px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
ตอนที่ 260 : ขุนเขา เทียนเฉวียน


บทที่ 260 : ขุนเขา เทียนเฉวียน

ตอนนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนด้านหลังหลิงเทียน กำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

มันเริ่มกัดฟังดังกรอดๆ และพยายามฝืนร่างเอาไว้อย่างสุดกำลัง

อย่างไรก็ตามเมื่อมันเห็นต้วนหลิงเทียนบิดตัวอย่างเกียจคร้านราวกับเรื่องนี้มันน่าเบื่อหน่ายนัก  สติของมันพลันขาดผึงลง มันบังเกิดความทอดถอนใจจนไร้เรี่ยวแรงประคองร่างสืบต่อ ร่างของมันทรุดลงไปกองทันที

เมื่อมีเสียงดังขึ้นด้านหลังต้วนหลิงเทียนเลยหันกลับไปดู

ชายหนุ่มที่ทรุดลองไปกองบนพื้นยามนี้ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความขมขื่น และเมื่อมันสังเกตเห็นหน้าตาของต้วนหลิงเทียนที่หันมามอง มันพลันตกตะลึงม่านตาดำเบิกกว้าง

สวรรค์!

นี่มันกำลังเห็นอะไรอยู่กัน?

ชายหนุ่มข้างหน้า ที่บิดขี้เกียจเมื่อครู่ยังแลเยาว์วัยนัก อายุเขาคงไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ!

ยามนี้มันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เสมือนชีวิตที่ผ่านมาของมันช่างไร้ค่านัก!

ต้วนหลิงเทียนที่เห็นชายหนุ่มด้านหลังทรุดลงไปกอง ซ้ำยังมองมาด้วยแววตาเลื่อนลอย เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยความเป็นห่วง "สหายเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?"

ชายหนุ่มคนนั้นทำเพียงอ้าปากออกมาคิดกล่าวคำ ทว่าสุดท้ายเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ...

การทดสอบในรูปแบบนี้ของผู้อาวุโส ทำให้คนที่ไม่แข็งแกร่งพอ แค่คิดกล่าวคำยังกระทำได้ลำบาก

ทว่าสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคนนั้นคิดกล่าวออกมาจากใจก็คือ...

ตัวประหลาด!

เจ้าหนุ่มชุดสีม่วง เจ้านี่มันตัวประหลาดชัดๆ!

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ...

...

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงเหล่าชายหนุ่มก็ทยอยกันทรุดตัวลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เหลือชายหนุ่มจำนวน 100 คนตามกำหนด ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้

และตอนนี้เอง ผู้อาวุโสทดสอบ ก็ทำการถอนแรงกดดันที่กดทับไปยังเหล่าชายหนุ่มทั้งหลาย

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองรอบๆบริเวณ  ตอนนี้เขาสังเกตว่าในหมู่ชายหนุ่มที่ยืนหยัดอยู่ได้ บางคนมีอายุใกล้เคียงกับเขา แต่ทว่ายังไม่ตัดผ่านไปยังกระดับกำเนิดแก่นแท้ด้วยซ้ำ!

นี่เห็นได้ชัดว่าพวกมันสามารถผ่านการทดสอบมาได้ด้วยแรงใจล้วนๆ

‘จะว่าไปการทดสอบแบบนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย  มันยุติธรรมและใช้การได้ดีทีเดียว’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

แทบจะทันทีที่ผู้อาวุโสทดสอบถอนแรงกดดันกลับไปชายหนุ่มทุกคนค่อยได้ผ่อนคลายร่างกายและหายใจเข้าได้อย่างเต็มปอด ใบหน้าของคนที่ยังยืนอยู่เริ่มเผยรอยยิ้มสดใสออกมาอย่างยินดี ส่วนชายหนุ่มอีก 53 คนที่ทรุดลงไปก็ทำได้เพียงแย้มยิ้มอย่างขื่นขม และเผยท่าทางท้อแท้ออกมา

"พวกเจ้า 2 คนนำคนที่เหลือไปส่งที่ตีนเขา"อาวุโสทดสอบกล่าวสั่งศิษย์สายใน 2 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา

"ขอรับ" ศิษย์สายในทั้ง 2 ได้นำคนที่ไม่ผ่านการทดสอบทั้ง 53 คนที่กระทั่งยืนยังยากลำบากเดินลงเขาไป

