px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 107 กึ่งหลับกึ่งตื่น


"ข้าอิ่มแล้ว!"

เมื่อต้วนหลิงเทียนกินอิ่มก็เริ่มเอนตัวลงนอนใต้ต้นไม้ทันที เขาใช้สองมือประสานไขว้ไปที่หลังหัวก่อนที่จะเอนหลังพิงรากไม้ขาซ้ายชันขึ้นมาก่อนที่จะนำขาขวาไปพาดไว้ แล้วกระดิกเท้าอย่างสบายอารมณ์

ดวงดาราสุกสกาวเต็มท้องฟ้าที่ทอไปด้วยสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ของราตรีกาล ภาพนี้มันพาลให้จิตใจสงบยิ่งนัก

"เฮ่ ลั่วเฉินข้าย่างเนื้อจนกินไปหมดแล้วถึง 3 ชิ้น แต่เจ้ายังย่างไม่เสร็จสักกะชิ้นช่างพิรี้พิไรเสียจริง นี่เจ้าต้องมาเบิ่งตามองดูข้านี่ ดูว่าวิธีย่างและกินของข้าเป็นอย่างไร และนี่ล่ะ! วิถีของลูกผู้ชาย!! " เมิ่งฉวนกล่าวออกมาอย่างโอ้อวด ทั้งที่เนื้อชิ้นเมื่อครู่แลดูเหมือนจะยังไม่สุกดีนัก

เซี่ยวหยูที่เห็นท่าทางของมันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เมิ่งฉวนข้าว่าไอที่เจ้าทำนั้นหาได้เรียกว่ากินไม่ แลดูเหมือนจะเรียกว่ายัดเสียมากกว่า เพราะเจ้าเอาเข้าปากแล้วก็กลืนลงไปแทบจะทันที หาได้ลิ้มรสชาติหอมหวานของเนื้ออันใดไม่..."

"ยัดอะไรกันเล่า ใยเจ้าไม่ดูหลิงเทียนมันบ้างเล่า มันกินเร็วกว่าข้าเสียอีก! อย่างข้าเรียกว่ายัดแล้วอย่างมันเรียกอันใดกันเล่า?" เมิ่งฉวนกล่าวหาพวกทันที

"เมิ่งฉวน ข้านอนของข้าอยู่ดีๆทำไมเจ้าต้องลากข้าไปจมปลักกับเจ้าด้วยเล่า" หลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา

การกินเร็วของหลิงเทียนนั้นแน่นอนว่าย่อมติดนิสัยมาจากอาชีพทหารรับจ้างและนักฆ่าเมื่อครั้งอดีต บางครั้งเวลาที่เขามีให้กินอาหารนั้นมันช่างน้อยนิดนัก เขาจึงซึมซับวิธีการกินอาหารอย่างรวดเร็วมาจากประสบการณ์และการปรับตัว ทั้งเขายังค่อนช้างโชคดีนักที่วิธีการกินแบบนี้นานๆเข้ามันทำให้ระบบเผาผลาญและย่อยอาหารของเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก การกินเร็วของเขานั้น ไม่ค่อยพบกับสถานการณ์อาหารไม่ย่อยสักเท่าไร

เพราะในชีวิตที่แล้วของเขาก็ได้ฝึกวิชาการต่อสู้มามากมาย อีกทั้งยังมีมวยจิตที่มีการโคจรพลังภายในเล็กน้อย ทำให้อวัยวะภายในของเขาแข็งแรงมากกว่าคนทั่วไปอยู่พอสมควร

ส่วนพอมาถึงชีวิตนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลย นี่เพราะร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าชีวิตที่แล้วลิบลับ ...

เพราะตอนนี้ด้วยระดับพลังงานต้นกำเนิดของเขานั้นทำให้เขามีความแข็งแกร่งสูงถึงระดับช้างแมมมอธโบราณ 5 ตัว แล้วไหนจะความแข็งแกร่งของร่างกายเขาอีกที่มีความแข็งแกร่งอีกถึง 2 ช้างแมมมอธโบราณ รวมแล้วก็เป็น 7!

แล้วผู้ใดยังกล้าแคลงใจกับความสามารถในการกินของเขาอีก?

