px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 127 เค้าลางพายุ ปรากฏ


รุ่งสางของเช้าวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนและครอบครัวก็ได้เริ่มเดินทางออกจากเขตที่พักตระกูลลี่ ทันที

แน่นอนว่าลี่อู๋ประมุขของตระกูลลี่เอง ก็ได้ตระเตรียมเกวียนเทียมม้าเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เกวียนนี้ถูกลากด้วยม้าพ่วงพีจำนวน 5 ตัวและนี่นับเป็นม้าที่แข็งแกร่งและดีที่สุดเท่าที่ลี่อู๋จะจัดหาได้ ตัวเกวียนมีขนาดใหญ่โตโอฬาร ในขณะที่สัญจรมันร้องเรียกสายตาของผู้คนในเมืองออโรร่าให้ชมดูไม่ขาดสาย ...

"เกวียนหลังนี้เป็นของผู้ใดแล้วโผล่มาจากที่ใดกัน เกวียนหลังใหญ่ถึงเพียงนี้ผู้ที่ขับขี่ต้องมีสถานะไม่ธรรมดาเป็นแน่!"

"บัดซบ เจ้าก็มีตา แต่ไม่เห็นหรือไร บนตัวเกวียนสลักรูปสัญลักษณ์ของตระกูลลี่แปะหราไว้ถึงเพียงนั้น?"

"เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ในเกวียนหลังนั้นจะเป็นประมุขของตระกูลลี่?"

"โง่เขลา! เกวียนเช่นนี้ผู้ที่จะโดยสารได้มีเพียงต้วนหลงเทียนเท่านั้น …และย่อมไม่ผิดแน่! นี่เขากำลังเดินทางไปยังเมืองหลวงพวกเจ้าลืมกันไปแล้วหรือไร ว่าต้วนหลิงเทียนและเซี่ยวหยู ได้ผ่านค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็ก และพวกเขาได้รับสิทธิ์เข้าศึกษาต่อที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลเรียบร้อยแล้ว? "

"อะไร เขาเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้เลยหรื อใยจึงรีบร้อนนักเล่า?"

"แน่นอนว่าเขาต้องออกเดินทางไปตั้งแต่ตอนนี้ ระยะทางจากเมืองหลวงนั้นห่างไกลนัก อีกทั้งเขายังเดินทางโดยใช้เกวียนเช่นนี้ย่อมสมควรต้องรีบร้อนไป"

"อา ต้วนหลิงเทียนผู้นี้พึ่งมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ...อัจฉริยะเช่นนี้แน่นอนว่าวันหนึ่ง เขาต้องกลายเป็นตัวตนที่สูงล้ำเหนือผู้ใดในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้เป็นแน่!"

"เจ้ายังจะกล่าวออกมาให้เปลืองน้ำลายอีก ยังมีผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องนี้กันอีกเล่า?"

...

ชาวเมืองออโรร่าทั้งหมดที่อยู่ในเส้นทางสัญจร ล้วนมองดูเกวียนที่กำลังแล่นผ่านไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส จนกระทั่งเกวียนนั้นหายลับตาของพวกมันไป พวกมันจึงกลับมารู้ตัวอีกครั้ง ...

การที่เมืองออโรร่าสามารถบังเกิดผู้ที่อัจฉริยะดั่งเช่นต้วนหลิงเทียนได้ ทำให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก

ในขณะที่เกวียนนี้เป็นเกวียนหลังใหญ่ แถมยังใช้ม้าแกร่งเทียมถึง 5 ตัว แน่นอนว่าด้านในต้องมีพื้นที่กว้างขวาง เตียงนอน 2 เตียงถูกคลุมด้วยหนังสัตว์คุณภาพสูง ที่มีความอ่อนนุ่มสบายราวขนนก เตียงทั้งสองตั้งกันอยู่คนละฟาก ส่วนตรงกลางนั้นเป็นโต๊ะขนาดเล็กที่มีอาหารเลิศรสและผลไม้จัดตั้งอยู่เต็มโต๊ะ

