px

เรื่อง : ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)***
ตอนที่  25 : เบื้องหลังความวุ่นวายและข้ารับใช้ผู้ฝืนลิขิตฟ้า


ตอนที่  25 : เบื้องหลังความวุ่นวายและข้ารับใช้ผู้ฝืนลิขิตฟ้า

จู่ๆอู่เฉินก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าสำนัก ของเยอะขนาดนี้ท่านขนไปคนเดียวก็คงไม่ไหว งั้นข้าจะส่งคนขนไปให้ท่านดีรึไม่ ?”

 

“ ข้าไม่ได้รีบร้อนอะไร” จางหยูโบกมือพร้อมกับหัวเราะ “ในเมื่อข้าไปเยือนสำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานมา มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะไม่ไปหาตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้ว”

 

เติ้งเป่ยเซียว ผู้นำตระกูลเติ้ง, สวี่หยาง ผู้นำตระกูลสวี่และฮั้วคุน ผู้นำตระกูลฮั้วต่างก็เป็นหัวเรือใหญ่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น จางหยู ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยคนพวกนี้ไป

 

ด้วยทรัพยากรที่ปล้นไปจากสำนักคังเฉียง ทำให้ตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในบรรดาตระกูลชั้นที่สองแทบไม่มีใครสามารถต่อกรกับพวกเขาได้ ตลอดเวลามานี้พวกเขาหวังที่จะแทนที่ตระกูลอู่ด้วยซ้ำ

 

เมื่ออู่เฉินได้ยินแบบนั้น เขาก็ลังเลและหยุดพูดไป

 

จางหยูคิ้วขมวดและถามขึ้นมา “ เจ้าอยากจะบอกอะไร ?”

 

“เจ้าสำนัก ข้าได้ยินมาว่าเรื่องในปีนั้น บางทีตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่, ตระกูลฮั้ว ก็ทำใจลำบากเช่นกัน” อู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“เจ้ารู้อะไรมา ?” จางหยูมองไปที่อู่เฉิน และถามอย่างสงสัย

 

“เจ้าสำนักอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้น” อู่เฉินชะงักและรีบอธิบาย เพราะกลัวว่าจางหยูจะเข้าใจผิด

 

จางหยูพยักหน้า “ ไม่ต้องกังวล ข้าเชื่อเจ้า เอาล่ะ บอกสิ่งที่เจ้ารู้มา”

 

อู่เฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆว่า “เท่าที่ข้ารู้มา คนที่เป็นหัวเรือใหญ่จริงๆมีแค่ 3 คน นั่นก็คือ หลินไห่หยา , ลัวเยว่ซานและตู้รั่วหยุน เหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนั้นคือแผนการร้ายที่ทั้งสามคนวางเอาไว้ ส่วนโม่เทียนโฉว, จั่นเฟิงและลัวจวินนั้นเข้าร่วมในภายหลัง โม่เทียนโฉวรับคำสั่งจากตู้รั่วหยุน จั่นเฟิงรับคำสั่งจากหลินไห่หยาและลัวจวินรับคำสั่งจากลัวเยว่ซาน สำหรับตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วแล้ว พวกเขาต่างก็โดนบังคับจาก 3 หัวเรือใหญ่ แต่เดิมแล้วพวกนั้นเล็งมาที่ข้า แต่ข้าปฏิเสธพวกนั้นไป พวกนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่สามตระกูลนั้นแทน”

 

พูดถึงตรงนี้ อู่เฉินก็มองจางหยูอย่างระมัดระวัง

 

“ ว่าต่อ” จางหยูยังไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา

 

“เติ้งเป่ยเซียว ผู้นำตระกูลเติ้งบอกกับข้าเองว่า พวกเขาไม่อยากจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เพราะถ้าหากวันหนึ่งบิดาท่านกลับมา เขาจะต้องมาทวงหนี้แค้นอย่างแน่นอน ทว่าด้วยการบีบบังคับจากสามหัวเรือใหญ่ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก สุดท้ายจึงได้แต่ตอบตกลง” อู่เฉินพูดต่อไปว่า “เหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เชื่อคำพูดของเติ้งเป่ยเซียว เพราะความจริงแล้ว ในวันนั้นหลินไห่หยาและอีกสองคนนั้น ตั้งใจจะฆ่าท่าน แต่หลังจากที่เติ้งเป่ยเซียวรู้เรื่องนี้ เขาก็มาหาข้าและบอกให้ข้าขวางพวกหลินไห่หยาไว้...”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น จางหยูก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าก็มีส่วนในเรื่องนั้นด้วยรึ ?”