"นี่ พวกเราคงไม่ต้องนอนกลางดินเช่นนี้หรอกนะ?" ลั่วเฉินกล่าวออกมาด้วยความกังวลเล็กน้อย

“ข้าว่าหากเราได้นอนที่นี่ก็ดีมากแล้ว หากต้องไปนอนในหุบเขาซ่อนอรุณข้าว่ามันจะอันตรายกว่าตรงนี้หลายเท่า”

"บัดซบ! ใยกล่าวเป็นลางเช่นนั้นเล่าเมิ่งฉวน ข้าหวังว่ามันคงจะไม่เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวหรอกนะ"

ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งลุกขึ้นนั่งมาในขณะที่แขวะเมิ่งฉวน พลันเห็นหัวหน้ากองหยางต้าและเหล่านายกองทั้ง 5 กำลังเดินเข้ามา

หยางต้ากวาดตามองไปยังเยาวชนที่กำลังพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนที่จะกล่าวเสียงดังออกมา "จัดแถวเรียงเดี่ยวตามหน่วยย่อย ปฏิบัติ!”

เยาวชนทั้งหมดที่ได้ยินก็รีบลุกขึ้นและยืนเรียงแถวตามหน่วยย่อยทันที

"หืม?"

ทันใดนั้นเองหยางต้าที่กวาดสายตามองไปรอบๆก็กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ "หยูเซี่ยง เจ้ายังนั่งทำอะไร เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรือไร?

"เฮ่ ดูเหมือนไอตัวที่มีปานหรือกลากเกลื้อนก็ไม่รู้ที่ไหล่และตูดนั่นจะกล้าไม่ฟังคำสั่งหัวหน้ากอง หรือว่ามันอับอายที่ถูกผู้อื่นเป็นปานที่ตูดกัน จึงได้นั่งทับไว้ไม่ยอมลุกเช่นนั้น" เมิ่งฉวนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ทันใดนั้นเองเยาวชนทุกคนที่นอกเหนือจากคนของตระกูลหยูพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

"หากเจ้ายังเป็นผู้ชาย แน่จริงลองกล่าวออกมาอีกครั้ง!!"

หยูเซี่ยงที่รีบลุกขึ้นและเดินมาเข้าแถวนั้น ได้ยินคำกล่าวของเมิ่งฉวนได้ทันพอดิบพอดี ตอนนี้มันจึงใช้สายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารจับจ้องมายังเมิ่งฉวน ด้วยความอำมหิต

"เฮอะ!!"

เมิ่งฉวนเพียงสบถและเลือกที่จะเมินหยูเซี่ยงในทันที ...ด้วยความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่าของเขา หากยังไปวอแวหยูเซี่ยงต่อ เดี๋ยวก็ได้ไปเกิดใหม่กันพอดี!

"เฮ่ เหตุใดเจ้าถึงกล่าวราวกับยอมรับความจริงไม่ได้กันเล่า ... ยามนี้เรื่องที่เจ้ามีปานที่ตูดหาได้เป็นความลับอะไรอีกต่อไป ผู้อื่นเขาเห็นกันจนหมดสิ้นแล้ว ปานดำบนตูดขาวช่างอุบาทว์ตายิ่งนัก" ต้วนหลิงเทียนแกล้งเอามือตบตูดปับๆ ในขณะที่กล่าวล้อเลียนออกมา

"ฮ่า ๆ ๆ ๆ…"

ตอนนี้เองทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง

ตอนนี้ในสมองของเยาวชนทุกคนนั้น อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพหยูเซี่ยงเปลือยกายวิ่งไปกลับทางเข้าหุบเขาซ่อนอรุณขึ้นมา ตูดขาวๆกับปานดำๆ ช่างเป็นอะไรที่น่าจดจำนัก ... ..

"ต้วนหลิงเทียน!"

ในขณะที่เขากล่าวเรียกชื่อหลิงเทียนด้วยเสียงคำรามนั้น จิตสังหารของเขาพลันแผ่กระจายออกมาอีกทั้งแววตาของเขายังแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตอย่างถึงขีดสุด

"พอ!"

