px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 110 ฝูงสัตว์ดุร้ายถาโถม!!


ไม่ไกลจากพวกเมิ่งฉวนสักเท่าไร เยาวชนของหน่วยที่ 3 กำลังย่างเนื้อกินกันอยู่ ก็สนทนาถึงเรื่องๆหนึ่ง

"หากไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนแล้ว มิแคล้วพวกเราคงต้องกินเนื้อดิบๆกันล่ะป่านนี้"

"น่าเสียดายนักที่เขากลับประสบเคราะห์กรรม ซะได้ ดันไปเจอสัตว์ดุร้ายที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 ที่แข็งแกร่งเท่าเทียมกับเขาเช่นนี้ อีกทั้งยังมีจำนวนมากถึง 7 ตัว เขาคงไม่รอดกลับมาแล้วล่ะ"

...

เยาวชนหลายคนนั้นย่อมไม่เชื่อว่าหลิงเทียน จะสามารถรอดกลับมาได้อีกหากเจอเรื่องราวถึงขนาดนั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนตัดสินไปแล้วว่า ต้วนหลิงเทียนคงตกตายภายใต้คมเขี้ยวของเสือดาวอัคคีไปเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน

"บัดซบ!! เจ้ากำลังใช้วิธีปั่นไม้จุดไฟ ที่ต้วนหลิงเทียนสอนสั่งมาด้วยซ้ำ แต่พวกเจ้ากลับปากพล่อยกล่าววาจาสุนัขอุบาทว์ สาปแช่ง หลิงเทียนเช่นนี้ พวกเจ้าไม่กลัวฟ้าผ่ากบาลข้อหาเนรคุณหรืออย่างไร?"ฟังบทสนทนาของเยาวชนโดยรอบแล้ว เมิ่งฉวนอดไม่ได้ที่จะระเบิดโทสะออกมา และกล่าวว่าพวกมันด้วยท่าทีดุร้าย

"อะไร พวกเราเพียงกล่าววาจาตามความจริงเท่านั้น แล้วเจ้าจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรแทนเขาด้วยเล่า หากยามนี้สึกเป็นเดือดเป็นร้อน ใยก่อนหน้านี้เจ้าไม่เป็นเดือดเป็นร้อนให้มากเข้าไว้ แล้วช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนรับมือกับเสือดาวอัคคีเล่า แต่นี่เจ้ากลับทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง หนีเอาตัวรอดกลับมาเช่นนี้ หน้าตัวเมีย!" เยาวชนคนหนึ่งกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะเยอะ

"เจ้ากล่าววาจาบัดซบอันใด?!" ดวงตาของเมิ่งฉวนแดงก่ำราวกับสีโลหิต มันลุกขึ้นด้วยโทสะที่ล้นทะลักคิดสังหารผู้ที่กล่าววาจาอุบาทว์เมื่อครู่ให้ตกตาย

แต่ทันใดนั้นเอง

"เฮ่ เมิ่งฉวน เจ้ากำลังจะเล่นอะไรน่ะ? ท่าทางเจ้าดูตื่นเต้นนัก... "

สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้วพบก็คือ เมิ่งฉวนกำลังบันดาลโทสะเพราะผู้อื่นกล่าววาจาอัปมงคลในเรื่องของเขา นั่นทำให้ความรู้สึกอบอุ่นประการหนึ่งแล่นผ่านชโลมหัวใจของเขา

"ต้วนหลิงเทียน เจ้ากลับมาแล้ว!!!" ลั่วเฉินลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น

"อะไร หรือเจ้าคิดให้ข้าถูกเสือดาวอัคคีสังหารกัน?" ต้วนหลิงเทียนกล่าวหยอกล้อออกมาพร้อมหัวเราะ

"ไม่ ๆๆ ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน" ลั่วเฉินรีบส่ายหัว

"ขอเพียงเจ้ากลับมาก็พอ" เซี่ยวหยูเองก็พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นหลิงเทียนกลับมา

"ลั่วเฉินเจ้าไปหาเศษไม้แห้งๆมาทำเป็นฟืนซะ เซี่ยวหยูเจ้ามาช่วยข้าจัดการถลกหนังทำความสะอาดเสือดาวลายเมฆาพวกนี้เร็ว ... ต้วนหลิงเทียนส่วนเจ้านั่งพักผ่อนไปซะ วันนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เพียงนั่งพักเฉยๆรอกินอาหารก็พอ เดี๋ยวพวกเราจัดการให้เจ้าเอง" เมิ่งฉวนกล่าววาจาใหญ่โตแบ่งงานออกมาทันที

