px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 109 นับเป็นการค้าที่ขาดทุนนัก


"ท่านนายกอง ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?" ท่าทางของหลิงเทียนยังคงนิ่งสงบ ไม่ได้มีอาการเปลี่ยนแปลงอะไรสักนิด เขากล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่แยแส

"แล้วเจ้าคิดอย่างไรเล่า?" ประกายตาของนายกองส่องสว่างขึ้นเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย

"ข้าคิดว่า เสือดาวอัคคีทั้ง 7 ตัวนั้น ไม่พ้นเป็นท่านที่ไปต้อนมันมาสินะ?" หลิงเทียนกล่าวถามออกมาอย่างเบื่อหน่าย

นั่นเพราะปกติแล้วสัตว์ดุร้ายที่มีความแกร่งเกินกว่าระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 จะไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาในพื้นที่รอบนอกของหุบเขาซ่อนอรุณเช่นนี้ ...

แต่นั่นก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยสักทีเดียว เพียงแต่สัตว์ดุร้ายที่มีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 เช่นนี้ เต็มที่ก็ควรมีโผล่ออกมาแค่ 1-2 ตัวเท่านั้น

แต่นี่กลับมีเสือดาวอัคคีที่มีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 ปรากฏตัวออกมาพร้อมๆกันทั้ง 7 ตัว และเมื่ออนุมานกับการปรากฏตัวได้อย่างพอเหมาะพอเจาะราวกับล่วงรู้เวลาของนายกอง นี่ก็ไม่ใช่เรื่อยากอะไรที่หลิงเทียนจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้

"เจ้านับว่าฉลาดยิ่งนัก"

นายกองจ้องมองไปยังหลิงเทียนด้วยแววตาเหลือเชื่อ "ในตอนแรกข้าคิดว่าเพียงอาศัยเสือดาวอัคคี 7 ตัวคงสารถดับชีวิตเจ้าได้ แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้ากลับปกปิดและซุกซ่อนความแข็งแกร่งของตนเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเช่นนี้ แม้กระทั่งการทดสอบเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะเจ้าก็ไม่คิดเผยมันออกมา ...เกินคาดจริงๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าจริงๆแล้วกลับสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5!"

ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5

มันก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตน่าจดจำอะไรสักเท่าไร

แต่หากท่านลองบอกกล่าวว่า ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 คนนั้นยังมีอายุไม่ครบ 17 ขวบปีดี นี่ออกจะเป็นเรื่องราวที่สร้างความตะลึงงันแก่ผู้คนแล้ว

ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีอายุไม่ถึง 17 ปีแต่กลับมีระดับบ่มเพาะสูงถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 เช่นนี้ ต่อให้มองย้อนไปในประวัติศาสตร์นับร้อยๆปีของอาณาจักรนภาล่อง เกรงว่าคงจะไม่เคยปรากฏมาก่อน...ต้วนหลิงเทียนนับเป็นคนแรกในรอบหลายร้อยปี!!

"ท่านนายกอง ตัวข้าเองก็คิดว่าระหว่างพวกเรานั้น ไม่น่าจะเคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน แล้วทำไมท่านถึงต้องเจาะจงเล่นงานข้าอะไรแบบนี้ด้วยล่ะ?" หลิงเทียนสูดลมหายใจเขาลึกๆก่อนจะกล่าวออกมาด้วยประกายตาแข็งกร้าว

แม้ว่าตัวเขาเองก็พอจะเดาเรื่องราวออก แต่เขาก็อยากฟังคำยืนยันจากปากของเจ้าตัว

"หึๆ ... ต้วนหลิงเทียนหากเจ้าคิดตำหนิถึงความโชคร้ายในครานี้ คงช่วยมิได้ที่เจ้าคงต้องกล่าวตำหนิตัวเองแล้วล่ะ หากเจ้าไม่ก่อเรื่องกับหยูเซี่ยง จนทำให้หยูหงถึงกับต้องถูกถอนออกจากตำแหน่งนายกองแล้วล่ะก็ เขาคงไม่คิดแค้นใจเจ้า จนต้องไหว้วานสหายเช่นข้าให้มาดูแลเจ้าให้ในช่วงการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะเช่นนี้หรอก แต่อย่าห่วงไปเลยเจ้าจะไม่ทรมานยามถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างแน่นอน" ในมุมมองของนายกอง ตอนนี้หลิงเทียนก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ต้องตกตายแน่นอนแล้ว เขาจึงกล่าวออกมาอย่างไม่คิดปิดบังอะไร

"หยูหง!"

แววตาของหลิงเทียนเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นมันอย่างที่เขาคิด!

พี่ชายของหยูเซี่ยง หยูหง

"แต่ก่อนที่ข้าจะสังหารเจ้า ข้าคงอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่าตัวเจ้าช่างมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศนัก บางทีหากเจ้ามีเวลาได้เติบโตอีกเพียงแค่ 2 ปี แม้กระทั่งตัวข้าก็คงไม่ใช่คู่มือของเจ้า ...น่าเสียดายที่วันนั้นคงไม่มีทางมาถึง เพราะวันนี้ของปีต่อๆไปจะเป็นวันครบรอบวันตายเจ้า!" ประกายตาของนายกองเรืองวูบขึ้นมาด้วยจิตสังหาร

พลังงานต้นกำเนิดถูกควบรวมที่มือของเขาอย่างหนาแน่นจนเห็นได้ชัด และพริบตาต่อมาเงาร่างช้างแมมมอธโบราณจำนวน 11 ตัวก็เด่นหราอยู่เหนือศีรษะของเขา ท่าทางของพวกมันราวกับจะเย้ยหยันชั้นฟ้า

นางกองคนนี้ กลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8

"เดี๋ยวก่อน!"

ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความคิดฆ่าฟัน หลิงเทียนพลันยิ้มและยกมือขวาขึ้นพร้อมทั้งกล่าวคำหยุดรั้งออกมา

"เจ้ามีคำใดคิดกล่าว?" นายกองถามออกมาอย่างไม่แยแส

"หากข้าบอกว่า ถ้าวันนี้ท่านปล่อยข้าไป ข้าจะให้ท่าน 1,000,000 เหรียญเงิน ท่านจะว่ายังไง?" แววตาของหลิงเทียนหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆเอ่ยถามออกมา

"เหรียญเงิน 1,000,000 เหรียญนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีมันอยู่จริงหรือไม่ ... แต่จะอย่างไรเงินจำนวนมหาศาลที่เจ้ากล่าวเสนอออกมา มิพ้นคงต้องถูกเก็บเอาไว้ในแหวนมิติวงนั้นของเจ้าใช่หรือไม่? เช่นนั้นตราบใดที่ฆ่าสังหารเจ้าได้และได้ครอบครองแหวนมิติดังกล่าว ไม่ว่าสมบัติหรือเหรียญเงินที่เจ้ามี นั่นย่อมเป็นของข้าไปโดยปริยาย แล้วเหตุใดข้าถึงต้องสนใจข้อเสนอเล็กน้อยนี้ของเจ้ากันล่ะ?" นายกองเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจ มันทำราวกับว่ายามนี้แหวนมิติของหลิงเทียนเป็นของมันแล้วอย่างไรอย่างนั้น

"ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะทำตามคำไหว้วานของหยูหงโดยไม่ให้มือข้าเปื้อนจึงไปต้อนเสือดาวอัคคีมาถึง 7 ตัว แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้ากลับปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้เช่นนี้และระเบิดมันออกมาจนฆ่าเสือดาวอัคคี ทั้ง 7 อย่างง่ายดาย ... และสิ่งที่ทำให้ข้าคาดไม่ถึงอย่างแท้จริงกลับกลายเป็นว่าตัวเจ้ากลับมีแหวนมิตินั่น!! " เมื่อกล่าวจบนายกองก็แผ่จิตสังหารออกมาโดยไม่คิดรั้งรออะไรอีก

เพราะสำหรับเขาแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่หลิงเทียนถูกเขาสังหาร ทุกสิ่งทุกอย่างของหลิงเทียนจะเป็นของเขาทันที

"ตรงๆก็คือ เจ้าโลภมากอย่างนั้นสิ?" หลิงเทียนกล่าวถามออกมาอย่างเบื่อหน่าย ท่าทางของเขาแลดูเฉยเมยอย่างมาก

"โลภมากแล้วจะอย่างไร?"

นายกองหัวเราะขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า "เอาล่ะ ข้าเองก็ไม่คิดเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเจ้าอีกต่อไป ข้าจะดับลมหายใจของเจ้าเสีย และดูแลแหวนมิติวงนั้นต่อจากเจ้าเอง!"