สีหน้าของหยางต้าเริ่มคล้ำขึ้นในขณะที่ฟังคำโต้เถียงของเหล่าเยาวชน "หากพวกเจ้าคิดจะถกเถียงหรือต่อยตีอันใด โอกาสยังมีอีกมากหลังจากนี้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรไร้สาระเช่นนั้น พวกเจ้าทั้ง 5 หน่วยย่อย จะได้เริมรับการฝึกฝนส่วนหนึ่งของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ พวกเจ้ารีบเดินตามครูฝึกประจำหน่วยของพวกเจ้า เขาไปในหุบเขาซ่อนอรุณเสีย! อย่าได้โอดครวญกล่าวโทษผู้ใดหากเจ้าพลัดหลงกับครูฝึกจนต้องหลงทางอยู่กลางป่า หากโชคไม่ดีร่างของพวกเจ้าก็จะกระจัดกระจายเป็นชิ้นหลังจากถูกกลุ่มสัตว์อสูรกลุ้มรุม

เหล่านายกองทั้ง 5ที่รับบทบาทครูฝึก รีบพุ่งร่างหายเข้าไปในหุบเขาซ่อนอรุณทันที ที่หยางต้ากล่าวจบคำ

เยาวชนทั้ง 5 หน่วยเห็นดังนั้นพวกมันก็รีบเคลื่อนร่างพุ่งตามหัวหน้ากองของพวกมันไปทันที โชคดีที่เหล่าครูฝึกได้ลดความเร็วลงให้อยู่ในระดับที่พวกมันยังพอติดตามได้

ถ้าหากพวกเขาเลือกที่จะวิ่งเต็มกำลังแล้วล่ะก็ ด้วยความสามารถที่มีจำกัดของเหลาเยาวชนในตอนนี้ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถติดตามได้ทัน

วิ่งไปได้ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงทางแยกที่ 2 อันเป็นทางแยก 5 แพร่ง สุดท้ายแต่ละหน่วยก็แยกย้ายกันไปหน่วยละเส้นทาง

ต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหยู เมิ่งฉวน และลั่วเฉิน วิ่งขึ้นมาเป็นกลุ่มผู้นำติดตามหลังของฟางเจี้ยนครูฝึกของกลุ่มพวกเขาอย่างไม่ลดละ

"บัดซบ! เมิ่งฉวนปากของเจ้าพาซวยแล้วไง"

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปกล่าวพร้อมถลึงตามองเมิ่งฉวน

เพราะเขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เมิ่งฉวนนั้นกล่าวเรื่องอัปมงคลเช่นนี้ออกมา

"อะไรเล่า เรื่องมันจะเกิดก็ต้องเกิด เจ้าจะโทษข้าได้ไงกันเล่า" เมิ่งฉวนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

ใบหน้าของลั่วเฉินเริ่มซีดลง และมันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจากความหวาดกลัวว่า "มันคงไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายหรือสัตว์อสูรมาโจมตีพวกเรา ในขณะที่นอนหลับใช่หรือไม่?"

"เจ้ายังต้องถามอีกหรือไร! เรื่องนั้นมันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว" เมิ่งฉวนกล่าวแขวะออกมา

“ลั่วเฉินเจ้าไม่เคยค้างแรมในป่าเช่นนี้หรือ?” ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยลมหายใจสงบ ท่าทีของเขาดูเหมือนไม่ทุกข์ ร้อนอะไรกับเรื่องนี้สักนิด

"ไม่เคยเลย"ลั่วเฉินกล่าวพร้อมส่ายหัวออกมา

"เฮ่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดบุรุษที่หน้าสวยและบอบบางราวกับอิสตรีเช่นเจ้า ถึงต้องเสี่ยงอันตรายมาเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะอะไรนี่ด้วยเล่า" เมิ่งฉวนกล่าวออกมาด้วยความสงสัยเล็กน้อย

เมื่อได้ยินคำถามของเมิ่งฉวน ร่างของลั่วเฉินก็สั่นระริกขึ้นมา เขาได้แต่กำหมัดแน่นและกล่าวออกมาในขณะที่หันไปจ้องเมิ่งฉวนว่า "ข้าไม่ใช่บุรุษหน้าสวย!"

"ฮ่าๆ อะไรกัน แค่นี้ก็ต้องโกรธกันด้วย เจ้าอยากจะต่อยตีกับข้าหรือไร?"