"ฮ่าๆๆ แล้วข้าจะรอรับการปรนนิบัติครั้งนี้ของเจ้าอย่างดี" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะออกมา

หลังจากเกิดเหตุการณ์สังหารนายกอง หลิงเทียนก็จารึกอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตชุดใหม่ลงไปในกระบี่อ่อนดาราม่วง จนเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ในที่สุดเขาก็จะได้พักสบายๆสักที

ส่วนทางด้านเซี่ยวหยูและคนอื่นๆนั้น รีบก่อไฟทำอาหารกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานกลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยตลบอบอวลเรียกน้ำย่อยและเสียงคร่ำครวญของท้องได้ดีนัก

เมิ่งฉวนที่กำลังย่างเนื้อส่งให้หลิงเทียน กล่าวถามขึ้นมาว่า "ต้วนหลิงเทียน เหล่าเสือดาวอัคคีรับมือยากมากเลยหรือเจ้าจึงดูเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้? ข้าไม่คิดเลยว่าพวกมันจะไล่ล่าเจ้าไปจนกินเวลาทั้งวันเช่นนี้ กว่าที่เจ้าจะมีโอกาสหนีกลับมาได้"

เซี่ยวหยูและลั่วเฉินเองก็หันมามองหลิงเทียนด้วยความใคร่รู้เช่นกัน

ต้วนหลิงเทียนเอนตัวนอนบนพื้นก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยๆ "เฮ่ อาศัยเพียงเสือดาวอัคคี 7 ตัวไม่ได้สร้างความยากลำบากอะไรข้าสักเท่าไร หลังจากที่พวกเจ้าหนีไปไม่นาน ข้าก็ล่อพวกมันออกไปและหลบหนีพวกมันได้สำเร็จ... แต่วันนี้คงเป็นวันอับโชคของข้า ทิศทางที่ข้าหลอกล่อเหล่าเสือดาวอัคคีไปนั้น กลับเป็นทิศทางที่มุ่งเข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาซ่อนอรุณ อีกทั้งดูเหมือนฟ้าจะคิดว่าข้ายากลำบากไม่พอ จึงส่งตัวมิงค์ขนหนามมาระรานข้าอีก "

แน่นอนว่าเขาไม่อาจกล่าวความจริงออกมาได้ เขาจึงเตรียมเรื่องราวเอาไว้กล่าวอ้างเช่นนี้

"ตัวมิงค์ขนหนาม?" เซี่ยวหยู,เมิ่งฉวนและลั่วเฉินสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด

แน่นอนว่าเยาวชนที่อยู่ไกลๆและได้ยินบทสนทนานี้ล้วนหน้าซีดลงทั้งสิ้น

แม้แต่ตัวครูฝึกของหน่วยที่ 3 อย่างฟางเจี้ยนเองก็อดไม่ได้ที่จะขยับตัวหลังจากได้ยิน

มิงค์ขนหนามนับว่าเป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งถึงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ซ้ำยังเป็นอันตรายต่อนักเดินทางอย่างถึงขีดสุด ด้วยความแข็งแกร่งของมันแต่มีรูปร่างเล็ก ทำให้มันสร้างอันตรายและหายนะให้แก่ผู้ที่พบเจอได้อย่างมหาศาล ...

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถด้านความเร็วในการเคลื่อนไหวของมิงค์ขนหนามนี้เรียกได้ว่ามันรวดเร็วดั่งสายฟ้า

ความเร็วของมันเรียกได้ว่าเหนือล้ำกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ที่ใช้วิชาท่าร่างระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงที่มีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้ เต็มกำลังเสียอีก

"นี่เจ้าสามารถหลบหนี มิงค์ขนหนามที่แสนอันตรายนั่น มาได้จริงๆหรือ?" เมิ่งฉวนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะกล่าวถามออกมา

... ..