กล่าวได้ว่าทั้ง 53 คนนี้ได้มาเสียเที่ยวเสียแล้ว

"เอาล่ะ ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทุกคนที่อยู่ตรงนี้ด้วย ตอนนี้พวกเจ้าเป็นศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่ 7 ดาวแล้ว" ผู้อาวุโสทดสอบกวาดสายตามองเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายที่ผ่านการทดสอบมาได้ รวมทั้งต้วนหลิงเทียนด้วย ก่อนที่จะกล่าวออกมา "เอาล่ะ ยามนี้ตัวข้าจะแนะนำเรื่องราวของนิกายกระบี่ 7 ดาวให้พวกเจ้ารับรู้พอสังเขป ... นิกายกระบี่ 7 ดาวของเรานั้นแยกออกเป็นขุนเขากระบี่ 7 ขุนเขา, ในบรรดาขุนเขาทั้ง 7 ขุนเขาเทียนชูที่พวกเจ้ายืนอยู่นี้นับว่าสูงที่สุดและอยู่ตรงกลาง เป็นขุนเขาหลักของนิกายเรา”

“และสถานที่บ่มเพาะพลังบนยอดเขาหลักลูกนี้นั้น จะมีเพียงผู้อาวุโสและศิษย์สายในเท่านั้นที่มีสิทธิ์ขึ้นไป”

"ส่วนเหล่าศิษย์สายนอกนั้น จะไปทำการบ่มเพาะฝึกฝนกันที่ขุนเขาทั้ง 6... มีข้อกำหนดอยู่บ้างว่าขุนเขาเหยากวงนั้นจะยินยอมให้เพียงแต่ศิษย์ที่เป็นสตรีเพศเท่านั้นเข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะ กล่าวได้ว่าสำหรับศิษย์สายนอกที่เป็นบุรุษแล้ว สถานที่บ่มเพาะของเจ้ามีเพียง แค่ 5 ขุนเขาเท่านั้น"

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ผู้อาวุโสทดสอบก็หยุดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มกล่าวต่อไป "เอาล่ะตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสแต่ละขุนเขารวมทั้งศิษย์พี่ของพวกเจ้า จะเริ่มทำการคัดเลือกพวกเจ้าเข้าขุนเขา จำนวนขุนเขาละ 20 คน...ในอนาคตพวกเจ้าจะเป็นศิษย์สายนอกประจำขุนเขา ตามผู้อาวุโสที่เลือกเจ้า  สำหรับรายละเอียดอื่นๆ และเรื่องราวที่พวกเจ้าอยากได้คำแนะนำนั้น ผู้อาวุโสประจำขุนเขาของพวกเจ้าจะเป็นคนกล่าวบอกต่อเอง "

ขุนเขาเหยากวงนี่ รับแต่เพียงศิษย์สตรีเท่านั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม สถานที่แห่งนั้นคงไม่ต่างอันใดจากดงบุปผา...ช่างน่าไปเที่ยวเล่นยิ่งนัก

เมื่อผู้อาวุโสทดสอบกล่าวจบ ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสที่เหลืออีก 5 คนเอง ก็นำเหล่าศิษย์เดินเข้ามา

"หืม?" เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ขยับเข้ามาใกล้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้พบคนคุ้นหน้าคุ้นตา เขาไม่คิดเลยว่าจะเจอมันตรงนี้

เบื้องหลังผู้อาวุโสที่มีเคราแพะคนหนึ่ง ในบรรดาศิษย์ที่ติดตามมาทั้ง 3 คนนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่พิจารณาได้ว่าเป็นไปตามคำกล่าว อริหนทางคับแคบ ของต้วนหลิงเทียน!