เมิ่งฉวนยิ้มกว้างท่าทางของเขาราวกับกระสันอยากจะมีเรื่องทุบตีกับผู้อื่นนัก

"พอได้แล้ว เมิ่งฉวน หากเจ้ามีแรงเหลือ อยากทุบตีผู้คนขนาดนั้น เหตุใดเจ้าไม่เก็บแรงไว้จัดการกับสัตว์ดุร้ายและสัตว์อสูรกันเล่า?" หยูเซี่ยงกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยใจ

ต้วนหลิงเทียนหันไปหรี่ตามองลั่วเฉินราวกับจะค้นหาความจริง

เขาได้สังเกตวาเมื่อครู่ในขณะที่เมิ่งฉวนกล่าวว่าลั่วเฉินเป็นบุรุษหน้าสวยนั้น คาดไม่ถึงว่าบุรุษที่หน้าตาแลไม่สู้คนเช่นมันกลับเผยจิตสังหารออกมาครู่หนึ่ง...

เขาเดาได้ว่าลั่วเฉินต้องมีเบื้องหลังอันน่าคับแค้นใจกับคำๆนี้แน่นอน

ไม่นานหลังจากนั้นหน่วยย่อยที่ 3 ก็ได้เข้ามาถึงส่วนลึกของหุบเขาซ่อนอรุณ ตอนนี้มีสัตว์ดุร้ายที่ไม่ค่อยแข็งแกร่งสักเท่าไรโผล่ออกมาให้พวกเขาได้เข่นฆ่าบ้างประปราย

แต่ระดับบ่มเพาะของสัตว์ดุร้ายที่ต่ำที่สุด ก็เรียกได้ว่าทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 2...

ในพุ่มไม้สีเขียวเบื้องหน้า พลันมีแสงสีแดงราวกับโลหิตเป็นคู่ๆล่องลอยออกมาเป็นจำนวนมากเห็นได้ชัดว่ามีหมาป่าซ่อนอยู่ภายใน

หมาป่าเหล่านี้หาได้เหมือนหมาป่าโง่ๆทั่วไปไม่ แต่พวกมันเป็นถึงสัตว์ดุร้าย พวกมันรู้จักรอคอยเวลาที่เหมาะสม มันรอจนกว่าเหยื่อจะตายใจและตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอที่สุด

"เอาล่ะ คืนนี้พวกเราจะนอนที่นี่"

ฟางเจี้ยนกวาดสายตามองไปยังเหล่าเยาวชนที่กำลังหันมองรอบๆอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะกล่าวคำที่น่าตื่นตระหนกออกมา

"อะไรนะ?!"

"ให้พวกเรานอนที่นี่ ครูฝึก!! ท่านกล่าวล้อเล่นหรือ?!"

ทันใดนั้นท่าทางและสีหน้าของเหล่าเยาวชนล้วนเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

ลั่วเฉินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ชายหนุ่มคนหนึ่งกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ก่อนที่จะกล่าวออกมา "ท่านครูฝึก ท่านจะคอยปกป้องพวกเราหรือไม่?"

เมื่อคำกล่าวนี้ดังขึ้น ทุกสายตาของเยาวชนพลันจับจ้องไปยังฟางเจี้ยนด้วยความคาดหวัง ...

ฟางเจี้ยนพลันกล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว "พวกเจาลืมไปแล้วหรือไร ข้าเป็นครูฝึกที่ต้องคอยจัดหาบททดสอบให้เจ้า แต่ข้าหาได้คิดจะไปก้าวก่ายหรือยุ่งวุ่นวายอะไรในความปลอดภัยของชีวิตพวกเจ้าไม่ พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนี้มีโอกาสตกตายสูงขนาดไหน... และนี่เป็นเพียงบดทดสอบแรกที่ถือว่าง่ายที่สุดด้วยซ้ำ"

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของฟางเจี้ยน อดไม่ได้ที่เหล่าเยาวชนจำนวนมากจะมีใบหน้าซีดเผือกขึ้นมา

และยังมีเยาวชนบางกลุ่มที่แลดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร นี่คงเป็นพวกที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันหรือเคยค้างแรมในป่าเช่นเดียวกันกับ ต้วนหลิงเทียน เซี่ยวหยู และเมิ่งฉวน

"นอนได้แล้ว!"