"ท่านมีความมั่นใจมากขนาดไหนกันเล่า ที่คิดสังหารข้าน่ะ?" หลิงเทียนเริ่มหัวเราะออกมา

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิงเทียน นายกองก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าผิดท่าแล้ว เขารีบทำการตรวจสอบพื้นที่รอบๆด้วยความระมัดระวังอย่างถึงขีดสุด แต่เมื่อเขาพยายามตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วกลับไม่พบอะไรทั้งสิ้น เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมาเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนถูกเด็กน้อยล้อเล่น "ต้วนหลิงเทียน หยุดกล่าววาจาเพ้อเจ้อไร้สาระถ่วงเวลาได้แล้ว จะอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางรอดชีวิตไปจากตรงนี้ได้ เว้นเสียแต่เจ้าจะมีปีกบินหนีหรือแข็งแกร่งกว่าข้า แต่นั่นคงเป็นไปไม่ได้!"

นายกองเริ่มขยับตัวอีกครั้ง

ฟุ่บบบ!

รางของเขาพุ่งเป็นเส้นตรงไปหาต้วนหลิงเทียนด้วยความเร็วสูง

ช้างแมมมอธโบราณทั้ง 11 ตัวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาราวกับมันพุ่งแหวกฝ่าสายลมมาอย่างไรอย่างนั้น ...

ดวงตาของหลิงเทียนเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนที่จะเคลื่อนไหว

วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ร่างกายของเขาวูบไหวไปมาร้าวกับไร้กระดูกและเริ่มเคลื่อนที่ยากคาดเดาไม่ต่างจากอสรพิษตัวหนึ่ง

วิชาวาดกระบี่!

ประกายแสงสี่ม่วงจากกระบี่อ่อนดาราม่วงกระพริบวูบไหวออกมาราวกับลิ้นของอสรพิษ

คาดไม่ถึงในพริบตานั้น เหนือศีรษะของต้วนหลิงเทียนกลับฉายชัดถึงเงาร่างช้างแมมมอธโบราณถึง 8 ตัว!! ...

"จะ... เจ้ายังปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้อยู่อีกหรือ?"

ร่างของนายกองชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง จนเสียจังหวะทำให้มันต้องรีบเคลื่อนกายหลบกระบี่ของหลิงเทียนที่วาดสวนมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมันหลบออกไปมันก็หันมาจับจ้องหลิงเทียนด้วยความคาดไม่ถึง

ความแข็งแกร่งระดับช้างแมมมอธโบราณ 8 ตัว ...

นี่เป็นสัญลักษณ์แสดงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6!

ไม่สิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

ไม่นานหลังจากที่นายกองสำรวจร่างของหลิงเทียน พลันสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังกระบี่ดาราม่วง พร้อมทั้งเบิกตากว้างและกล่าวออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ "ที่แท้เป็นอาวุธวิญญาณ!! เจ้ากลับมีอาวุธวิญญาณในครอบครองอีกด้วย! ... ซ้ำมันยังสามารถเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้เจ้าได้ถึง 1 ช้างแมมมอธโบราณเช่นนี้ นั่นย่อมหมายความว่าอาวุธวิญญาณของเจ้าอยู่ในระดับ 8 ใช่หรือไม่? " ประกายตาของนายกองวาวโรจน์ออกมามากมายราวกับแสงอัสดงทอประกายยามรุ่งอรุณอย่างไรอย่างนั้น

เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนกลับมีเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจมากมายถึงเพียงนี้!

ตอนแรกก็เป็นแหวนมิติวงนั้น มาตอนนี้ยังมีกระบี่ที่เป็นอาวุธวิญญาณ และดูท่ามันจะเป็นอาวุธวิญญาณจากผู้หลอมศาสตราระดับ 8 เสียด้วย!

หากเขาได้รับกระบี่ที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับ 8 เล่มนั้นมาครอบครองแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นสูงสุด ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน

มิคิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้กลับกลายเป็นขุมทรัพย์ล้ำค่า!

"ดูเจ้าจ้องเข้าสิ ตาเยิ้มเชียว" หลิงเทียนกล่าวเย้ยหยันออกมา

"ต้วนหลิงเทียนด้วยอาวุธวิญญาณระดับ 8 เล่มนั้นของเจ้า ทำให้เจ้ามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาเทียบเท่าระดับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6 ... น่าเสียดายนัก ที่ตอหน้าข้าเรื่องเท่านี้ก็ยังไม่นับว่าเป็นอะไร ตายซะ!"