มันเป็นหนึ่งใน 3 ศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาว ที่ต้วนหลิงเทียนเจอในเหลาอาหารและมีเรื่องด้วย เมื่อ 5 วันก่อน

มันเป็น 1 ในศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่ 7 ดาว

ตอนแรกเพราะยังยืนอยู่ห่างกันต้วนหลิงเทียนเลยไม่ได้สังเกตเห็นมัน

แต่เมื่อเข้ามาใกล้ๆต้วนหลิงเทียนก็สามารถสังเกตเห็นมันได้ และดูเหมือนว่ามันเองก็จะสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนแล้วเช่นกัน ทว่าแลดูมันไม่ได้มีความประหลาดอะไรมากมาย ราวกับว่ามันล่วงรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอเขาที่นี่

‘สงสัยตั้งแต่ที่ เค่อเอ๋อและลี่เฟย ถูกผู้อาวุโสไป พาตัวไปมัน ก็คงรู้แล้วว่าข้าอยู่ที่นี่’ ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ

ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสทั้ง 5 พร้อมศิษย์ที่ติดตามมาด้านก็เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับ ชายหนุ่มทั้ง 100คน

ต้วนหลิงเทียนสังเกตเห็นว่า ศิษย์สายนอกที่มีเรื่องราวกับเขานั้นจงใจที่จะเดินตรงมาทางเขา  ซ้ำมันยังแสยะยิ้มเล็กน้อยตอนที่เข้ามาหาพร้อมยัดเยียดตราประจำตัวมาให้เขา  "ต่อไปเจ้าจะเป็นศิษย์สายนอกของขุนเขา เทียนเฉวียนเรา"

คิ้วของต้วนหลิงเทียนกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นมือไปรับตราประจำตัวมา เมื่อเขามองตรวจสอบตรา เขาก็เห็นอักษรสลักแสดงว่าเป็นตราของ ขุนเขาเทียนเฉวียนของนิกายกระบี่ 7 ดาว

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าศิษย์สายนอกคนนั้น มันมองต้วนหลิงเทียนพร้อมกับขยับร่างเข้าใกล้แล้วกล่าววาจาข่มขู่ออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา  "เด็กน้อย ข้าไม่คิดจริงๆว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่ คำกล่าวที่ว่าศัตรูมักมีชะตาต้องกันนี่ไม่ผิดจริงๆ... ข้าอยากรู้นัก เมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่แล้วไร้ซึ่งผู้ติดตามระดับวิญญาณแรกก่อตั้งคนนั้นคอยคุ้มกะลาหัว แล้วตัวเจ้าจะทำอันใดได้  ใช่เจ้าคิดคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาพวกข้าหรือยัง? "

"คุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา?" ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำกล่าวของศิษย์สายนอกคนนี้

ครู่ต่อมาหลังจากหัวร่อจนสำราญใจต้วนหลิงเทียน ก็หันไปมองใบหน้าของศิษย์สายนอกคนนี้พร้อมรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่จะกล่าววาจาออกมาราวกับมันเป็นตัวตลก "ปัญญาอ่อน!"

"เจ้า!" ศิษย์สายนอกคนนั้นถึงกับเบิกตากว้าง มันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านอกจากจะไม่เกรงกลัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังกล้ามันว่าปัญญาอ่อน! หน้าของมันจมลงเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวอกมาด้วยน้ำเสียงเล็ดรอดไรฟัน "เด็กน้อยแล้วเจ้าจักเสียใจ ... "

ต้วนหลิงเทียนหาวออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขาเลิกให้ความสนใจอะไรศิษย์นอกคนนั้น  ก่อนที่จะเดินตรงไปหาชายชรา ที่เป็นอาวุโสของขุนเขาเทียนเฉวียน

ไม่นานขุนเขาเทียนเฉวียนก็เลือกคนได้ครบ 20 คน

"ข้ามีนามว่า หลู่ชิว เป็นผู้อาวุโสสายนอกของขุนเขาเทียนเฉวียน ... ต่อไปพวกเจ้าก็เรียกข้าว่าอาวุโสหลู่แล้วกัน" ชายชราเคราแพะกล่าวแนะนำตัวต่อศิษย์สายนอก ทั้ง 20 คนที่มาใหม่

"อาวุโสหลู่" ทันใดนั้นทุกคนก็กล่าวคำทักทายออกมา

"เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนเองก็พึ่งได้เข้ามาในนิกาย แน่นอนว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่พวกเจ้ายังมิล่วงรู้ ข้าและศิษย์พี่ของพวกเจ้าจะนำพวกเจ้ายังขุนเขาเทียนเฉวียนของเรา ในระหว่างทางข้าเองก็จะเล่าเรื่องราวที่พวกเจ้าต้องรู้เอาไว้คร่าวๆ " หลังกล่าวจบผู้อาวุโสก็เดินนำต้วนหลิงเทียนและคนที่เหลือมุ่งหน้าไปยังขุนเขาเทียนเฉวียนทันที