"นับว่าเกวียนที่ประมุขจัดให้นี่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว" ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียง เขาก็กล่าวพึมพำออกมา พร้อมรอยยิ้มพึงพอใจที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า เขาสามารถจินตนาการได้เลย ว่าลี่อู๋ต้องวุ่นวายถึงขนาดไหนถึงจัดเตรียมเกวียนที่ดีถึงเพียงนี้ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

"แน่นอนอยู่แล้ว ข้าบังเอิญไปได้ยินมาว่า ท่านประมุขอุตส่าห์ไปจ้างช่างฝีมือที่ดีที่สุดทั่วทั้งเมืองออโรร่าให้รีบมาต่อเกวียนหลังนี้ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 วัน" ขณะที่ลี่เฟยกล่าว นางก็นำมือไปลูบขนสัตว์นุ่มๆที่นำมาปูบนเตียง ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา "ดูเหมือนหนังและขนของมิงค์พวกนี้จะมีมูลค่าหลายแสนเหรียญเงิน ... "

ลี่หลัวที่นั่งดูทางบนเตียงด้านข้างหน้าต่างหันกลับมามองหลิงเทียน พร้อมยิ้มบางๆ "ครั้งนี้ประมุขดูแลพวกเราไม่น้อยเลย ... ลูกเทียนเจ้าต้องจดจำการดูแลของประมุขในครั้งนี้เอาไว้ด้วย"

"ข้ารู้แล้วท่านแม่ " ต้วนหลิงเทียนที่นอนเอนหลังอยู่ไขว้ขาไปมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่จะส่ายหน้าออกมาเบาๆ

ดวงตาที่งดงามของเค่อเอ๋อแหงนขึ้นด้านบนราวกับครุ่นคิดเล็กน้อย ยามนางสงสัยนี้ดวงตาของนางก็เหมือนกับจันทร์กลมโกลิ้งไปกลิ้งมาชวนให้น่าดูชมไม่น้อย นางมองอยู่ด้านนอกอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวถามออกมาว่า "นายน้อยท่านไปหาจ้างผู้ที่ขับเกวียนมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ เหตุใดเขาเรียกท่านว่านายท่านเล่า?"

ลี่เฟยและลี่หลัวเองก็หันมาจ้องหลิงเทียนเพื่อรอฟังคำตอบด้วยเช่นกัน พวกนางย่อมดูออกว่าชายที่ขับเกวียนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา อาศัยลักษณะเย็นชาและกลิ่นอายดังกล่าว อีกทั้งยังมีหน้ากากที่ปิดบังใบหน้านั่นอีก นี่ย่อมไม่ใช่ลักษณะของผู้ขับเกวียนตามปกติสามัญอย่างแน่นอน

"เค่อเอ๋อเขาไม่ใช่คนขับเกวียนที่ข้าไปจ้างมา เขาเป็นคนรับใช้ของข้า" ต้วนหลิงเทียนกล่าวแก้คำออกมา ก่อนที่จะหัวเราะ "เมื่อเจ้าแต่งงานกับข้า แน่นอนเขาย่อมเรียกเจ้าว่านายหญิงและเชื่อฟังคำสั่งเจ้าเช่นกัน"

เค่อเอ๋อที่ได้ฟังพลันเขินอายพวงแก้มเจือไปด้วยสีแดงก่ำ ยามนี้นางลืมไปเลยว่าคิดจะกล่าวคำอะไร

"ตัวเลวร้าย เจ้ารังแกน้องหญิงเค่อเอ๋ออีกแล้ว" ลี่เฟยที่เห็นบังเกิดความหมั่นเขี้ยวยื่นมือไปจับเนื้อบริเวณเอวของหลิงเทียนก่อนที่จะบิดมันอย่างแรง

"โอ๊ย!! เสี่ยวเฟย เจ้า…เจ้าคิดเข่นฆ่าสามีหรือ?" ต้วนหลิงเทียนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะยื่นแขนไปคว้าล่างลี่เฟยเข้ามากอดดังหมับ ก่อนที่จะจับนางตีก้นเบาๆ ...

เพียะ!

