RC:บทที่ 6 องุ่นวิเศษ
เสี่ยวเฮ่ยเป็นลมไปในทันทีหลินเฟิงแทบกระโดด เขาคิดว่ามันคงตายแล้ว!
หลินเฟิงก้าวเข้าไปหาและเขย่าตัวของเสี่ยวเฮ่ย แต่มันก็ไม่ไหวติงเลย จากนั้นหลินเฟิงจึงเอื้อมมือไปจับที่จมูกของเสี่ยวเฮ่ยและพบว่าลมหายใจของเสี่ยวเฮ่ยนั้นยังคงเป็นปกติและอัตราการเต้นของหัวใจก็ยังคงปกติและสม่ำเสมอ ดังนั้นเขาจึงปล่อยมันไว้
“ฉันหวังว่าเสี่ยวเฮ่ยคงจะโอเค มิฉะนั้นแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับแม่ว่าอย่างไรและเมื่อไรมันถึงจะฟื้นขึ้นมา!”
หลังจากนั้นหลินเฟิงก็ย้ายเสี่ยวเฮ่ยไปไว้ที่บ้านสุนัขของมัน ซึ่งไอ้เจ้านี่ก็ไม่ใช่ตัวเบาๆ เลย เขาถึงกับเหนื่อยเลยทีเดียว เมื่อเขาถึงที่อีกด้านของเถาองุ่นที่กำลังจะตายตรงหน้าของเขาอีกครั้ง หลินเฟิงได้นำขวดเล็กๆ อีกสีหนึ่งออกมา
ขวดเล็กใบนี้มีสีเขียว อีกใบหนึ่งที่เพิ่งจะเทไปคือสีแดงและได้ถูกเลียไปจนหมดแล้วโดยเจ้าหมาน้อยสีดำนั่น
หลินเฟิงเปิดฝาขวดสีเขียวใบเล็กจากนั้นก็หยดลงไปที่เถาของต้นองุ่นที่กำลังจะตาย ตั้งแต่ลำต้นของเถาองุ่นไหลเรื่อยไปจนถึงราก ในเวลาไม่นานักน้ำยาสีเขียวนั้นก็หายไปจนหมดรวมกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
ต่อมาหลินเฟิงก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ เขาเห็นเถาองุ่นที่เกือบจะตายไปแล้วนั้น แทรกผ่านผืนดินที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปด้วยการสั่นสะเทือน ในตอนแรกกิ่งก้านสีเหลืองที่เหี่ยวเฉาและใบที่อยู่บนเถาองุ่นนั้นกลับกลายเป็นสีเขียว เหมือนกับของใหม่เลยทีเดียว
จากนั้นดอกตูมใหม่ก็ได้งอกออกจากแต่ละกิ่งก้านของเถาองุ่น ดอกตูมเหล่านี้เติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวหลินเฟิงก็ได้เห็นเถาใหม่จำนวนนับไม่ถ้วนแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเหมือนงูตัวเล็กๆ ไขว้บนหัวเหมือนการทอตาข่ายขนาดใหญ่
ไม่เพียงแค่นั้น กิ่งก้านใหม่เหล่านี้ได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลายมาเป็นกิ่งก้านที่หนา ยาว และเพิ่มจำนวนใบมากขึ้นซึ่งแต่ละใบทั้งสดและมีสีเขียว เต็มไปด้วยความเขียวขจี
จากนั้นเมื่อหลินเฟิงมองเห็นดอกตูมขององุ่นเติบโตขึ้นบนกิ่งก้านอย่างช้าๆ พวกมันพากันผลิดอกภายในเวลาอันสั้นซึ่งไม่เพียงแค่ดอกเดียว แต่นับไม่ถ้วน มันเป็นความรู้สึกของดอกไม้บานในชั่วพริบตา