ในระหว่างทางเสียงของหลู่ชิวก็ดังขึ้นมา  "ไม่ว่าพวกเจ้าจักเป็นใครมาจากไหน ยามนี้ในเมื่อพวกเจ้าเข้ามาเป็นคนของนิกายกระบี่ 7 ดาวแล้ว พวกเจ้าก็ต้องทำตามกฎระเบียบข้อบังคับของนิกายกระบี่ 7 ดาว...เรื่องที่ศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาวสมควรจำเป็นเรื่องแรกก็คือ ห้ามมิให้ศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาวใช้อำนาจในทางมิชอบ ข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าเด็ดขาด! และนี่เป็นกฎสำคัญที่ผู้ก่อตั้งเราตั้งขึ้นมานับพันปีแล้ว”

"นอกจากนั้นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ หากมิใช่ในเวทีประลองเป็นตาย ห้ามมิให้ศิษย์สาวกในนิกายกระบี่ 7 ดาวลงมือต่อผู้อื่นจนถึงแก่ความตายเด็ดขาด!  หากมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนเรื่องนี้ มันผู้นั้นต้องถูกลงโทษอย่างหนักโดยไร้ความเมตตา ตามกฎของนิกาย!"

ในขณะที่กล่าวใกล้จบน้ำเสียงของอาวุโสหลู่ก็เย็นเยือก จนทำให้ผู้ได้ฟังหนาวสะท้าน

"ผู้อาวุโสหลู่ขอรับ แล้วเวทีประลองเป็นตายคืออันใดหรือขอรับ?" ทันใดนั้นเองศิษย์สายนอกคนหนึ่งที่สงสัย อดไม่ได้ที่จะยกมือกล่าวถามออกมา

หลู่ชิวมองไปยังศิษย์สายนอกที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา "ฮั่วชิน เจ้าอธิบายเรื่องนี้ให้ศิษย์น้องฟัง"

"ขอรับ"

คนที่หลู่ชิวเรียก ก็มิใช่ใครอื่น แต่มันเป็นศิษย์สายนอกที่มีเรื่องมีราวกับต้วนหลิงเทียนอยู่นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ยามอยู่ต่อหน้าหลู่ชิว ศิษย์สายนอกนามฮั่วชินนี้ก็หาได้แสดงกิริยาก้าวร้าวอันใด  กลับนอบน้อมผิดคาดเสียด้วยซ้ำ

ฮั่วชินกวาดสายตามองไปยังเหล่าศิษย์สายนอกคนใหม่ทั้ง 20 คนรอบๆ ทว่ายามที่มันสบตากับต้วนหลิงเทียนนั้นจะเห็นได้ชัดถึงประกายตาเย็นชาที่ทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง

แน่นอนว่ามีเพียงต้วนหลิงเทียนที่รู้อยู่ก่อนแล้วเท่านั้นถึงจะสังเกตเห็นประกายตาเย็นชานี้ได้ คนที่ไม่ใช่เป้าหมายไม่อาจสังเกตเห็นได้ทัน

"ฮั่วชิน งั้นรึ?" มุมปากของต้วนหลิงเทียนแสยะยิ้มออกมา เขาดูแคลนประกายตาเย็นชาที่ฮั่วชินส่งมาหมายข่มขู่เขา

สำหรับเขาฮั่วชินอะไรนี่ ไม่ได้ต่างอะไรไปจากตัวตลกสักนิด

"เวทีประลองเป็นตายนับว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของนิกายกระบี่ 7 ดาวของพวกเรา ...ศิษย์ทุกๆคนในนิกายกระบี่ 7 ดาวมีสิทธิ์ที่จะสามารถใช้เวทีประลองเป็นตายได้ทุกคน...แต่ทว่าเมื่อผู้ใดเหยียบย่างขึ้นมาบนเวทีนี้ต้องจักทำใจยอมรับว่าตัวอาจตกตายได้ทุกเมื่อเช่นกัน กล่าวได้ว่ามันเป็นเวทีประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน”

