบมีเยาวชนเสียชีวิตอีก 10 กว่าคน และคนที่ผ่านก็มีอีก 10 กว่าคนเช่นกัน ...

และตอนนี้การทดสอบเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะก็เสร็จสิ้นลงแล้ว

หัวหน้ากองได้เดินกลับไปด้านข้างรองแม่ทัพก่อนที่จะกระซิบกระซาบอะไรเล็กน้อย

เฉียวชิงจ่าง ก้าวออกมาข้างหน้ากวาดมองไปทั่วๆกลุ่มของเยาวชนที่ดูเหมือนเปลี่ยนแปลงไปมากในเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน "เอาล่ะ ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทุกคนที่สามารถผ่านการทดสอบเข้าร่วมค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะมาได้ ... ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าผลของการทดสอบปีนี้นั้นทำให้ข้าประหลาดใจมากขนาดไหน นอกจากจำนวนผู้สอบผ่านที่มากมายกว่าปีที่แล้วนั้น ยังมีแม้กระทั่งผู้เข้าสอบที่แข็งแกร่งทำให้ข้าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย! "

ตอนนี้ทุกคนที่ฟังอยู่ยอมรู้ว่าเฉียวชิงจ่างกำลังกล่าวถึงใครบ้าง ในขณะที่เขาเอ่ยคำว่าประหลาดใจในความแข็งแกร่ง

เพราะหลังจากกล่าวจบเพียงแค่ครู่เดียว สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังร่างทั้ง 4 ตามลำดับ หลิงเทียน,ซูหลี่,เทียนหู และหยูเซี่ยง ...

ทั้งสี่คนนี้นับเป็นม้ามืดที่แท้จริง!

"คืนนี้พวกเจ้าสามารถสนุกสนานและรื่นเริงได้เต็มที่ ... แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจะถือเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังโลหิตเหล็ก และหลังจากพรุ่งนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปีพวกเจ้าจะไม่ได้รับอภิสิทธิ์หรือความหรูหราสะดวกสบายใดๆอีกต่อไป ต่อให้พวกเจ้ามีสถานะพิเศษเช่นไรก็ตาม และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ข้าสามารถบอกกล่าวได้เลยว่า พวกเจ้านั้นจะเหลือรอดหลังจบการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะด้วยจำนวนไม่ถึง 10 คนเท่านั้น"

เฉียวชิงจ่างกล่าวคำที่ทำให้เหล่าเยาวชนอดขนลุกขึ้นมาไม่ได้

หลังจากผ่านไปหนึ่งปีคนที่จะเหลือรอด มีไม่ถึง 10 คน ...

ไม่มีเยาวชนคนไหนที่ยังเหลือรอดอยู่ในตอนนี้จะสงสัยในคำกล่าวของเฉียวชิงจ่าง

เพราะในฐานะที่เขาเป็นถึงรองแม่ทัพของกองกำลังโลหิตเหล็ก แน่นอนว่าเขาย่อมมีประสบการณ์มากมาย และเห็นอัจฉริยะหนุ่มที่ตกตายไปนับไม่ถ้วนในระหว่างเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะตลอดหลายปีที่ผ่านมา

กล่าวได้ว่าคำกล่าวของเขานั้นออกมาจากประสบการณ์จริงล้วนๆ

"ฮึ่ม ไม่เกิน 10 คนเช่นนั้นหรือ จากที่ข้าประมาณคร่าวๆ ตอนนี้สมควรมีผู้ที่ผ่านการทดสอบมากถึง 98 คน"

เมิ่งฉวน อดไม่ได้ถึงกับต้องสบถและกล่าวออกมาอย่างหวาดหวั่น

"อะไร นี่เจ้าว่างถึงขนาดนับคนเลยหรือ?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ

"เอาล่ะวันนี้พวกเราไปเลี้ยงฉลองกันให้เต็มอิ่มเถิด เพราะจะอย่างไรอีก 1 ปีหลังจากนี้คงไม่ได้มีโอกาสทำอะไรเช่นนี้อีกแล้ว" เซี่ยวหยูกล่าวออกมา

"ใช่แล้ว คืนนี้พวกเราจะกินจนกว่าท้องของพวกเราจะใส่อะไรลงไปเพิ่มอีกไม่ได้! แต่เจ้าจ่ายนะหลิงเทียนข้าไม่เหลือสักแดงแล้ว" เมิ่งฉวนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"เฮ่ แล้วพวกเจ้าจะรออะไรกันเล่า?