 

อู่เฉินพูดออกมาด้วยท่าทีละอายใจ “ข้าขอโทษด้วยเจ้าสำนัก แต่ในปีนั้นข้าทำได้เพียงขัดขวางไม่ให้พวกเขาสังหารท่านได้เท่านั้น แต่กลับไม่สามารถขวางไม่ให้พวกเขาทำลายสำนักคังเฉียงได้”

 

อันที่จริงแล้ว อู่เฉินยังมีบางสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือเหตุผลที่เขาไม่เข้าร่วมในปีนั้น อู่เฉินกลัวว่าถ้าหากจางเฮ่าหลันกลับมา ชายผู้นั้นจะต้องแก้แค้นคนที่สร้างความวุ่นวายในปีนั้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าจางเฮ่าหลันรู้ว่าเขาได้ช่วยชีวิตจางหยูเอาไว้ มันก็หมายความว่า จางเฮ่าหลันกับจางหยูติดหนี้บุญคุณเขา

 

แต่เป้าหมายนี้ดูเหมือนจะไร้ค่าไป  และอู่เฉินเองก็อายที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

 

แน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดมันออกมา แต่จางหยูก็พอคาดเดาได้

 

ยังไงซะ ในตอนนั้นอู่เฉินก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจางหยู หากไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำไมเขาถึงต้องเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิต จางหยูด้วย?

 

“พูดแบบนี้ก็หมายความว่า ข้าต้องขอบคุณทั้งสามตระกูลที่ทำให้ข้ารอดชีวิตมาได้งั้นรึ?” สีหน้าของจางหยูเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ข้าควรขอบคุณพวกนั้นจริงๆรึ ?”

 

คนที่เขาเกลียดชังมาตลอด 7 ปี กลับกลายเป็นคนที่มีบุญคุณต่อเขางั้นรึ ?

 

 “ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก การที่พวกนั้นมาขอให้ข้าช่วยท่าน ก็นับว่าเป็นความดีของพวกเขา แต่พวกเขาก็เข้าร่วมเหตุการณ์วุ่นวายในปีนั้น ทั้งยังสังหารคนของสำนักคังเฉียงไปไม่น้อย” อู่เฉินเงียบไปสักพักและมองไปที่จางหยู “ถูกรึผิดนั้นท่านตัดสินเอง !”

 

เหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนั้น ทำให้หลายคนต้องตายไป

 

แม้ว่าตอนนั้นจางหยูจะยังเด็ก แต่ความทรงจำในเรื่องนั้นก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ

 

เขาจำได้ว่าในวันนั้น มีผู้อาวุโสหลายคนของสำนักคังเฉียงรวมไปถึงครูฝึกและศิษย์ที่ภักดีต่อสำนักคังเฉียงได้ยืนหยัดสู้กับศัตรู แต่เนื่องจากมีคนทรยศอย่างตู้รั่วหยุน ทำให้พวกเขาไม่อาจต้านทานไว้ได้นาน สุดท้ายผู้คนในสำนักคังเฉียงบ้างก็ตกตายบ้างก็หนีหายไป แค่คืนเดียวทั้งสำนักคังเฉียงก็เหลือเพียงเขาแค่คนเดียว

 

บอกได้ว่าความทรงจำในตอนนั้น ยังคงเป็นเงาหลอกหลอนจางหยูอยู่

 

แม้ว่าจางหยูในตอนนี้จะเปลี่ยนเป็นวิญญาณดวงใหม่แล้ว แต่เขาก็ได้สืบทอดความทรงจำจากจางหยูอีกคนมา รวมไปถึงความเกลียดชังด้วย

 

จางหยูยืนเงียบๆ ขณะยกมือลูบคางของตัวเองพลางครุ่นคิด

 

อู่เฉิน อู่โม่และคนอื่นต่างๆพากันกลั้นลมหายใจ และไม่กล้าที่จะส่งเสียงใดๆออกมาเพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนจางหยู

 

อู่ซินซินก็ยืนเงียบๆอยู่ด้านข้าง พลางจ้องมองไปที่จางหยูด้วยความสงสัย ราวกับว่ากำลังเดาว่าจางหยูนั้นคิดอะไรอยู่

 

แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่คนตระกูลอู่ก็ยืนอยู่นอกจวนหลายคน แม้จะมีผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่อึกทึกวุ่นวาย มิหนำซ้ำบรรยากาศยังดูอึมครึมเล็กน้อย