ฟางเจี้ยนกวาดสายตามองไปทั่วๆอีกครั้งก่อนที่จะกลาวออกมา และเขาก็ล้มตัวลงนอน ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไป

ทิ้งให้เยาวชนที่เหลือหันหน้ามองกันอย่างเป็นกังวล

ต้วนหลิงเทียนเป็นคนแรกที่ทิ้งตัวลงนอนในจุดนั้นทันที

"ต้วนหลิงเทียน พวกเรา ... พวกเราจะนอนตรงนี้จริงๆหรือ?"

ขาของลั่วเฉินยังคงสั่นพั่บๆ

"ลั่วเฉินอย่าได้พิรี้พิไรดั่งเช่นอิสตรี รีบไปนอนเสีย!"

เมิ่งฉวนกล่าวออกมาด้วยความรำคาญก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนเช่นกัน

เซี่ยวหยูก็ทำตามเช่นกัน

สุดท้ายแล้วเยาวชนส่วนมากของหน่วยที่ 3 ก็ล้วนล้มตัวลงนอนอย่างกล้าหาญ ...

สุดท้ายยังเหลือเพียงผู้ที่ยืนตระหง่านไม่ยอมนอนอยู่ 7 คน และแน่นอนว่าลั่วเฉินย่อมเป็น 1 ในนั้น

"ลัวเฉิน เจ้าคงไม่คิดที่จะยืนทั้งคืนใช่หรือไม่?" หลิงเทียนหรี่พลิกตัวเล็กน้อยในขณะที่ถามออกมา

"ข้า... ข้าไม่กล้านอน" ลั่วเฉินหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม

"อา เช่นนั้นคืนนี้เจ้าก็ไม่ต้องนอนแล้วกัน สู้ๆ"

แล้วหลิงเทียนก็หลับตาลงก่อนที่จะหลับไป ...

บรู๊วววววววว!

บรู๊วววววววว!

...

เมื่อถึงกลางดึกสงัด...เยาวชนล้วนตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งการหลับใหลอยู่ เหล่าหมาป่าที่เฝ้ารอคอยโอกาสก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงก่ำราวกับโลหิตไม่ต่างอันใดกับแสงไฟส่องทางของมัจจุราช

และไม่นานนักชายหนุ่มที่ยังคงตื่นอยู่ก็ต้องรับมือกับหมาป่าที่ดุร้าย

เยาวชนบางคนที่ยังหลับไม่สนิทก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมาจับอาวุธเข้าโรมรันกับเหล่าหมาป่าทันที

เสียงดังโวยวายเริ่มปะทุขึ้น

แม้กระทั่งเซี่ยวหยูและเมิ่งฉวนเองก็ต้องตื่นขึ้นมาโรมรันกับเหล่าหมาป่า

สุดท้ายเหล่าหมาป่าทั้งฝูง ที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 30 ตัวก็ถูกสังหารลงจนสิ้น แต่ถึงกระนั้น...

"มารดามันเถอะ! ถึงขั้นนี้แล้วเจ้าต้วนหลิงเทียนมันยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีก นี่มันนอนหรือซ้อมตายกัน!!"

เมิ่งฉวนอดไม่ได้ที่จะสบทออกมา เมื่อมันที่กำลังเหน็ดเหนื่อยหันไปมองหลิงเทียนแล้วพบว่า หลิงเทียนยังคงนอนหลับอย่างสบายใจเฉิบไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

"ครูฝึกเองก็ยังไม่ตื่นเช่นกัน"

เยาวชนทั้งหลายต่างไร้คำจะกล่าว

หรือสองคนนี้หาได้กลัวหมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายใดๆทำร้ายจริงๆ?

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นมาเยือนแสงอัสดงสอดส่องให้ความอบอุ่นแก่สรรพชีวิตทั่วหล้า ต้วนหลิงเทียนที่หลับใหลอย่างมีความสุขก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีร่าเริงแจ่มใส

เมื่อมองไปยัง 3 หนุ่มที่มีรอยคล้ำใต้ขอบตาเล็กน้อยอดไม่ได้ที่หลิงเทียนจะกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย "เซี่ยวหยู,เมิ่งฉวน... ลั่วเฉินจะมีรอยคล้ำใต้ขอบตาก็หาเป็นเรื่องแปลกอันใด ..แต่ทำไมพวกเจ้าถึงมีด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนพวกเจ้าก็นอนหลับไปแล้วหรือ?"