นายกองเริ่มเคลื่อนร่างของเขาอีกครั้ง ด้วยจิตสังหารที่มากกว่าเดิม

เขาต้องการฆ่าหลิงเทียนและยึดครองสมบัติล้ำค่าที่หลิงเทียนมีไว้ในครอบครองทั้งหมด ...

ปัง!!

นางกองจู่โจมด้วยฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดจำนวนมหาศาลด้วยความเร็วที่ราวกับเส้นสายอัสนีบาต เพียงแค่แรงลมจากการเคลื่อนไหวก็พัดให้ชุดของหลิงเทียนปลิวสะบัดไปตามแรงลมอย่างรุนแรง

"เฮ่อ ต้องใช้จริงๆหรือนี่?" ดวงตากระจ่างใสของหลิงเทียนพลันมีประกายเย็นชาเรืองวูบขึ้นมา

และพริบตาเดียวกันนั้นก่อนที่ฝ่ามือของนายกองจะบรรลุมาถึงเขาก็ตวัดกระบี่ออ่อนดาราม่วงออกไปพร้อมทั้งถ่ายทอดพลังงานต้นกำเนิดลงไปในตัวกระบี่ เพื่อกระตุ้นการทำงานของอาคมจารึกจันเสี้ยวโลหิตที่ถูกจารึกเอาไว้ ...

ครืนนนน!

เมื่ออาคาจมรึกถูกกระตุ้นสีแดงระเรื่อดั่งโลหิตก็เริ่มเรืองขึ้นมาทั่วตัวกระบี่อ่อนดาราม่วง บังเกิดเป็นภาพงดงามประการหนึ่ง ก่อนที่มันจะพุ่งออกไปรูปจันทร์เสี้ยวรวดเร็วไม่ต่างอะไรกับเส้นแสง ทั้งมันราวกับมีสายตำหนดทิศทางอย่างไรอย่างนั้น มันกลับพุ่งไปปะทะกับฝ่ามือของนายกองอย่างแม่นยำพอดิบพอดี

ตูม!!! พรวดดด !

อ๊าคคคคค!

โลหิตสดๆหลั่ง่รินฉีดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ แขนทั้งข้างของนายกองที่ซัดฝ่ามือออกมา กลับระเบิดเป็นชิ้นๆกลายเป็นเศษเนื้อกลางอากาศ เพียงแค่จันทร์เสี้ยวโลหิตบรรลุถึง

"อ๊าคคคค!"

เสียงกรีดร้องของนายกองพลันดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเงียบลง

การที่เสียงของนายกองเงียบลงไปนั้นไม่ใช่เพราะอะไร นี่เป็นเพราะจันทร์เสี้ยวโลหิตเมื่อบรรลุถึงแขนนายกองและทำลายมันเป็นชิ้นๆ มันยังพุ่งตรงไปยังกลางอกของนายกอง ก่อนที่จะทำตามหน้าที่ของมัน จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ...

วิชาท่าร่าง วิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ร่างของหลิงเทียนพลันวูบไหว เคลื่อนออกไปด้านข้างเล็กน้อย เพื่อหลบร่างของนายกองที่ยังคงพุ่งมาตามแรงเฉื่อยถึงแม้มันจะหมดสภาพไปแล้วก็ตาม

พลันหลิงเทียนก็สบตากับนายกองที่พุ่งผ่านไป ...ดวงตาของนายกองนั้นเบิกกว้างออกมาด้วยความตกตะลึง เขาไม่อาจจะเชื่อและยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้

บางทีจนถึงตอนนี้ที่เขากำลังจะตายเขาก็ยังไม่อาจยอมรับได้ว่าหลิงเทียนกลับมีไพ่ลับใบนี้อยู่...สุดท้ายภาพตรงหน้าของเขาก็กลายเป็นมืดสนิทไปและเขาก็กลายเป็นอดีต...

ตุบ...

ร่างไร้วิญญาณของนายกองตกลงพื้นดิน โดยไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ...สุดท้ายคงเหลือเพียงเสียงสายลมพัดหวีดหวิวยามค่ำคืนคลุกเคล้าไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

“ฮึ่ม เป็นเจ้าที่โลภมากไม่รู้จักพอ ข้าอุตส่าห์เสนอเงิน 1,000,000 เหรียญให้เจ้าเลิกราแล้วเจ้ายังไม่ยอม นี่ล้วนเป็นเจ้าที่โง่เองดันคิดว่าเงินนี้ข้าจ่ายเพราะกลัวเจ้า บัดซบ! ข้าเสียดายอาคมจารึกจันทร์เสี้ยวโลหิตต่างหาก” หลิงเทียนกล่าวสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด

ต้วนหลิงเทียนระงับอารมณ์หงุดหงิดก่อนที่จะมองศพของนายกองแล้วไปค้นร่างมัน...เขาพบเพียงตั๋วเงินไม่กี่พันเหรียญเท่านั้น...