 

ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดจางหยูก็ได้สติกลับมา เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของอู่เฉิน เขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “ช่างมันเถอะ ครั้งนี้ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเขา แต่เจ้าจงเป็นตัวแทนของข้าไปบอกคนเหล่านั้นว่า สิ่งของที่คนพวกนั้นเอาไปจากสำนักคังเฉียง ต้องนำกลับมาคืนภายใน 3 วันและห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียว อีกอย่างมือของพวกเขาก็เปื้อนเลือดคนของสำนักคังเฉียงแล้ว ดังนั้นสำนักคังเฉียงจะกีดกันคนของพวกเขาเข้าสำนักไปตลอดกาล!”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น อู่เฉินก็ใจเต้นรัว เขาตอบกลับด้วยความดีใจว่า “ขอรับ!”

 

คืนตำรา เคล็ดวิชา อาวุธและยาต่างๆนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสามตระกูล ยังไงซะของดีๆส่วนใหญ่ก็ตกเป็นของหลินไห่หยา, ลัวเยว่ซานและตู้รั่วหยุน  สุดท้ายของมีค่าที่ตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วได้ไปนั้นก็ไม่มากมายอะไรนัก

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การโดนกีดกันจากสำนักคังเฉียง !

 

ต้องรู้ว่าสำนักคังเฉียงในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่มี “นักสู้ว่อซวน” อยู่เท่านั้น แต่ยังมีทักษะมหัศจรรย์อย่าง “ทักษะจี๋อู่” รวมไปถึงเม็ดยาฉีซวนที่เจ้าสำนักแจกจ่ายให้กับเหล่าลูกศิษย์ ไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีของดีกว่านี้ปรากฏขึ้นมาก็ได้

 

สิ่งเหล่านี้ สำหรับคนอื่นๆแล้ว มันคือโอกาสอันล้ำค่าที่ผู้คนต้องคว้ามันไว้ให้ได้ แม้ว่าพรสวรรค์จะแย่แค่ไหน แต่ก็สามารถกลายเป็นนักสู้ที่แท้จริงได้ !

 

อย่างไรก็ตาม จางหยูได้ประกาศไม่รับคนของตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วเป็นศิษย์ของสำนักคังเฉียงไปตลอดกาล....

 

ในมุมมองของอู่เฉินแล้ว นี่คือการลงโทษที่โหดร้ายที่สุด !

 

อู่โม่และอู่ซินซินรู้สึกเสียดายแทนสามตระกูลนั้น พวกเขารู้ดีว่าตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วนั้นได้พลาดโอกาศที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนไป  

 

“เจ้าสำนัก ท่านไม่กังวลว่าข้าจะโกหกท่านงั้นรึ ?” อู่เฉินถามด้วยความสงสัย

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ จางหยูเหมือนไม่ได้สงสัยในสิ่งที่เขาพูดเลย ซึ่งทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย เดิมทียังคิดว่าต้องหาคำพูดมากมายมาอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่สุดท้ายคำพูดที่คิดไว้ก็ไม่ได้ถูกพูดออกไปแต่อย่างใด  

 

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งระคนหดหู่เล็กน้อย ตอนนี้อู่เฉินรู้สึกราวกับว่ามีก้างปลาติดคอ แต่คายออกมาไม่ได้

 

 “ข้าเชื่อในตัวเจ้า” จางหยูมองไปที่อู่เฉิน แล้วกล่าวออกมาอย่างช้าๆ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่น ทำให้คนที่มองรู้สึกสบายใจขึ้นมา

 

“ ขอบคุณเจ้าสำนักสำหรับความเชื่อใจ !”

 

อู่เฉินซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกชื่นชมจางหยูยิ่งกว่าเดิม

 

ถ้าเขารู้ว่าเหตุผลที่ทำให้จางหยูเชื่อเขานั้นเป็นเพราะเขาได้เซ็นสัญญานภาล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่มีท่าทีเช่นนี้แน่

 

“ใช่แล้ว ข้าก็ยังมีคำถามอีกข้อ เจ้า ตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วมีความสัมพันธ์อะไรกัน หาไม่แล้ว เจ้าคงไม่เสี่ยงออกหน้าขอร้องแทนพวกเขาหรอก” จางหยูโบกมือและมองไปที่อู่เฉินด้วยท่าทีสงสัย  เขาถามคำถามที่อยู่ในใจเขามานานออกมา

 