"ต้วนหลิงเทียน หากไม่ใช่เพราะพวกเราช่วยกันกำจัดหมาป่าทั้งฝูงเมื่อคืนเจ้าคงโดนพวกมันเล่นงานจนตกตายไปแล้ว!"

เมิ่งฉวนมีทีท่าฮึดฮัดในขณะที่กล่าวออกมาพร้อมโทสะ "ฮึ่มเจ้านี่มัน! นี่เจ้าหลับเป็นตายจนถึงเช้าได้ยังไงกัน"

"เมิ่งฉวนเจ้าคิดจริงๆหรือวาตัวข้าต้องถูกหมาป่าทำร้ายจนตาย หากพวกเจ้าทั้ง 3 คนไม่คอยปกป้องข้าเอาไว้" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ราวกับท้าทาย

แน่นอนว่าเมิ่งฉวนไม่คิดเชื่อคำกล่าวท้าทายของหลิงเทียน "เจ้านี่มันฮึ่ม! ไม่ใช่เพราพวกเราช่วยเจ้าหรือไร! ใยเจ้ายังกล้ากล่าววาจาใหญ่โตถึงเพียงนี้!"

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวแล้วก็ยิ้มออกมา เขาย่อมรู้ดีว่าหากตอนนี้ไม่กล่าวอะไรสักหน่อย เมิ่งฉวนจะคิดว่าการที่เขารอดมาได้เป็นเพราะผลงานของพวกมันล้วนๆ "เมิ่งฉวนหากข้าจำไม่ผิด เมื่อคืนมีหมาป่าทั้งหมด 3 ฝูงจู่โจมพวกเรา... ในหมู่ของพวกมันทั้งหมด มีจำนวน 9 ตัวที่คิดกระโดดมาขย้ำข้า แต่เป็นเจ้าที่คอยป้องกันให้ข้า 3 ครั้ง เซี่ยวหยูเองก็มาช่วยป้องกันเอาไว้ให้ข้าถึง 5 ครั้ง ...อ่อ ส่วนลั่วเฉินเองก็ช่วยป้องกันให้ข้า 1 ครั้ง ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่? "

"เจ้า…"

เมิ่งฉวนพลันทำสีหน้าตะลึงงันออกมาราวกับคนโง่งม "เจ้าไม่ได้นอนหลับอยู่หรอกหรือ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?"

"หากข้าจำไม่ผิดต้วนหลิงเทียนคงต้องใช้วิธีนอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น ... แต่ตามความรู้ของข้า วิธีการนอนเช่นนี้มันเป็นวิธีการนอนพักผ่อนของผู้ฝึกยุทธ์ระดับยอดฝีมือ หากไม่ใช่ทหารที่มีประสบการณ์สูงก็ต้องเป็นพวกนักฆ่าที่ใช้ชีวิตอยู่บนขอบเหวแห่งความตายและคมดาบ, และส่วนมากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับบ่มเพาะตั้งแต่ขั้นกำเนิดแก่นแท้ขึ้นไปถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้ "

เซี่ยวหยูได้มองหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน และพยายามค้นหาอะไรบางอย่าง ทว่าหลิงเทียนเองก็ราวกับห้วงมหาสมุทร เขาไม่อาจหยั่งรู้ตื้นลึกหนาบางหลิงเทียนได้แม้แต่น้อย

"เจ้านี่มันตัวประหลาดโดยแท้!" เมิ่งฉวนถึงกับต้องอุทานออกมา อย่างไม่รู้ตัว

สายตาของลั่วเฉินที่ใช้จ้องมองหลิงเทียนตอนนี้เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ

"ครูฝึกท่านมีโอสถรักษาระดับ 7 หรือไม่ขอรับ สหายข้าแทบทานทนไม่ไหวแล้ว ... ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้โอสถทองประสานกายระดับ 8 รักษาไปแล้วถึง 2 เม็ด ทว่าอาการของเขาสาหัสเกินไป โอสถไม่อาจช่วยอันใดได้เลย"

เหล่าเยาวชนกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งมาหาฟางเจี้ยนด้วยท่าทีร้อนรนทันทีที่พึ่งตื่น

"โอสถรักษาระดับ 7 หรือโอสถทองประสานกายระดับ 7 เช่นนั้นรึ ข้าจะไปมีมันได้อย่างไรกัน?"