กล่าวจบคำต้วนหลิงเทียนก็เดินนำหน้าไปยังร้านอาหารทันที

หลังจากที่กินมื้อเย็นกันจนเต็มคราบที่ร้านอาหาร ทั้ง 3 คนก็เดินเล่นชมเมืองโลหิตเหล็กยามค่ำคืนกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปนอน

ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังจนถึงกลางดึกก่อนที่จะหลับใหลไป

เขาค่อนข้างคาดหวังว่าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้จะสร้างความตื่นเต้นให้เขาได้บ้าง

.....

ในห้องใหญ่ของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ตะเกียงยังคงถูกจุดส่องสว่าง

"ท่านพี่ ข้าขอโทษ"

หยูเซี่ยงก้มหัวลง

ตรงข้ามกับหยูเซี่ยงปรากฏร่างชายหนุ่มที่มีอายุราวๆ 25 ปี

ชายหนุ่มนี้สวมชุดลำลองสีดำ คิ้วและรูปหน้านับว่าเหมือนกันกับหยูเซี่ยงไม่มีผิด อย่างไรก็ตามตอนนี้แววตาของเขานั้นส่องประกายอำมหิตและเต็มไปด้วยความต้องการสังหารฉายชัดออกมาอย่างปิดไม่มิด ...

"ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย"

ชายหนุ่มคนนี้คือหยูหงพี่ชายของหยูเซี่ยง อดีตนายกองนั่นเอง

"ท่านพี่ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะไอ้เด็กที่มีนามว่าต้วนหลิงเทียนอะไรนั่น หากไม่ใช่เพราะมันข้าคงไม่ถูกรองแม่ทัพตำหนิและพลอยทำให้ท่านลำบากเช่นนี้"

แววตาของหยูเซี่ยงเองก็เต็มไปด้วยจิตสังหารยามกล่าวถึงเรื่องนี้

"ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่มันยังอยู่ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ ข้าเองก็มีวิธีการมากมายที่จะฆ่ามัน"

หยูหงกำหมัดแน่น พลังงานต้นกำเนินเริ่มแผ่กระจายออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ...

ภายใต้โทสะของเขาเงาร่างช้างแมมมอธจำนวน 11 ตัวลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ

ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8!

"ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าหวังเม่งกล่าวไว้ว่า ท่านเองก็ต้องหลีกเลี่ยงการทำอะไรให้เป็นที่สงสัยและต้องระมัดระวังตัวไม่ใช่หรือ?"

หยูเซี่ยงสงสัยเล็กน้อย

"ถูกต้องข้าเองก็ต้องระมัดระวัง"

ดวงตาของหยูหงหรี่ลงและฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาทั้งยังแสยะยิ้มออกมาอีกด้วย "แต่ข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่มีสหายสนิทที่เป็นนายกอง อีกทั้งสหายร่วมเป็นร่วมตายของข้ายังเป็นผู้รับผิดชอบค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะอีกด้วย ... เมื่อถึงเวลา สิ่งที่พวกเขาต้องกระทำก็เพียงวางแผนการณ์และเล่นลูกไม้อะไรนิดๆหน่อยๆไม่ให้ผู้ใดจับได้ก็เท่านั้น จะอย่างไรต้วนหลิงเทียนก็ต้องตกตายอย่างแน่นอน!"

"ยอดเยี่ยมนักท่านพี่!" หยูเซี่ยงมีความสุขอย่างมากที่ได้ฟัง

ในกระโจมที่ใหญ่ที่สุดของกองกำลังโลหิตเหล็ก

"ชิงจ่าง ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะได้ต้นกล้าที่ดีมามากมายเช่นนั้นหรือ"

ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่แท่น เผยรอยยิ้มที่อบอุ่นส่งไปยังชายวัยกลางคนที่ยืนรายงานอยู่ข้างหน้าของเขา

"ถูกต้องท่านแม่ทัพ!" เฉียวชิงจ่างพยักหน้าออกมาอย่างมีความสุข

"ข้าอยากรู้นักว่ามันยอดเยี่ยมถึงขนาดไหนกัน ถึงขนาดทำให้เจ้าอารมณ์ดีได้ถึงเพียงนี้ ... ไหนเจ้าลองเล่ารายละเอียดมาให้ข้าฟังหน่อย"

