px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 115 การทดสอบรอบสุดท้าย


หลังจากจ้องเมิ่งฉวนอยู่ครู่หนึ่งเซี่ยวหยูก็เลิกให้ความสนใจมัน หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองหลิงเทียนด้วยความสงสัยและกล่าวถามออกมา “แล้วเจ้ารู้หรือไม่การฝึกอบรมรอบต่อไป ต้องทำเช่นไรบ้าง”

"อันนี้ข้าเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน" ต้วนหลิงเทียนได้แต่ส่ายหัวออกมา

เซียวหยูหยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะหลับตาลงและเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง

ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย

ดูเหมือนการถูกทำร้ายจนหมดสติต่อหน้าผู้คนจะเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับเซี่ยวหยูไม่น้อย มิเช่นนั้นเขาคงไม่รีบฝึกฝนอย่างทุ่มเทถึงเพียงนี้...

แต่จะอย่างไรเขาก็เชื่อมั่นว่า อีกไม่นานเซี่ยวหยูต้องเหยียบย่ำหยูเซี่ยงได้อย่างแน่น

"เฮ่ แล้วทำไมพวกเจ้าสองคนก็ไม่ใช้เวลาว่างที่ว่างๆอยู่ ฝึกฝนบ่มเพาะสักหน่อยเล่า พวกเจ้าระวังไว้นะ เดี๋ยวจะไม่ผ่านการทดสอบเอาได้" ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองลั่วเฉินและเมิ่งฉวนพร้อมรอยยิ้ม

"ข้ามีเจ้าอยู่ทั้งคน แล้วยังจะต้องกลัวอะไรเล่า? ฮ่า ๆๆๆ" เมิ่งฉวนกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ เห็นได้ชัดว่ามันกะพึ่งพาสหายเต็มที่!!

ต้วนหลิงเทียนกรอกตามองอย่างสนุกสนาน "เฮ่ๆ เมิ่งฉวน แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าการสอบพรุ่งนี้ มันจะไม่แยกกันทดสอบเป็นรายบุคคล หากมันเป็นการทดสอบรายบุคคล ข้าเองก็จนปัญญาที่จะช่วยเจ้าได้นา?"

"ฉิบหายแล้ว!" เมิ่งฉวนและลั่วเฉินพลันอุทานออกมาพร้อมกัน หาได้ยากนักที่ทั้งสองคนจะทำอะไรออกมาๆเหมือนๆกันหรือพร้อมเพรียงกันเช่นนี้

เช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง เหล่าเยาวชนที่ยังเหลือรอดในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะก็มารวมตัวกัน

ต้วนหลิงเทียนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ไม่ทันไรเขาก็สัมผัสได้ถึงรังสีต่อสู้ที่แผ่พุ่งมาทางเขาทันที และเมื่อหันไปสำรวจดูก็พบว่า ซูหลี่และเทียนหูจ้องมองเขาด้วยแววตาของนักสู้ที่ปรารถนาจะวัดฝีมือกับคู่ต่อสู้

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำเมื่อวานนี้จะไปกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของทั้งสองคนนี้ขึ้นมา

แน่นอนว่านอกจากสายตาเร่าร้อนที่กระหายการตอสู้ของซูหลี่และเทียนหู ต้วนหลิงเทียนยังสัมผัสได้ถึงแววตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความรังเกียจเขาเอาไว้อย่างถึงที่สุด ...

หยูเซี่ยง!

รอยยิ้มบางๆพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน ในขณะที่เขาหันมองกลับไปทางหยูเซี่ยง เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการดึงดูดความแค้นหรือความเกลียดชังเพิ่มเติมแม้แต่น้อย

"ต้วนหลิงเทียน!"