ฟางเจี้ยนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะเหลือบตามองเยาวชนที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น บาดแผลของมันนับว่าสาหัสนัก "จะอยู่หรือตายล้วนอยู่ที่โชคชะตาของมันและลิขิตฟ้าเท่านั้น อีกทั้งบททดสอบรอบที่ 1 ยังพึ่งเริ่มต้นพวกเจ้าจะโวยวายอะไร ... "

อีกไม่กี่ลมหายใจต่อมาเยาวชนที่นอนอยู่บนพื้นก็ไร้ลมหายใจสืบไป

เหล่าสหายรอบๆพลันรู้สึกสลดขึ้นมา บรรยากาศเศร้าสร้อยแผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว ...

เพียงแค่วันที่สองของการฝึกทั้งหมด 3 เดือน ก็มีหนึ่งชีวิตต้องดับลงไปเสียแล้ว

ในตอนนี้นอกจากหลิงเทียนและเซี่ยวหยูที่ยังรักษาความสงบเอาไว้ได้นั้นเยาวชนคนอื่นๆในหน่วยที่ 3 ล้วนรู้สึกหวาดกลัวและเคร่งเครียดขึ้นมา

และทันใดนั้นเองฟางเจี้ยนพลันตะโกนออกมาด้วยเสียงน้ำเสียงครางต่ำว่า "จัดแถว!"

เมื่อหน่วยที่ 3 ได้ยินคำสั่งพวกมันก็รีบกระทำตามคำสั่งทันที

"ก่อนคำวันนี้ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีไหนก็ตามข้าไม่สน แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทุกคนล่าเสือดาวเลยเมฆามาคนละ 1 ตัว และหากผู้ใดที่ทำภารกิจนี้ล้มเหลวโดยไม่สามารถล่าสัตว์อสูรเสือดาวลายเมฆากลับมาได้ ข้าจะจับมันโยนลงไปยังดงของสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งระดับก่อกำเนิดขึ้นที่ 4 หรือสูงกว่า"

......

เหมือนมีคนถามมา จะขอบอกระดับและข้อมูลคร่าวๆอีกครั้งนะครับ

ชีวิตก่อน หลิงเทียนเป็นทหารรับจ้าง และนักฆ่าอันดับ 1 ของโลก มีกำลังภายในเล็กน้อย ฝึกศิลปะต่อสู้เกือบทุกแขนง และมวยจิต

ชีวิตใหม่นี้ ด้วยความที่บังเอิญเกิดมาในร่างที่จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดเลือกใช้เป็นเป้าหมายในการเกิดใหม่ครั้งที่ 3 พอดี หลิงเทียนเลยได้องค์ความรู้ทุกอย่างของมันมา โดยการกลืนกินจิตสำนึกของมัน

สำหรับระดับพลังบ่มเพาะในโลกนี้

1.ระดับบ่มเพาะร่างกาย

2.ระดับก่อกำเนิด

3.ระดับกำเนิดแก่นแท้

4.ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง

5.ระดับแรกสัมผัสธรรมชาติ

6.ระดับหยั่งรู้ธรรมชาติ

7.ระดับหลอมรวมธรรมชาติ

8.ระดับผันแปรธรรมชาติ * ระดับ 5-8 นั้นคนในเรื่องที่ไม่ค่อยมีความรู้มากจะเหมารวมว่าเป็นระดับธรรมชาติ

9.ระดับราชันย์

10.ระดับจักรพรรดิ ----- จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดอยู่ในระดับนี้

ทุกๆระดับจะมี 9 ขั้น

วิชาชีพ

1.ผู้หลอมศาสตรา จะมีระดับ 1-9 โดยระดับ 9 เป็นระดับที่กากที่สุด (ที่ทุกคนรู้)

ผู้หลอมศาสตราระดับ 9 จะสร้างอาวุธวิญญาณที่ขยายพลังของผู้ใช้ได้สูงสุด 10%

ผู้หลอมศาสตราระดับ 8 จะสร้างอาวุธวิญญาณที่ขยายพลังของผู้ใช้ได้สูงสุด 20%

ผู้หลอมศาสตราระดับ 7 จะสร้างอาวุธวิญญาณที่ขยายพลังของผู้ใช้ได้สูงสุด 30%

ไล่ไปตามนี้เรื่อยๆ จนถึง ระดับ 1

2.ผู้หลอมโอสถ จะมีระดับ 1-9 โดยระดับ 9 เป็นระดับที่กากที่สุด (ที่ทุกคนรู้)