แต่เมื่อหลินเฟิงคิดว่ามันจบลงแล้ว แต่เถาองุ่นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เขาเห็นดอกไม้นับไม่ถ้วนนั้นร่วงหล่นและจากนั้นพวกมันก็ถูกแทนที่ด้วยองุ่นพวงเล็กๆ และองุ่นเหล่านั้นก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือของมนุษย์
หลินเฟิงใช้เวลาอยู่กับต้นองุ่นกว่าสามชั่วโมงซึ่งสามชั่วโมงนี้ราวกับเวลาได้ผ่านไปเป็นปี ไม่มีอะไรที่น่าตกใจยิ่งไปกว่าสิ่งที่เขาได้เห็นตรงหน้าอีกแล้วเมื่อเขาได้เห็นราก การงอกเงย การเจริญเติบโตและการออกดอกของเถาองุ่นที่มีผลลัพธ์ของการเติบโตอย่างเต็มที่
จนกว่าอาการชาที่ขาและความเจ็บปวดที่ตาของเขา ซึ่งทำหลินเฟิงสามารถหายจากอาการตกตะลึงได้
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเวลาเพียงสามชั่วโมง ในเวลานี้ด้านบนหัวของหลินเฟิงนั้นเต็มไปด้วยเถาองุ่น ซึ่งมีพวงองุ่นห้อยอยู่บนนั้นและแต่ละช่อก็มีลูกองุ่นอยู่ประมาณสิบถึงยี่สิบลูก
สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจก็คือลูกองุ่นแต่ละลูกนั้นมีขนาดเท่าไข่ไก่ซึ่งเกือบจะใหญ่เป็นสามเท่าขององุ่นทั่วไป
“พระเจ้า มีองุ่นเยอะแยะเลย!” หลินเฟิงพูดออกมาอย่างโง่ๆ
“ป้าบ!”
หลินเฟิงตบหน้าตัวเองอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้กำลังฝันไป เขาไม่รู้เลยว่าเขาสงสัยตัวเองไปแล้วกี่ครั้งว่าเขากำลังฝันอยู่
“ดี ไม่ใช่ความฝัน!”
หลินเฟิงตบหน้าตัวเองอย่างไม่ลังเล ความเจ็บบนใบหน้าบอกเขาว่ามันคือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
“แต่องุ่นพวกนี้โตเร็วเกินไป อีกไม่นานดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะสุก ไหนลองซิ!”
จากนั้น หลินเฟิงก็เอื้อมมือคว้าองุ่นลูกยักษ์มาทันทีและโยนเข้าปากไป ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกที่ยากที่จะบรรยายได้อยู่ในปากของเขา มันเหมือนกับเมฆที่ลอยอยู่ รู้สึกถึงความสดชื่นและความอร่อย เนื้อที่หวานของมันทำให้เขาถึงกับคำรามออกมาด้วความตื่นเต้น
“มันช่าง...หอม!”
หลินเฟิงตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เสียงนั้นดังมากซึ่งแม้แต่แม่ทำกำลังทำนาอยู่ไกลๆ ก็ยังได้ยิน
“ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันตะโกนอะไร”
“ว้าว มันช่างอร่อยเหลือเกิน จะมีอะไรในโลกที่อร่อยได้ขนาดนี้? ฉันไม่เคยกินอะไรที่อร่อยกว่านี้เลย ไม่สิ มันอร่อยเหลือเกิน ลองกินอีกสักคำซิ ลองอีกสักคำ!”