ทว่าเมื่อหยูเซี่ยงเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของหลิงเทียน มันก็เหมือนกับการกระทำที่เจตนาจะยิ้มเย้ยหยันเขา ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยโทสะอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาจนถึงขีดสุด

ส่วนเยาวชนที่เหลิออยู่ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ ล้วนใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ ยามจับจ้องไปที่หลิงเทียนทั้งสิ้น

ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน เป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้แค่แหงนมองขึ้นไปเท่านั้น

ไม่นานหลังจากนั้นรองแม่ทัพเฉียวชิงจ่างก็เดินทางมาถึง ที่สำคัญด้านหลังของเขายังมีหัวหน้ากอง 4 คน และนายกองอีก 25 คน

การเดินมาเป็นระเบียบแบบนี้ทำให้บังเกิดสภาวะข่มขวัญไม่น้อย ทั้งแรงกดดันและจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากนายกองทั้งหมดยังเป็นแรงกดดันที่เกิดจากการเหยียบย่ำและเข่นฆ่าเหล่าศัตรูบนเส้นทางโลหิต ทำให้ท่าทีของเยาวชนทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

คงมีแต่ต้วนหลิงเทียนที่ยืนเฉยซ้ำยังยิ้มอย่างสบายอารมณ์ จิตสังหารและแรงกดดันแค่นี้เขาแทบไม่สะทกสะท้านอะไร

แต่จะอย่างไรก็ตามตอนนี้เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจและอยากรู้อย่างเห็นอยู่ไม่น้อย "หัวหน้ากองทั้ง 4 คน ยังมีนายกองอีก 25 คน เดินเรียงแถวมาซะสวยงามขนาดนี้! มันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับการทดสอบหรือไม่?"

"ทำความเคารพท่านรองแม่ทัพ!" กลุ่มเยาวชนในค่ายบ่มเพาอัจฉริยะก็ทำความเคารพรองแม่ทัพทันทีเมื่อแถวของนายกองหยุดลง

เฉียวชิงจ่างกวาดตาไปรอบๆก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทุกคนที่สามารถผ่านการฝึกฝนรอบแรกของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะมาได้ แม้ว่าจำนวนผู้รอดชีวิตของพวกเจ้าจะน้อยไปอยู่บ้าง แต่นั้นก็ทำให้ข้าเชื่อว่าทุกคนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้คือผู้ที่มีความสามารถสูงอย่างแท้จริง เพื่อเป็นมาตรการรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในช่วงการฝึกฝนรอบแรกของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ กองกำลังโลหิตเหล็กของเราจึงได้เปลี่ยนวิธีฝึกฝนเล็กน้อย และการฝึกฝนในรอบต่อไปนี้มันอาจจะไม่ใช่การฝึกฝนสักเท่าไร เพราะมันสมควรเรียกว่าการทดสอบเสียมากกว่า และเรื่องสำคัญที่ข้าจะกล่าวก็คือ หากผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้และยังมีชีวิตรอด ข้าขอรับประกันว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้รับคุณสมบัติในการเข้าศึกษาต่อที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลทันที! "

คำกล่าวนี้ของเฉียวชิงจ่างนับได้ว่าจุดชนวนบรรยากาศบางอย่างให้บังเกิดขึ้นในหมู่เยาวชนทันที

"จากที่ได้ฟังว่าจาที่ท่านรองแม่ทัพกล่าว นั่นหมายความว่าพวกเรากำลังจะพบกับบททดสอบสุดท้ายของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะใช่หรือไม่?"

"ข้าคิดว่าการทดสอบสุดท้ายนี้คงยากเย็นอย่างยิ่ง"

"ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ข้ามาไกลถึงเพียงนี้แล้วข้าจะฟันฝ่ามันไปให้ได้!"

"ถูกต้อง ข้าก็จะฟันฝ่ามันไปให้ได้ไม่ว่าจะเป็นอะไร! เพราะนี่เป็นเดิมพันด้วยโอกาสที่ข้าจะได้ทะยานสู่สวรรค์!"

...