ผู้หลอมโอสถแต่ละระดับ ก็จะสามารถหลอมโอสถได้สูงสุดในระดับนั้นๆ เช่นผู้หลอมโอสถระดับ 6 ก็สามารถหลอมโอสถระดับ 6 ได้เป็นระดับสูงสุด และยังเลือกหลอมโอสถระดับ 7 8 9 ได้

ผู้หลอมโอสถนั้น จะวัดกันที่ความบริสุทธิ์ของโอสถที่หลอมสร้างได้ *หลิงเทียนหลอมเล่นๆ ได้ความบริสุทธิ์ 90%+ และเป็นแบบนี้ทุกขั้น ...

แต่ผู้หลอมโอสถระดับ 7 ปกติยังไม่อาจหลอมโอสถระดับ 9 ให้มีความบริสุทธิ์ได้ถึง 90% เท่าที่ปรากฏในเรื่อง

ระดับผู้หลอมโอสถ จะแบ่งแยกตามสีของเปลวเพลิง ผมจำไม่ได้แล้วเหมือนกัน-*- มีตอนที่มันหลอกซื่อโหม่วจะเผยสีเปลวเพลิงออกมา

และเหนือจากผู้หลอมโอสถระดับ 1 นั้นเท่าที่ปรากฏในเรื่องคือระดับ ราชวงศ์ ที่คนธรรมดาไม่ล่วงรู้ว่ามีอยู่ ยกเว้นตัวจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่ไปถึงขั้นนั้นแล้ว ข้อมูลยังไม่ปรากฏออกมามากสักเท่าไร

การเลื่อนขั้น ผู้หลอมโอสถ และ ผู้หลอมศาสตรา จะอยู่ที่ระดับบ่มเพาะ และปริมาณพลังงานต้นกำเนิดล้วนๆ ขอแค่ระดับถึง หลิงเทียนสามารถเลื่อนขั้นได้ทันที (คนอื่นต้องตีความและหาหนทางในการพัฒนาเปลวเพลิง แต่หลิงเทียนมันมีความรู้จนถึง ขั้นราชวงศ์ไปแล้ว ระดับถึงพลังงานต้นกำเนิดถึง มันยกระดับเปลวเพลิงหรือเปลี่ยนสี ได้ทันที)

3.ผู้จารึกอาคม ....อันนี้จะพิเศษเล็กน้อย เพราะอาศัยความสามารถของพลังวิญญาณ และพลังวิญญาณ ในเรื่องนั้นจะขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณของแต่ละคน หรือจิตใจอะไรเทือกนั้นล่ะ หลิงเทียนมันจิตแข็งเพราะตายมาเกิด+โลกเก่ามันอยู่จุดสูงสุดแล้วมั้ง ระดับจิตวิญญาณมันจึงเหนือกว่าชาวบ้านไป 1-2 ขั้นเสมอ

ผู้จารึกระดับก่อกำเนิด จะสามารถจารึกได้แต่อาคมระดับขั้นก่อกำเนิด

หลิงเทียนมันอยู่ในระดับก่อกำเนิด แต่จิตวิญญาณของมันแข็งแกร่ง เท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกำเนิดแก่นแท้ไปแล้ว

ทำให้อาคมจารึกของหลิงเทียน ฆ่าผู้บ่มเพาะระดับกำเนิดแก่นแท้ได้อย่างสบาย ถ้าไม่เจอคนที่มีจารึกป้องกัน

วิธียกระดับพลังวิญญาณ ส่วนมากจะอยู่ที่ จิตสำนึกและความเข้าใจในการตีความ ซึ่งทุกคนจะค่อยๆยกระดับตามประสบการณ์ไปเรื่อยๆ

การจารึกอาคมแต่ละครั้งจะใช้พลังงานต้นกำเนิดเขียนแต่ใช้ไม่มากสักเท่าไร ที่สำคัญอยู่ที่พลังวิญญาณหรือพลังจิต ยิ่งจารึกยากๆหรือเยอะๆ จิตจะอ่อนล้า สมองจะเบลอๆ นอนหลับพักผ่อนก็หาย

รีวิวผู้อ่าน