หลินเฟิงเป็นเหมือนกับคนที่ไม่ได้กินอะไรมาหลายปี เขากินโดยไม่ห่วงภาพพจน์ของตัวเองเลย มันช่างอร่อยเหลือเกิน ถ้าเขากินไปหนึ่งลูก เขาก็ต้องกินลูกที่สองและสามต่อไปอีก
หลังจากที่ได้กินองุ่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากที่จะกินอย่างอื่นอีกเลย
หลินเฟิงกินองุ่นไปสามลูกในคราวเดียวกัน มันสำคัญมากที่จะต้องรู้ว่ามันมีมากว่าสิบถึงยี่สิบลูกในแต่ละพวง แต่ละพวงนั้นลูกใหญ่ราวกับลูกพีชซึ่งเกือบจะทำให้หลินเฟิงอิ่ม
หลังจากที่หลินเฟิงได้กินจนเพียงพอแล้ว เขามองดูไปรอบๆและทันใดนั้นก็พบว่าเถาองุ่นที่กำลังห้อยลงมานั้นและร่วงลงสู่ดิน
“โตเร็วมากเลย? ไม่นะ เราต้องหาไม้ค้ำมาใส่ทั้งสนามแล้วล่ะ ไม่งั้นมันคงไม่ดีแน่ถ้าจะให้พวงองุ่นห้อยลงมาอย่างนี้ เพราะบนพื้นเต็มไปด้วยพวกไก่แล้วฉันค่อยถางมันออกทีหลัง”
เมื่อหลินเฟิงกลับเข้ามาที่บ้าน เขาหยิบมีดได้และวิ่งไปที่ป่าไผ่
จากนั้นไม่นานนักหลินเฟิงก็ตัดไม้ไผ่กลับมาด้วยไม่ต่ำกว่าสิบลำ แล้วเขาก็สร้างชั้นขึ้นบนสนามหญ้าเพื่อที่จะยกดอกตูมของเถาองุ่นที่หย่อนลงมา กว่าหลินเฟิงจะทำเสร็จก็เป็นเวลามืดค่ำพอดี
เมื่อกลับมาถึงบ้านและหลังจากที่รับประทานอาหารค่ำแล้ว หลินเฟิงก็หลับไปบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าในวันนี้
ในวันที่สอง
“มือถือกระแสน้ำวนสีดำ? ขวดวิเศษสีแดง? ขวดวิเศษสีเขียว? นี่มันความฝันใช่ไหม?”
ทันที่เริ่มเข้าสู่วันใหม่แสงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา หลินเฟิงก็ตื่นขึ้น ซึ่งยังไม่แปดโมงเลยด้วยซ้ำ
หลินเฟิงคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ใต้หมอน เปิดหน้าจอและทันใดนั้นก็พบว่าหน้าจอโทรศัพท์นั้นปรากฏกระแสน้ำวนสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ซึ่งดูเหมือนกับเป็นวอลเปเปอร์ของโทรศัพท์
“เอ๊? กระแสน้ำวนสีดำ? ไม่ใช่ความฝันนี่นา!”
เมื่อพูดจบหลินเฟิงก็รีบสวมรองเท้าแตะแล้ววิ่งไปยังสวนหลังบ้าน ไม่นานนักเขาก็มาถึงที่สวนหลังบ้าน สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือองุ่นมากมายที่ไม่ใช่มีอยู่แค่ที่มุมของสนามหลังบ้านแต่ตอนนี้กลับครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของสนามหลังบ้าน
เมื่อวานนี้เสาค้ำยันที่ทำจากไม้ไผ่ที่หลินเฟิงเพิ่งจะทำไว้เมื่อวานบัดนี้เต็มไปด้วยเถาองุ่นและทั่วทั้งสวนหลังบ้านนั้นเต็มไปด้วยพวงองุ่นที่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน
สนามหลังบ้านแห่งนี้ถูกใช้เพื่อเลี้ยงไก่ของบ้านหลินเฟิง ซึ่งมีความยาวมากกว่า 80 เมตรและกว้างมากกว่า 14 เมตร ในตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งมีชีวิตสีเขียวเป็นชั้นๆ ซึ่งมันก็คือเถาองุ่นและเถาองุ่น
เมื่อมองดูที่พวงองุ่นอันมหึมา หลินเฟิงนั้นตื่นเต้นและเขาก็รีบหยิบองุ่นมาสองลูกเพื่อที่ชิมมัน มันยังคงหวานเหมือนกับที่เขาได้ชิมไปเมื่อวานนี้ หลินเฟิงช่วยไม่ได้เลยที่จะหยิบมันมากินอีกเรื่อยๆ
“องุ่นแบบนี้มันต้องเป็นที่นิยมมากแน่ๆ วันนี้เป็นวันที่เราจะต้องไปที่ตลาด งั้นเก็บไปสักสองตะกร้าแล้วลองขายมันดูดีกว่า!”
หลังจากที่พูดจบหลินเฟิงก็รีบกลับไปที่บ้านเพื่อหยิบเอาตะกร้ามาสองใบ เขาเก็บองุ่นจนเต็มทั้งสองตะกร้านั้น แต่ละใบหนักประมาณ 50-60 จิน แล้วเขาก็ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าของพ่อไปยังตัวเมือง