ตอนนี้เหล่าเยาวชนที่เหลือรอดในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะรู้สึกเหมือนโลหิตพวกมันกำลังเดือดพล่าน

เมื่อเห็นเสียงเริ่มดังอึกทึก เฉียวชิงจ่างพลันยกมือขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนเงียบทันที

"การทดสอบสุดท้ายนี้ จะไม่ดำเนินเป็นกลุ่มอีกต่อไป ทุกคนจะได้รับมอบหมายภารกิจเดี่ยวจากกองกำลังโลหิตเหล็ก และหากผู้ใดสามารถกระทำภารกิจได้สำเร็จก็จะถือว่าผ่านการทดสอบแล้ว!" เฉียวชิงจ่างกล่าวต่อออกมาทันที

ทันทีที่เฉียวชิงจ่างกล่าวจบเหล่าเยาวชนทั้งหลายก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึง

หยูเซี่ยวและชายหนุ่มอีก 3 คนของตระกูลหยูก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

"ฉิบหาย ซวยแล้วไง!" เมิ่งฉวนและลั่วเฉินหันมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ครานี้แววตาของพวกมันแลดูเหมือนอยากจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น

มุมปากของหลิงเทียนเองก็กระตุกเล็กน้อย ใครจะไปรู้กันเล่าว่าคำพูดของเขาจะเป็นจริงขึ้นมา ...

ครู่ต่อมาเฉียวชิงจ่างก็เริ่มต้นทวนกฎเกณฑ์การทดสอบทันที "เพื่อไม่ให้พวกเจ้าเอาเปรียบโดยการยืมมือบุคคลภายนอกมาช่วยเหลือในการทดสอบ ทางกองกำลังโลหิตเหล็กของเราจึงได้นำหัวหน้ากองและนายกองรวม 29 คนมาเพื่อประกบติดเจ้าตัวต่อตัวทั้งกลางวันและกลางคืน โดยไม่ให้คลาดสายตาจนกว่าพวกเจ้าจะทำภารกิจเสร็จสิ้น และต่อให้พวกเจ้ากำลังจะประสบอันตรายจนถึงแก่ชีวิต พวกเขาจะไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้าแม้แต่นิดเดียว อย่าได้คิดว่าจะมีผู้ช่วยชีวิตให้พึ่งพาอะไร”

“และพวกเจ้าก็อย่าได้พยายามที่จะติดสินบนนายกองของกองกำลังโลหิตเหล็กของข้าเด็ดขาด เพราะพวกเขามีอำนาจในการจัดการผู้ใดก็ตามที่พยายามติดสินบนพวกเขาทันที ณ ตรงนั้น!" ท้ายประโยคเฉียวชิงจ่างพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เยาวชนที่อยู่รอบๆตอนนี้พวกมันรู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ท่าทีการแสดงออกของพวกมันแลดูอึดอัดขึ้นอย่างมาก ...

ตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็เข้าใจแล้วว่า ...เรื่องราวหลังจากนี้คงหาได้ง่ายดายอีกต่อไป

ผู้ควบคุม 29 คน?

ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงจับจ้องไปยังหัวหน้ากองและนายกองทั้ง 29 คนที่อยู่ด้านหลังเฉียวชิงจ่างทีละคน

"ไม่ใช่ว่าหัวหน้ากองทั้ง 4 นายนั่นถูกเตรียมไว้ให้ข้า,ซูหลี่,เทียนหูแล้วก็หยูเซี่ยงหรอกนะ?" ต้วนหลิงเทียนคาดเดาขึ้นมาในใจ

แปะ! แปะ!

เฉียวชิงจ่างพลันตบมือขึ้นมา 2 ครั้ง

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากด้านนอก

เมื่อต้วนหลิงเทียนหันไปมองก็พบว่าเป็นกลุ่มทหารของกองกำลังโลหิตเหล็ก ที่กำลังถือโต๊ะเก้าอี้เรียบง่ายเข้ามา ก่อนีท่พวกเขาจะทำการแจกจ่ายให้แก่เขาและเยาวชนที่เหลือรอดอีก 28 ชีวิตในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ

ทุกๆคนได้รับชุดโต๊ะเก้าอี้คนละชุด

แล้วทำไมต้องแจกจ่ายโต๊ะกับเก้าอี้ให้พวกเราด้วย?