เหล่าเยาวชนทั้ง 15 คนและแม้กระทั่งฟางเจี้ยนเองยังตั้งใจฟังคำกล่าวของหลิงเทียน

เพราะสำหรับพวกเขานี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก

ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนมีความแข็งแกร่งเพียงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 หรือ แล้วเขาหนีรอดมาได้อย่างไร?

"ฮ่าๆ นี่นับว่าสวรรค์ยังเห็นใจข้าอยู่บ้าง มิงค์ขนหนามตัวนั้นมันได้รับบาดเจ็บที่ขา ความเร็วของมันจึงเพียงเท่าเทียมกับข้าเท่านั้น หากมันไม่ได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะก็ เกรงว่าชีวิตข้าคงต้องทิ้งไว้ในหุบเขาซ่อนอรุณนี้แล้ว" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาพร้อมแสดงท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไปพบเจอเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาจริงๆอย่างไรอย่างนั้น

"เฮ่อ นี่นับว่าเจ้ามีโชคยิ่งนัก" เซี่ยวหยู,เมิ่งฉวน และลั่วเฉินเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ครั้งนี้นับว่าหลิงเทียนมีโชคจริงๆ

"เรื่องราวเป็นเช่นนี้นี่เอง" เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากหลิงเทียน มันก็คลายความสงสัยให้แก่เยาวชนในหน่วยที่ 3

เพราะเป็นเช่นนี้ เรื่องราวทุกอย่างเลยกระจ่าง

....

ตอนนี้เมื่อเทียบกับหน่วยที่ 3 ที่กลับสู่ความสงบแล้ว หน่วยที่ 1 กลับตกอยู่ในความโกลาหล!

ทำไมน่ะเหรอ?

ครูฝึกของหน่วยที่ 1 กลับหายตัวไปอย่างลึกลับน่ะสิ!

"ครูฝึกพวกเราไปที่ใดกัน?" เหล่าเยาวชนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัย

"หรือว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของบททดสอบกัน" บางคนกล่าวคาดเดาออกมา

"ซูหลี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?" เยาวชนหลายคนหันไปมองชายที่สวมชุดสีแดงที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นสายตาเดียวกัน

เมื่อตัวเขาได้ยินเยาวชนของหน่วยที่ 1 กล่าวถาม ท่าทางของซูหลี่และดูเฉื่อยชาเล็กน้อยเขาเพียงกระชับกระบี่ขึ้นมาไว้เป็นการเตรียมพร้อมอย่างทุกที และก็ตอบออกมาง่ายๆว่า "ข้าไม่รู้"

"ดูเหมือนนี่จะเป็นการทดสอบของการเข้าค่ายอัจฉริยะอย่างหนึ่ง ... การหายตัวไปของครูฝึกเช่นนี้หมายถึงการทดสอบของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้นแล้วมิใช่หรอกหรือ" ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสีเขียวกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ ราวกับมันยังอยากจะกล่าวต่อออกมาอีกว่า "เรื่องเท่านี้ ข้าคาดเดาได้นานแล้ว"

"เพราะเหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?" คนอื่นๆได้แต่กล่าวถามออกมาด้วยความสงสัย

"เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าการที่ครูฝึกหายตัวไปเช่นนี้ เพื่อกระตุ้นให้พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างลำพัง เพื่อให้พวกเราได้เผชิญหน้ากับการแก้ปัญหาและคอยดูว่าพวกเราสามารถอยู่รอดได้หรือไม่" ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าวออกมาอย่างมีหลักการราวกับว่ามันต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆเท่านั้น

"เหอะ! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าคาดเดาไปเองหรอกหรือ" เยาวชนบางคนไม่สนใจการคาดเดามั่วซั่วของเขา

ชายหนุ่มชุดเขียวชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนที่จะกล่าวถามออกมาอย่างเย้ยหยัน "อะไร เจ้าไม่เห็นด้วย หรือเจ้าคิดจริงๆว่าคนที่มีความแข็งแกร่งระดับครูฝึก ที่เป็นนายกองของกองกำลังโลหิตเหล็กจะพลาดท่าในป่าซ่อนอรุณเช่นนี้? "

"เป็นไปไม่ได้ที่ครูฝึกจะเสียท่าอะไรเช่นนั้น"

เสียงวูหลี่พลันดังแทรกขึ้นมา "ผู้ที่จะเป็นนายกองของกองกำลังโลหิตเหล็กได้ อย่างน้อยๆต้องมีระดับบ่มเพาะอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8"