"บัดซบ! เจ้าเป็นนายกองหรือขอทานกันแน่ ทำไมถึงยากไร้และอนาถาขนาดนี้!" ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะด่าออกมาด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนที่จะเก็บเงินไว้ในแหวนมิติ...

หลังจากนั้นเปลวเพลิงหลอมโอสถก็ลุกโชนขึ้นมาในฝ่ามือเขา ก่อนที่เขาจะส่งมันไปเผาศพของนายกอง ...

ซู่มมมมม!

ซากศพของนายกองพลันสลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

ไม่หลงเหลืออะไรเอาไว้แม้แต่น้อย!

"บัดซบนัก วัตถุดิบที่เหลืออยู่ในแหวนมิติของข้าคงเพียงพอให้จารึกอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตได้อีกเพียง 2 ครั้งเท่านั้น... ข้าไม่คิดเลยว่าต้องมาเสียอาคมจารึกจันทร์เสี้ยวโลหิตเพราะนายกองกระจอกๆนี่!"

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วขึ้นมา

ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็หงุดหงิดและรำคาญอย่างมาก ...

นี่เป็นเพราะในความคิดของเขานั้นได้คำนวณเรียบร้อย การจะจารึกอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตครั้งนึงต้องใช้วัตถุดิบที่มีราคาไม่ต่ำกว่า 500,000 เหรียญเงิน แต่เขากลับได้เงินจากศพเพียงแค่ ไม่กี่ พันเหรียญ....

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ย่อมเป็นการค้าที่ขาดทุนย่อยยับ!

แล้วยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันตอนนี้ ต่อให้เขามีเงินมากสักเท่าไรก็ตามเขาก็ไม่อาจจะใช้มันเพื่อซื้อวัตถุดิบมาเพื่อจารึกอาคมเพิ่มเติมได้ ...

แล้วตอนนี้อาคมจารึกจันทร์เสี้ยวโลหิตที่เขาจะจารึกได้ ก็หลงเหลือเพียง 2 ชุดเท่านั้น

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขายินยอมจ่ายเงิน 1,000,000 เหรียญให้กับนายกองคนนี้มากกว่า ที่จะใช้อาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตที่มีราคาเพียง 500,000 เหรียญเงินกว่าๆ

“ช่างหัวมัน ยังไงนี่ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ข้าจารึกอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตลงบนกระบี่อ่อนดาราม่วงอีกครั้งก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับไปค่ายที่พัก"

อะไรที่เสียไปแล้วก็ช่างมัน หลิงเทียนเลิกคิดให้มากความ

หลิงเทียนเดินอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบสถานที่ๆเหมาะสม เขานั่งขัดสมาธิลงอย่างสงบ และมองไปที่แหวนมิติ

หลังจากนั้นเขาก็หยิบเอาวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการจารึกอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตออกมา

เมื่อดวงตะวันลาลับไปทางขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ความมืดมิดยามราตรีกาลก็ทาบทับโอบกอดผืนแผ่นดิน

ณ ค่ายที่พักหน่วยที่ 3 ของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ

"เหตุใดต้วนหลิงเทียนจึงยังไม่กลับกัน?" หลังจากที่รอหลิงเทียนอยู่เป็นเวลากว่าครึ่งวัน ท่าทางของเซี่ยวหยูก็เริ่มเต็มไปด้วยความกังวล

"นั่นสิ มันนานเกินไปแล้ว อย่างหลิงเทียนไม่ควรใช้เวลาล่อพวกเสือดาวอัคคีนั่น ก่อนที่จะหาโอกาสหลบหนีมา นานถึงขนาดนี้" เมิ่งฉวนเองก็กังวลและสงสัยมากเช่นกัน

"คงไม่มีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นกับเขาหรอกนะ?" ลั่วเฉินกล่าวออกมาด้วยความกังวลใจ

"ไม่มีทาง!" เมิ่งฉวนและเซี่ยวหยูกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะมองไปยังลั่วเฉิน

แต่จะอย่างไรภายในแววตาของพวกเขาก็มีความกังวลที่ปรากฏขอยู่อย่างเห็นได้ชัด ...