แต่จะอย่างไรเดี๋ยวก็รู้จะคิดมากไปก็เท่านั้น

"นั่งลง!" เมื่อได้ยินคำสั่งของเฉียวชิงจ่าง เยาวชนทั้ง 29 คนรวมต้วนหลิงเทียนก็นั่งลงบนเก้าอี้ทันที

"ต่อไปพวกเจ้าจะได้รับแจกกระดาษ 2 แผ่นและพูกัน... " ทันทีที่ได้ยินเสียงของเฉียวชิงจ่างทหารที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มแจกกระดาษและพู่กันทันที

ทั้งหมดนี่มันเพื่ออะไรกัน?

ตอนนี้เยาวชนส่วนใหญ่รู้สึกอึ้งราวกับจะเป็นใบ้

เป็นไปได้หรือไม่ ว่าก่อนทำการทดสอบรอบสุดท้ายของค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะ จะเป็นการสอบข้อเขียน?

"ท่านรองแม่ทัพขอรับ ข้าน้อยโง่เขลา ซ้ำยังไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมามากมาย และข้าน้อยก็เขียนหนังสือได้อยู่ไม่กี่ตัว หากมันเป็นการสอบข้อเขียน...ข้าน้อยคงทำไม่ได้แล้ว" ทันใดนั้นเองมีชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นมาพูดพร้อมทั้งสีหน้าแดงก่ำ

เมื่อได้ยินคำกล่าวของมันทุกคนก็ล้วนหัวเราะออกมาทันที

"แล้วผู้ใดบอกว่าข้าจะให้เจ้าสอบข้อเขียนเล่า บัดซบทวีปเมฆาล่องแห่งนี้เพียงให้ความเคารพนับถือผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น ต่อให้เจ้าทำแบบทดสอบข้อเขียนได้คะแนนล้ำเลิศแล้วมันมีประโยชน์อันใด?" เฉียวชิงจ่างพลันขมวดคิ้วออกมาทันที

ไม่ใช่การสอบข้อเขียนอย่างนั้นรึ?

แล้วมันคืออะไรกันล่ะ?

ตอนนี้นอกจากต้วนหลิงเทียนทุกคนล้วนหันไปมองเฉียวชิงจ่างด้วยความสงสัย

มีแต่ต้วนหลิงเทียนที่ลูบคางราวกับนึกอะไรบางอย่างออก

"วันนี้ที่ข้าแจกกระดาษกับพู่กันให้เข้า ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ามานั่งสอบข้อเขียนไร้สาระอะไรนั่น แต่มีไว้เพื่อให้พวกเจ้าเขียนจดหมายบอกลา หรือไม่ก็คำสั่งเสีย พวกเจ้าอยากเขียนอยากบอกอะไรก็เขียนลงไป!" เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด

คำสั่งเสีย?

มอบมาเพื่อให้เขียนคำสั่งเสียและคำบอกลา?

ทันใดนั้นสีหน้าของเยาวชนล้วนซีดเผือด

อย่างไรก็ตามบางคนก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือบางคนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

"เอาล่ะเลิกถามได้แล้ว ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าครึ่งชั่วยามเพื่อเขียนคำสั่งเสียของพวกเจ้า พวกเจ้าจะเขียนมันหนึ่งหรือสองเรื่องก็ได้แล้วแต่พวกเจ้า และเมื่อเขียนเสร็จแล้วก็พับมันแล้วเขียนชื่อที่อยู่ผู้รับเสีย หากพวกเจ้าโชคร้ายตกตายลง กองกำลังโลหิตเหล็กของเรารับรองด้วยชีวิตว่าจะส่งจดหมายพวกนี้ให้ถึงมือคนที่เจ้าระบุไว้ โดยเร็วที่สุด" เฉียวชิงจ่างกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก

เยาวชนบางคนพลันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พวกเขาหยิบพู่กันขึ้นมา แต่ว่าก็ไม่รู้จะเขียนอะไร

แต่ก็มีบ้าง สำหรับบางคนที่เริ่มลงมือเขียนอย่างจริงจัง

คำสั่งเสีย?