“พวกเจ้าได้ยินคำกล่าวของซูหลี่หรือยังเล่า? เขาย่อมหมายความว่า หากพวกเรายังไม่พลาดท่าอะไรในป่าซ่อนอรุณแห่งนี้ แล้วผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 อย่างครูฝึกจะพลาดท่าเสียทีได้อย่างไร? " ชายหนุ่มที่สวมชุดสีเขียวหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ

"ดูเหมือนว่าครูฝึกคิดทดสอบการเอาตัวรอดของพวกเราเช่นนี้จริงๆ... แต่ข้าหวังว่าเขาจะกลับมาเร็วๆ ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจและหวาดกลัวหากเขาไม่อยู่ด้วยเช่นนี้" ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวออกมาเพราะมันรู้สึกหวาดกลัว

ในขณะเดียวกันกับที่หน่วยที่ 1 กำลังกังวล ทางด้านต้วนหลิงเทียนนั้นกำลังกินเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย ...

เขาได้ลืมเรื่องราวที่ตัวเขาได้สังหารนายกอง อันเป้นครูฝึกของหน่วยที่ 1 ไปได้อย่างสิ้นเชิง

สองเดือนผ่านไป...

เยาวชนในหน่วยที่ 3 นั้นแทบจะเผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้ายทุกค่ำคืน ...และทุกๆวันพวกเขาจะต้องเข้าไปยังหุบเขาซ่อนอรุณเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ

เวลาผ่านไปรวดเร็วดังกระพริบตา

ตอนนี้เหลืออีกเพียง 3 วันเท่านั้น การเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะจะสิ้นสุดลง

และตอนนี้หน่วยที่ 3 ของหลิงเทียนพลันเหลือสมาชิกเพียง 11 คนเท่านั้น

นั่นหมายความว่ายังเหลือผู้ที่ต้องถูกคัดออกเพียงคนเดียวเท่านั้น!

แน่นอนว่าทั้ง 4 คนในกลุ่มของต้วนหลิงเทียนย่อมผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา

ส่วนทางด้านชายหนุ่ม 7 คนที่เหลือนั้นถึงแม้พวกมันจะยังร่วมมือกันเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้พวกมันก็เริ่มระแวงสงสัยกันเองแล้ว

เพราะพวกมันทั้งหมดย่อมรู้ตัวดีว่า ต้องมีคนใดในหมู่พวกมันต้องถูกคัดออกไป

"ดูท่าพวกมันต้องแข่งขันกันเองอย่างโหดร้ายและรุนแรงยิ่งนัก" เมิ่งฉวนเหลือบมองชายหนุ่มทั้ง 7 คนก่อนที่จะหัวเราะออกมา

"เมิ่งฉวน เหตุใดเจ้าดูมีความสุขกับความทุกข์ของผู้อื่นนักเล่า" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพร้อมหัวเราะออกมา

"นี่ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือ เมื่อพวกมันจัดการใครสักคนในหมู่พวกมันออกไป มันก็ครบกำหนดผู้คนที่เหลือรอดพอดี เช่นนั้นพวกเราก็จะได้ออกไปจากที่นี่เสียทีอย่างไรเล่า” เมิ่งฉวนกล่าวออกมาอีกครั้ง

"หืม?" ทว่าทันใดนั้นเองท่าทางของหลิงเทียนพลันแปรเปลี่ยนเป็นร้ายแรง สัญชาติญาณของเขาสัมผัสถึงได้อันตรายร้ายแรงถึงตายบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา

เซี่ยวหยูเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมา สัญชาติญาณของเขาเองก็สัมผัสได้ถึงภยันตรายนี้เช่นกัน

"มีเรื่องอะไรหรือ?" ลั่วเฉินและเมิ่งฉวนหันไปมองหลิงเทียนด้วยความสงสัย

ตึงง!

ตึงง!

...

ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทันได้กล่าวคำอะไรออกมา เพราะไมถึงครึ่งลมหายใจต่อมา พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ราวกับแผ่นดินไหว!