ตามที่จางหยูรู้มา หลายปีที่ผ่านมานี้ตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจของพวกเขาเริ่มขยายตัว ถึงแม้ว่าเมืองทะเลทรายจะมีขนาดใหญ่ แต่ตลาดก็มีจำกัด การเติบโตทางธุรกิจของตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้วนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อตระกูลอื่น แม้แต่ตระกูลอู่ก็เช่นกัน สามารถพูดได้ว่าสามตระกูลนั้นขัดแย้งกับตระกูลอู่ในหลายทาง พวกเขาถือว่าเป็นคู่แข่งกันก็ว่าได้

 

จางหยูเดาไม่ออกว่าทำไมอู่เฉินถึงได้ออกตัวแทนสามตระกูลนั้น ?

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าสำนักจะถามเรื่องนี้” อู่เฉินดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะแสดงสีหน้าที่ซับซ้อนขึ้นมา “หากพูดไปแล้วเกรงว่าคงทำให้ท่านต้องขบขำ ความจริงแล้วข้าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลเติ้ง และเป็นตระกูลเติ้งที่มอบโอกาสให้ข้าได้สัมผัสกับเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ แต่เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ข้าต้องออกจากตระกูลเติ้ง ออกจากเมืองทะเลทรายและไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอก จนกระทั่งการบ่มเพาะของข้าแข็งแกร่ง ข้าถึงได้กลับมาและก่อตั้งตระกูลอู่ในวันนี้ขึ้น”

 

“ห๊ะ?” อู่โม่เบิกตากว้างอย่างตกใจ “ท่านพ่อ เมื่อก่อนท่านเป็นข้ารับใช้อย่างนั้นรึ?”

 

อู่ซินซินมองไปที่อู่เฉินอย่างโง่งม สำหรับนางแล้วบิดาเปรียบเสมือนภูผาอันยิ่งใหญ่ แต่ใครจะรู้ว่าเขาเคยเป็นข้ารับใช้มาก่อน

 

วินาทีนี้ ภาพลักษณ์ของอู่เฉินในสายตาของอู่โม่และอู่ซินซินได้สลายไป !

 

ใครจะไปคิดว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองทะเลทราย จะเคยเป็นข้ารับใช้ของตระกูลเติ้งมาก่อน

 

ข้ารับใช้ตระกูลเติ้งกับผู้นำตระกูลอู่ สองคนนี้มีความเกี่ยวข้องเช่นนี้เอง

 

จางหยูเองก็ตกตะลึงจนตาค้าง เพียงแต่ว่าเขาปกปิดไว้ได้ดี ดังนั้นจึงไม่มีใครมองออก แม้ในใจจะหัวเราะจนท้องแทบเป็นตระคริว แต่สีหน้าของเขากลับยังคงเรียบเฉยและกล่าวออกมาว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ประสบการณ์ชีวิตของเจ้าช่างน่าทึ่งยิ่งนัก  !” มีผู้คนมากมายในชีวิตก่อนของเขา ที่เป็นเหมือนผู้นำตระกูลอู่ อาจจะเรียกคนประเภทนี้ว่าผู้ฝืนลิขิตฟ้า

 

จากข้ารับใช้คนหนึ่ง กลับสามารถเปลี่ยนสถานะของตัวเอง ให้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองทะลทราย ชีวิตของอู่เฉินนั้น ควรค่าแก่การยกย่อง

 

“ข้าเก็บความลับนี้มา 30 ปีและไม่มีใครเคยพูดถึงมัน” หลังจากที่อู่เฉินบอกเรื่องนี้ออกมา เขาก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าได้ปลดล็อกโซ่ที่รัดตัวเอาไว้ออก “แม้แต่โม่เอ๋อร์และซินซินก็เพิ่งรู้เรื่องนี้” บางทีอาจจะเป็นเพราะสัญญานภา จึงทำให้อู่เฉินลดเกราะป้องกันของตัวเองกับครอบครัวลง และยอมบอกเรื่องนี้อออกมา

 

หลังจากที่พูดเรื่องในอดีตออกมาแล้ว อู่เฉินก็พูดขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า “ข้าไม่สนความเป็นความตายของตระกูลสวี่และตระกูลฮั้ว แต่ตระกูลเติ้งนั้นมีเมตตาต่อข้า ข้าไม่อาจลืมบุญคุณนี้ได้”

รีวิวผู้อ่าน

pimjan100
1670 วันที่แล้ว

สนุก


  แสดงความคิดเห็น