มุมปากของหลิงเทียนพลันบังเกิดรอยยิ้มบางๆขึ้นมา

เรื่องนี้มันจำเป็นต้องเขียนด้วยหรือ?

และในที่สุดหลิงเทียนก็หลับฟุบไปคาโต๊ะ

เฉียวชิงจ่างที่คอยจับตาดูหลิงเทียนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาเห็นหลิงเทียนยืดแขนเล็กน้อยก่อนที่จะฟุบไปนอนบนโต๊ะด้วยท่าทางเกียจคร้านโดยไม่ใส่ใจจะเขียนอะไรสักนิด พาลให้มุมปากของเขากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย...

เด็กคนนี้มั่นใจในตัวเองสูงหรือว่าจริงๆแล้วแค่หยิ่งยโสกันแน่!?

แต่จะอย่างไรภารกิจที่มอบหมายให้ต้วนหลิงเทียนนั้น ก็เรียกได้ว่ายากเย็นที่สุดในบรรดาภารกิจทั้งหมด 29 ภารกิจ

ภารกิจเหล่านี้ล้วนถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ และแน่นอนว่าภารกิจของต้วนหลิงเทียนย่อมเป็นระดับที่ยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย มันเป็นภารกิจที่กว่าจะตัดสินใจมอบให้เขาทำได้ ก็เป็นนาทีสุดท้ายของเมื่อคืนแล้วจริงๆ

เพราะจะอย่างไรหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 แล้ว หากให้ภารกิจเขาง่ายเกินไปเกรงว่าเขาคงทำสำเร็จแม้กระทั่งหลับตาทำก็ตาม!

ส่วนภารกิจที่อยู่ในระดับรองลงมาจากของหลิงเทียนหนึ่งระดับ แต่มันก็ยังถือว่าค่อนข้างยาก และภารกิจเหล่านี้ล้วนมีไว้สำหรับเยาวชนที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 อันได้แก่ ซูหลี่,เทียนหู และหยูเซี่ยง

ส่วนภารกิจที่เหลืออีก 25 ภารกิจนั้น หากจะกล่าวไปมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมากสำหรับต้วนหลิงเทียนและ 3 คนนั้น แต่สำหรับอีก 25 คนนั้นมันไม่ใช่ สำหรับพวกเขาแล้วภารกิจพวกนี้มีความยากสูงและสามารถพลาดท่าเสียชีวิตได้ตลอดเวลา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามนายทหารของกองกำลังโลหิตเหล็กก็เดินไปรวบรวมจดหมายสั่งเสียของเยาวชนทั้ง 28 คน

มีเพียงต้วนหลิงเทียนคนเดียวเท่านั้นที่ขยำกระดาษ 2 ใบนั่นแล้วปาทิ้งไป

และตอนนั้นเองที่เหล่าเยาวชนพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้เขียนจดหมายหรือคำสั่งเสียอะไรนั่นแม้แต่นิด ...