"การที่จะใช้เวทีประลองเป็นตายนั้น ย่อมหมายความว่าเจ้ากับคู่กรณีนั้นมีความแค้นยากที่จะอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้แล้ว...และเวทีประลองเป็นตายนี้ นับว่าเป็นเพียงสถานที่เดียวของนิกายกระบี่ 7 ดาวที่ไม่ต้องรับผิดชอบอันใดทั้งสิ้นเมื่อทำการสังหารผู้คน! "ฮั่วชินค่อยๆกล่าววาจาออกมา เมื่อกล่าวจบสายตาของเขาก็เบนไปตกที่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง อย่างไม่ขาดการยั่วยุ

ราวกับว่ามันกำลังท้าทายต้วนหลิงเทียน

เจ้ากล้าขึ้นมาต่อสู้กับข้าบนเวทีประลองเป็นตายหรือไม่?

ทว่าครู่ต่อมาฮั่วชินก็สังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นต้วนหลิงเทียนไม่ได้สบสายตาหรือมองมาที่เขาแม้แต่นิดเดียว นั่นทำให้ใบหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย  เขาเคยถูกผู้ใดเมินเฉยไม่แยแสเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ที่สำคัญไปกว่านั้น คือคนที่กล้าไม่แยแสเขา มันเป็นเพียงศิษย์สายนอกนิกายคนใหม่เท่านั้น!

"ไอเด็กโอหัง ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจักให้เจ้าตาย!" เจตนาฆ่าฟันรุนแรงก่อเกิดขึ้นในใจของฮั่วชินสถานการณ์ตอนนี้อดไม่ได้ที่เขาจะนึกย้อนไปในยามเจอต้วนหลิงเทียนที่เหลาอาหารเมื่อ 5 วันก่อน และต้องเสียหน้าต่อผู้คนมากมาย

ในใจของเขานั้นได้จงเกลียดจงชังชายหนุ่มชุดสีม่วงคนนี้ไปแล้ว

หลังจากที่ฮั่วชินกล่าวจบคำนั้น เหล่าศิษย์สายในเข้าใหม่ทั้งหมดยกเว้นต้วนหลิงเทียน สีหน้าของพวกมันก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย จะต่างกันที่มากน้อยกันไปตามแต่ละคน  บางคนสีหน้าของมันก็แสดงความหวาดกลัวออกมาไม่น้อย มีบ้างที่ถึงขั้นซีดเซียว มีบ้างก็เฉยๆ

เวทีประลองเป็นตาย!

ไม่หยุดยั้งจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจักตกตาย!

ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น!

รอยยิ้มเริ่มฉีกกว้างขึ้นที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน

เวทีประลองเป็นตายนี่ช่างยอดเยี่ยมนัก!

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมมองขาด ว่าเวทีประลองเป็นตายนี้เป็นการจำกัดให้ศิษย์ของนิกายกระบี่ 7 ดาว ฆ่าฟันกันอยู่ในระดับหนึ่ง ...

ทว่าหากลอบสังหารโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แน่นอนว่า ผู้ลงมือก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเช่นกัน

เวทีประลองเป็นตายนี้มีไว้เพียงเพื่อไม่ให้ศิษย์นิกายกระบี่ 7 ดาวกล้าสังหารผู้อื่นพร่ำเพรื่อ ต่อหน้าผู้คนเท่านั้น

หากไม่มีใครอยู่รอบๆ นั่นหมายความว่า จะมีหรือไม่มีเวทีประลองเป็นตายก็ไม่ได้แตกต่างอะไร

ไม่นานหลู่ชิว ก็กล่าวออกมาอีกครั้ง  "หลังจากที่ทุกคนกลายเป็นศิษย์สายนอกของขุนเขาเทียนเฉวียนแล้ว ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะนำเกียรติยศมาสู่ขุนเขาเทียนเฉวียน... และตราบใดที่เจ้านำเกียรติยศมาสู่ขุนเขาเทียนเฉวียน ทางขุนเขาก็จักปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี"

คำที่หลู่ชิวพึ่งกล่าวจบไปนั้น พลันสร้างความสงสัยและตื่นเต้นขึ้นมา

"ท่านผู้อาวุโสหลู่ขอรับ คำกล่าวนี้ท่านหมายความวาอย่างไรหรือขอรับ?" หนึ่งในศิษย์สายนอกทีมีความสงสัยอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมาเสียงดัง

รีวิวผู้อ่าน