แผ่นดินไหวครั้งนี้มันเกิดขึ้นพร้อมกันกับที่มีเสียงอะไรบางอย่างดังคำรามก้องขึ้นมาในหุบเขาซ่อนอรุณ และเสียงคำรามนั้นน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากส่วนลึกของหุบเขาซ่อนอรุณ

และไม่นานนัก ภาพสัตว์ดุร้ายฝูงใหญ่ราวกับระลอกคลื่นก็ปรากฏไกลๆในสายตาของทุกคน

"แย่แล้ว มันเป็นฝูงสัตว์อสูรขนาดใหญ่!"

ท่าทางของฟางเจี้ยนพลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว สีหน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คิดรั้งรออะไรอีกต่อไป รีบพุ่งร่างไปยังทางออกของหุบเขาซ่อนอรุณทันที ก่อนไปเขาตะโกนออกมาคำเดียว "หนี!"

ถ้าถึงขนาดครูฝึกยังเร่งรีบหนีไปเช่นนี้ แน่นอนว่าเยาวชนที่เหลือคงไม่คิดอยู่รอดูเหตุการณ์แน่ๆ

"พวกเราก็ไปกันเถอะ!" ท่าทางของหลิงเทียนเริ่มกลับมาสุมขุม พลังงานต้นกำเนิดของเขาปะทุขึ้นมาก่อนที่ขาของเขาจะเคลื่อนไหวพาร่างแหวกฝ่าสายลม

วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกาย!

ต้วนหลิงเทียนนำกลุ่มเพื่อนติดตามเงาหลังของฟางเจี้ยนไป

อย่างไรก็ตามฟางเจี้ยนนั้นพุ่งร่างหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดทำให้ ค่อยๆทิ้งห่างกลุ่มต้วนหลิงเทียนไปอย่างช้าๆ

เซี่ยวหยู ,เมิ่งฉวน และลั่วเฉิน ติดตามหลิงเทียนมาอย่างใกล้ชิด และหลบหนีออกจากหุบเขาซ่อนอรุณได้ในที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะอกสั่นขวัญแขวนและตกใจกับเรื่องราวเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไร ...

แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ...

นอกจากต้วนหลิงเทียนที่ยังมีลมหายใจสม่ำเสมอและ เซี่ยวหยูที่เพียงลมหายใจปั่นป่วนเล็กน้อย ทางด้านเมิ่งฉวน และก็ลั่วเฉิน ล้วนก้มตัวลงไปยันเข่า หอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อย..

"โชคดีนักที่ข้าตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว ไม่งั้นข้าต้องตายแน่ๆ" เมื่อคิดถึงฉากก่อนหน้านี้แล้ว อดไม่ได้ที่เมิ่งฉวนจะกล่าวออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด

และอีกไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มอีก 4 คนของหน่วยที่ 3 ก็มาถึงทางออก ...

ชายหนุ่มทั้ง 4 ล้วนมีความสามารถใกล้เคียงกัน

พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 3 เช่นเดียวกันหมด

ส่วนที่ยังมาไม่ถึงนั้น มี 3 คนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 2 และยังมี 1 คนที่มีระดับบ่มเพาะเพียงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 1 เท่านั้น ...และดูเหมือนพวกเขาจะต้องทอดร่างนอนหลับใหลอยู่ในหุบเขาซ่อนอรุณไปตลอดกาล

สุดท้าย หน่วยที่ 3 ก็มีผู้เหลือรอดเพียง 8 คนเท่านั้น

"หากเราช้ากว่านี้อีกนิดคงต้องหลับใหลไปตลอดกาลอยู่ในนั้น ... ข้าคิดว่าฝูงสัตว์ที่วิ่งนำหน้ามานั้นย่อมเป็นสัตว์ดุร้ายที่มีความแข็งแกร่งต่ำที่สุด ส่วนพวกที่ตามหลังมานั้นย่อมแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราเห็นเป็นแน่ เผลอๆด้านหลังพวกมันอาจจะมีสัตว์อสูรระดับกำเนิดแก่นแท้ก็เป็นได้" ท่าทางของเซี่ยวหยูแสดงออกถึงความหวาดกลัว

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

...