"ต้วนหลิงเทียนทำไมเจ้าไม่เขียนจดหมายหรืออะไรนั่นล่ะ?" เมิ่งฉวนที่นั่งอยู่ด้านหลังของต้วนหลิงเทียน อดสงสัยไม่ได้จึงกล่าวถามออกมา

"แล้วทำไมข้าต้องเขียนมันด้วยล่ะ?" ต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะถามย้อนออกมา

เมิ่งฉวนพลันตกตะลึง "จริงสิ ด้วยความสามารถของเจ้า แม้แต่หยูหง ผู้อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 8 ยังถูกเจ้าสังหารลงได้ เจ้าเลยไม่สนใจที่จะเขียนจดหมายสั่งเสียอะไรนี่ให้เสียเวลา เพราะจะอย่างไรเจ้าก็ต้องผ่านการทดสอบนี่อยู่แล้ว เฮ่อ เป็นเจ้านี่ก็ดีนะ"

"เฮ่อ...เมื่อไหร่ข้าจะมั่นใจและทำท่าหยิ่งไม่สนใจโลกได้แบบเจ้ากันนะ ... ?" เมิ่งฉวนถอนหายใจออกมา

"เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เขียนจดหมายสั่งเสียของพวกเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ภารกิจจะเริ่มขึ้นทันทีหลังจากที่พวกเจ้าติดตามผู้ควบคุมออกไปจากเมืองโลหิตเหล็ก ส่วนเส้นทางการเดินทางและภารกิจที่พวกเจ้าจะต้องกระทำเดี๋ยวผู้ควบคุมเจ้าจะเป็นคนบอกแก่พวกเจ้าเองหลังจากออกไปแล้ว " เฉียวชิงจ่างกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

และเมื่อเฉียวชิงจ่างกล่าวจบ หัวหน้ากองและนายกองทั้ง 29 คนก็แยกย้ายกันเดินออกมาจากด้านหลังเขาทันที

และก็เป็นอย่างที่หลิงเทียนคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด หัวหน้ากอง 3 ใน 4 คนแยกย้ายกันไปหา ซูหลี่,เทียนหู,และหยูเซี่ยง

ส่วนกับตันที่เดินมาหาเขาตั้งแต่แรกนั้นก็เป็นหัวหน้ากองที่เขาคุ้นเคย หยางต้า

"ท่านหัวหน้ากอง"ต้วนหลิงเทียนยิ้มเบาๆ ในขณะที่ประสานมือทำความเคารพ

"เอาล่ะ ไปกันเถอะ" หยางต้าเพียงยิ้มรับการทำความเคารพของหลิงเทียน ก่อนที่จะเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ่ พวกเจ้าต้องสัญญากับข้าด้วยล่ะว่าจะรอดกลับมา และไปดื่มกับข้าให้ได้” ก่อนออกเดินทางหลิงเทียนไม่ลืมที่จะหันไปมองทั้ง เซี่ยวหยูเมิ่งฉวน และลั่วเฉิน ทั้งสามคนด้วยสายตาจริงจังก่อนที่จะกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

"ได้ พวกข้าสัญญา!" ทั้งสามคนพยักหน้า

หลังจากนั้นหัวหน้ากองและนายกองต่างๆก็แยกย้ายพาเหล่าเยาวชนทั้ง 29 คนไปตามทางที่ได้รับมอบหมายภารกิจ

ต้วนหลิงเทียนเองก็วิ่งตามหยางต้าออกจากเมืองโลหิตเหล็ก ทว่าทิศทางและถนนที่เขาใช้ออกจากเมืองนั้นกลับเป็นทางด้านตะวันออก

หากมุ่งหน้าไปทางทิศจะวันออก!

“หัวหน้ากอง หากพวกเรามุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกต่อไปแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะเข้าเขตอาณาจักร หวู่ฉาน หรอกหรือ?” หลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา

"เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว ภารกิจครั้งนี้ของเจ้าอยู่ในอาณาจักรหวู่ฉาน" หยางต้าพยักหน้า

ท่าทีของหลิงเทียนพลันแข็งขึ้นเล็กน้อย ภารกิจอะไรกันที่ต้องไปกระทำในอาณาจักร หวู่ฉาน?

‘พวกเขาต้องการให้ข้าลอบสังหารผู้คนงั้นหรือ?’

รีวิวผู้อ่าน