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับหลิงเทียนแล้ว่ละก็ พวกเขาจะไมให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต

เพราะทั้งหมดล้วนเป็นหลิงเทียนที่พยายามช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ...

หากไม่มีพวกเขาแล้ว อาศัยความสามารถหลิงเทียนเพียงลำพัง ย่อมหลบหนีเหล่าเสือดาวอัคคีพวกนั้นได้อย่างไม่ลำบากอะไร

ไม่นานเหล่าสมาชิกของหน่วยก็กลับมา

เมื่อมีเยาวชนจำนวน 15 คนร่วมมือช่วยเหลือกัน ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะสังหารเสือดาวลายเมฆา แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าที่จะล่าเสือดาวลายเมฆาได้ครบจำนวน 15 ตัว

"ทุกคนกลับมาครบหรือยัง?" ท่าทางของฟางเจี้ยนก็ยังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

"หืม แล้วต้วนหลิงเทียนล่ะอยู่ที่ใดกัน?" ฟางเจี้ยนที่กวาดตามอง ก็พบว่ามีเยาวชนเพียง 18 คนเท่านั้น ก่อนที่จะหันจ้องมองไปยัง เมิ่งฉวน เซี่ยวหยู และก็ลั่วเฉิน เพื่อต้องการคำตอบ...

"ครูฝึก พวกเราพบกับเสือดาวอัคคีถึง 7 ตัวในขณะที่ทำการล่าเสือดาวลายเมฆา หลิงเทียนรับหน้าที่อาสาล่อพวกมันไปอีกทาง ก่อนที่จะให้พวกเราหอบหิ้วศพของเสือดาวลายเมฆาทั้ง 4 กลับมา เขาล่อเหล่าเสือดาวอัคคีทั้ง 7 ตัวออกไปเพียงลำพัง" ลั่วเฉินค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆ

"เสือดาวอัคคี?"

ท่าทางของฟางเจี้ยนแข็งขึ้นเล็กน้อย "พวกเจ้าทุกคนนับว่ากล้าหาญนัก! มีความกล้าถึงขั้นที่จะเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาซ่อนอรุณทั้งๆที่มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านี้!!"

"พวกเราไม่ได้เข้าไปลึกแต่อย่างไร พวกเราเพียงอยู่รอบนอกของพื้นที่เท่านั้น และสัตว์ดุร้ายที่พวกเราพบก็มีแต่ระดับกอก่อกำเนิดขั้นที่ 3 แต่ในระหว่างเดินทางกลับอยู่ดีๆ ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าจะปรากฏเสือดาวอัคคีถึง 7 ตัวออกมาอย่างกะทันหัน?" เซี่ยวหยูกล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว

"เป็นไปไม่ได้!"

ฟางเจี้ยนกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ "เสือดาวอัคคีนั้นเป็นสัตว์ดุร้ายหวงถิ่นฐานมากนัก พวกมันไม่ใช่สัตว์ดุร้ายที่จะออกมาจากถิ่นฐานของตัวเอง"

"บางทีอาจจะมีผู้ใดไปยั่วยุเสือดาวอัคคีกลุ่มนั้น" ท่าทางของเมิ่งฉวนบิดเบี้ยวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิด

"เอาล่ะพอแล้ว จะอย่างไรเสือดาวลายเมฆาของหลิงเทียนก็นับได้ว่าอยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ถือว่าผ่านภารกิจ และเหล่าเสือดาวลายเมฆาทั้ง 4 ตัวนี้ ก็จะเป็นอาหารค่ำของพวกเจ้า ... "

หลังจากกล่าวคำจบแล้ว ฟางเจี้ยนก็เริ่มนั่งลงและย่างเนื้อ ที่เขาไปล่ามาเอง

เซี่ยวหยู,เมิ่งฉวน และลั่วเฉิน แน่นอนว่าย่อมต้องหิวเพราะเป็นเวลาทั้งวันที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องของพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขาไม่คิดจะเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งนั้นเพราะกังวลจนไม่มีอารมณ์กินอะไรทั้งนั้น

ตอนนี้ในหัวใจของพวกเขามีแต่ความกังวลและปรารถนาให้หลิงเทียนกลับมาอย่างปลอดภัย

รีวิวผู้อ่าน