ทันใดนั้น ก็ปรากฏร่างของคนจำนวนมากที่วิ่งหลบหนีออกมาจากหุบเขาซ่อนอรุณอย่างไม่คิดชีวิต

ผู้ที่นำขบวนออกมา ย่อมเป็นนายกองทั้ง 3 คน ... ส่วนเยาวชนในหน่วย ก็ออกจากหุบเขาตามหลังพวกเขามาติดๆ

หยูเซี่ยงและเทียนหูก็เป็นหนึ่งในเยาวชนที่หนีรอดออกมาได้

เหลือคนจำนวนไม่มากนักสำหรับหน่วยที่ 2 , 4 และหน่วยที่ 5

ทุกหน่วยล้วนมีจำนวนผู้รอดชีวิตไม่ถึง 10 คน

หน่วยที่ 5 นั้นเลวร้ายอย่างมาก เพราะมีผู้รอดชีวิตมาได้เพียง 4 คนเท่านั้น

"แล้วหน่วยที่ 1 อยู่ไหนกัน?" หลังจากที่นายกองทั้ง 4 ได้มารวมตัวกัน พวกเขาก็สังเกตทางออกของหุบเขาซ่อนอรุณอยู่พักหนึ่ง แต่มันไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นบริเวณทางออกของหุบเขาซ่อนอรุณอีกเลย..พวกเขาจึงกล่าวถามออกมาอย่างอดไม่ได้

"หน่วยที่ 1 ... " ต้วนหลิงเทียนมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย

คนในหน่วยนั้นทั้งหมดคงไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในหุบเขาซ่อนอรุณตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาหรอกนะ?

ไม่ใช่ว่าครูฝึกพวกมันหายตัวไปตั้งแต่ 3 เดือนก่อนงั้นเหรอ? พวกมันสมควรออกมานานแล้วสิ...

....

ในหุบเขาซ่อนอรุณบริเวณค่ายที่พักของหน่วยที่ 1

ฝูงสัตว์ดุร้ายกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ...

"แย่แล้วมันเป็นฝูงสัตว์ดุร้ายจำนวนมหาศาล" ท่าทางของเยาวชนแต่ละคนล้วนเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว

"ระยะเวลาในการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะนั้นเหลืออีกเพียง 3 วันเท่านั้น ... แต่ตอนนี้กลับมีฝูงสัตว์ดุร้ายบุกมาเช่นนี้"

"หรือว่าจะเป็นครูฝึกที่ซ่อนตัวอยู่ ไปไล่ต้อนสัตว์อสูรมาเพื่อ เพื่อให้พวกเราเหลือจำนวนเพียงครึ่งหนึ่ง เขาต้องการคัดพวกเราอีก 3 คนออกไป"

"อาจเป็นเช่นนั้น!"

"แล้วพวกเราควรหนีหรือไม่?"

"พวกมันน่าจะเป็ขนสัตว์ดุร้ายที่ครูฝึกไปไล่ต้อนมา มันไม่ควรมีสัตว์ดุร้ายใดๆที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเราจะต้านทานได้ พวกเราสมควรเข่นฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด ... "

"ถูกแล้ว หากผู้ใดหนีอาจจะต้องเป็นผู้ที่ถูกคัดออก!"

"สู้มัน!"

...

เยาวชนของหน่วยที่ 1 ระเบิดความกล้าหาญออกมาก่อนที่จะพุ่งไปปะทะกับฝูงสัตว์ดุร้ายที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างไม่หวาดกลัว

ซูหลี่เองก็พุ่งร่างเข้าไปกลางวงสัตว์ดุร้าย ทุกครั้งที่กระบี่ของเขาตวัด ต้องมีสัตว์ดุร้าย 1 ตัวจบชีวิตลง... เขาสังหารพวกมันได้ง่ายดาย

ฮู่ม!!

ทันใดนั้นเองเสียงคำรามน่าเกรงขามของสัตว์ดุร้ายก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทการรับฟังของซูหลี่ ท่าทางเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างมาก

ฟุ่บ!

ซูหลี่ไม่ลังเลที่จะเคลื่อนร่างหลบหนีไปยังทางออกของหุบเขาซ่อนอรุณด้วยกำลังทั้งหมดทันที

และในเวลาเดียวกันกับที่เขาพุ่งร่างหลบหนีไปเขาก็ตะโกนดังขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้ายว่า

"รีบหนีเร็วเข้า!! มันเป็นสัตว์ดุร้ายที่แข็งแกร่งเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 7 สิงโตอัสนี!"

รีวิวผู้อ่าน