ชายวัยกลางคนกล่าวถามออกมาอย่างสนุกสนาน ตอนนี้เขาค่อนข้างสนใจเรื่องราวอยู่ไม่น้อย

คงไม่มีใครคาดคิดว่า แม่ทัพของกองกำลังโลหิตเหล็กนั้นเมื่อถอดชุดเกราะออก และไม่ได้อยู่ต่อหน้าทหารหรือกองทัพ เขาจะมีทีท่าแลดูเป็นคนร่าเริงและสนุกสนาน ขัดกับบุคลิกเข้มแข็งเลือดเย็นน่าหวาดหวั่นยามออกรบมากมายนัก

"ย่อมได้ท่านแม่ทัพ" เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาด้วยความเคารพ...

"ในหมู่พวกเขาทั้ง 4 คนนั้นข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหยูเซี่ยง ที่เป็นน้องชายของนายสิบหยูหงมาเท่านั้น ... แต่ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของหยูเซี่ยงจะไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ก็นับว่ายังธรรมดาไม่น่าจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อันใด"

เฉียวชิงจ่างแสดงความรู้สึกธรรมดาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรยามกล่าวถึงหยูเซี่ยง

"หืม หยูหงไมใช่นายกองหรอกหรือ?" ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนแท่นสับสน

แต่หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเฉียวชิงจ่าง แล้วเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ท่าทางของเขายามนี้เต็มไปด้วยโทสะ "ฮึ่ม หยูหงมันจะได้ใจมากเกินไปแล้ว! กองกำลังโลหิตเหล็กจะอนุญาตให้มันใช้อำนาจกระทำเรื่องอุบาทว์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเช่นนี้ได้อย่างไร?"

"เพราะเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจลดตำแหน่งของมันเพื่อเป็นการตักเตือน ซ้ำยังให้โอกาสมันกลับตัวกลับใจ หากมันยังคิดจะกระทำเช่นนี้อีกครั้งยามนั้นค่อยขับไล่มันออกไปพร้อมทั้งลงโทษให้สาสม" เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมา

"เจ้านับว่าจัดการเรื่องนี้ได้ดีแล้ว แล้วต้วนหลิงเทียนเล่า คนนี้ใช่คนที่สองที่ดึงดูดความสนใจจากเจ้าใช่หรือไม่?" ชายวัยกางคนกล่าวถามออกมาอย่างอยากรู้

"ถูกต้อง"

เฉียวชิงจ่างพยักหน้ารับคำ "ต้วนหลิงเทียนคนนี้แม้อายุจะยังไม่ถึง 17 ปี แต่เขาไม่มีท่าทางหยิ่งยโสและอ่อนน้อมถ่อมตน นับเป็นบุคลิกที่ไม่แยแสอันใด... ทั้งเขายังไม่รู้สึกหวั่นไหวหรือหวาดกลัวจิตสังหารและแรงกดดันที่ข้าส่งออกไปเพื่อทดสอบเขาแม้แต่น้อย ข้าจึงค่อนข้างสงสัยอย่างมากว่า เขาที่มีอายุน้อยถึงเพียงนี้ แต่สังหารผู้คนไปมากมายเท่าไรกันแน่ "

"อายุไม่ถึง 17 แต่เจ้าคิดว่าเขาสังหารผู้คนไปมากมายแล้ว?" ชายวัยกลางคนกล่าวถามด้วยความสงสัย

“ถูกแล้วท่านแม่ทัพ ในตอนหลังเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยนี้ ข้าจึงจงใจจับตาดูเขาเป็นพิเศษ...และข้าก็ได้สังเกตเห็นว่าแม้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับฉากฆ่าสังหารที่โหดเหี้ยมอำมหิตสักแค่ไหน เขาก็ยังมีท่าทางที่แตกต่างจากเยาวชนคนอื่นที่เข้าร่วมการทดสอบอย่างมาก นั่นเพราะท่าทางของเขานั้นดูไม่แยแสหรือมีอารมณ์อันใดแม้แต่น้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาเพียงเฝ้ามองมันอย่างเฉยชาราวกับเห็นมาจนชินตาเท่านั้น... มันช่างยากที่จะจินตนาการได้ว่า ชายหนุ่มที่มีอายุยังไม่ถึง 17 ปีผู้นี้ ผ่านอะไรมาบ้าง” เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

รีวิวผู้อ่าน