ร่างที่เย้ายวนบอบบางของลี่เฟยสั่นสะท้านขึ้นโดยพลัน และเมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าในรถยังมีเค่อเอ๋อกับลี่หลัวนั่งร่วมอยู่ด้วย ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำราวกับจะมีหยาดโลหิตซึมทะลุออกมาอย่างไรอย่างนั้น นางรีบดิ้นรนและหนีไปนั่งซุกตัวอยู่บริเวณมุมหนึ่งของเตียงไม่กล้าวุ่นวายกับหลิงเทียนอีกต่อไป

"ลูกเทียนเจ้านี่ล่ะก็ จะเล่นอะไรก็ดูที่ทางบ้าง"ลี่หลัวกล่าวตักเตือนออกมาก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ

"อา ข้าจะทำตามที่ท่านแม่สั่ง แหะๆ" ต้วนหลิงเทียนหัวเราะแห้งๆออกมา ตัวเขาเองก็ลืมตัวไปครู่หนึ่ง เขาก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ในรถมีมารดาของเขาอยู่ด้วย

ในระหว่างการเดินทางไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง ต้วนหลิงเทียนมักจะแวะค้างคืนที่โรงเตี๊ยมในเมืองทุกครั้งที่เกวียนขับขี่ผ่านเมือง ความเร็วของเกวียนหลังนี้นับว่ารวดเร็วมากกว่าเกวียนอื่นๆพอสมควร การเดินทางจึงไม่ค่อยเร่งรีบมากนัก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ 2 เดือนที่ผ่านมานี้ฉงเฉวียนนั้นคุ้นชินกับการขับเกวียนหรือไร แต่ตอนนี้เขานับว่าเป็นผู้มีฝีมือด้านการควบคุมขับขี่เกวียนไม่น้อย ….ในฐานะอดีตผู้พิทักษ์ของนิกายไร้สิ้นสุดที่ยิ่งใหญ่ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของฉงเฉวียนที่ต้องมารับหน้าที่เป็นคนขับขี่เกวียนอะไรเช่นนี้

อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ เพราะว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่ในมือของชายหนุ่มชุดสีม่วงที่อยู่ด้านในเกวียนหลังนี้

ณ เมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน

"ย่ะ!!" ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกน อาชาโลหิตพลันท่องทะยานออกไปโดยพลัน มันวิ่งฝ่าถนนฝุ่นตลบคละคลุ้งมุ่งมายังเขตที่พักตระกูลหยู …และเมื่อมาถึงประตูทางเข้าระตระกูลหยู ร่างที่ควบขี่อาชาโลหิตที่กำลังท่องทะยานมาด้วยความเร็วสูงพลันกระโดดลงจากหลังม้าก่อนที่จะเหินร่างพุ่งเข้าตระกูลหยูไปด้วยความเร็วที่เหนือล้ำกว่าอาชาโลหิตเสียอีก

ในห้องโถงของตระกูลหยู ปรากฏร่างชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามนั่งตระหง่านอยู่บริเวณโต๊ะหน้าสุดของห้องโถง ด้านข้างๆเป็นชายวัยกลางคนอีกร่างก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งสามร่างนี้ คนหนึ่งเป็นประมุขของตระกูลหยู หยูเตี่ยน รองประมุข หยูหลี่และคนสุดท้ายที่เป็นชายหนุ่มก็คือหยูเซี่ยง

ในไม่ช้าสายตาของชายทั้ง 3 คนก็หันไปจับจ้องร่างผู้ที่พึ่งพุ่งมาถึงด้วยความรวดเร็ว กำลังหายใจหอบถี่อยู่จากการเร่งรีบมาอย่างสุดกำลัง

ชายวัยกลางคนที่แลดูน่าเกรงขามลูบเคราใต้คางก่อนที่จะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "เจ้าไปสืบได้ความมาว่ากระไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือไม่?"

ทว่าหลังจากกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ยามนี้พลันบังเกิดกลิ่นอายยะเยือกแผ่ซ่านออกมา ราวกับอยู่ขั้วโลก อากาศในห้องที่ใช้สูดหายใจดูเหมือนจะเยือกเย็นลงทันใด

คนของตระกูลหยูที่มาถึง ปรับลมหายใจสักครู่ก่อนที่จะกล่าวรายงานออกมาว่า "ท่านประมุข ข้าสืบทราบมาว่าต้วนหลิงเทียนนั้นที่นายน้อยเซี่ยงกล่าวถึงนั้น เป็นสาวกคนหนึ่งของตระกูลลี่แห่งเมืองออโรร่า แต่ทว่าเขากลับใช้แซ่อื่น ส่วนสำหรับเซี่ยวหยูนั้น เขาเป็นสาวกของตระกูลเซี่ยว อีกทั้งยังมีสถานะเป็นหลานชายของผู้อาวุโสหลักของตระกูลเซี่ยว ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง"

"หลานชายของผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง?" สีหน้าของหยูเซี่ยงดิ่งลงเล็กน้อย "เซี่ยวหยูนั้นแท้จริงแล้วกลับมีพื้นหลังไม่ธรรมดาเช่นนี้ เฮอะ! แต่เป็นหลานชายของผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณแรกก่อตั้งแล้วจะอย่างไร? ผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณแรกก่อตั้งของเมืองเล็กๆ ข้าคิดว่าคงไม่พ้นระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 1หรือ 2 เท่านั้น!"

"หืม? เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าเมืองออโรร่าใช่หรือไม่?" ทว่าหยูเตี่ยนกลับถามขึ้นมาพร้อมขมวดคิ้ว

"มิผิดขอรับท่านประมุข" สาวกตระกูลหยูกล่าวตอบด้วยความเคารพ

"ท่านลุงมีอันใดหรือไม่?" ความรู้สึกมืดมัวประการหนึ่งบังเกิดขึ้นเป็นเงาสลัวปกคลุมใจของหยูเซี่ยง

"จากที่ข้ารู้มา ตระกูลเซี่ยวของเมืองออโรร่านี่ เป็นตระกูลสาขาๆหนึ่งของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวง" หยูเตี่ยนค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆ

"ตระกูลสาขาของตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวง?" ท่าทางของหยูเซี่ยงพลันเปลี่ยนไปทันที ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวออกมา "เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไรที่เขามีวิชาป้องกันระดับสูงถึงเพียงนั้น แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวงในลักษณะนี้ ... "

หยูเตี่ยนมองไปยังหยูหลี่กับและหยูเซี่ยงก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "น้องรอง หลานเซี่ยง เกรงว่าเซี่ยวหยูคนนี้ พวกเราไม่อาจแตะต้องมันได้"

ตระกูลหยูของเขาอาจจะเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองประจำมณฑลผานางแอ่นเหิน แต่พวกเขาก็ยังห่างไกลกับตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงหลายขุม

ตระกูลใหญ่ที่หยั่งรากลึกในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตระกูลขององค์ราชา และตระกูลใหญ่ๆประจำเมืองหลวงทั้งสิ้น

ตระกูลหยูนั้นเป็นเพียงขี้เล็บเมื่อเทียบกับตระกูลเหล่านั้น!

"ท่านลุง มันเป็นเพียงสาวกจากตระกูลสาขาเท่านั้น ถึงพวกเราฆ่ามันไปทางตระกูลหลักที่เมืองหลวงคงไม่แยแสมันหรอก" ประกายตาของหยูเซี่ยงเรืองวูบออกมาด้วยความเย็นชา จนถึงวันนี้เขายังคงไม่ลืมเลือนภาพที่เซี่ยวหยูบังคับให้เขาต้องกลืนขนมปังเลอะโคลนและรองเท้าชิ้นนั้นได้... นอกจากนี้เซี่ยวหยูยังท้าประลองเขาและเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายทั้งๆที่พึ่งเลื่อนระดับบ่มเพาะมาเทียบเท่าเขาได้ไม่นาน เรื่องนี้นับว่าเป็นการตบหน้าเขาฉาดใหญ่!

ความเกลียดชังอาฆาตต่อเซี่ยวหยูนั้น กล่าวได้ว่าเป็นรองแค่ต้วนหลิงเทียนเท่านั้น

ทว่าทันใดนั้นเองหยูหลี่บิดาของหยูเซี่ยงพลันกล่าวออกมาด้วยเสียงครางต่ำ "ลูกเซี่ยงเจ้าอย่าได้คิดตื้นเช่นนั้น! จริงอยู่ว่าเซี่ยวหยูผู้นั้นคงไม่ได้รับความสนใจอันใดจากตระกูลเซี่ยวในอดีต แต่ยามนี้มันผ่านการเข้าค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กจนได้รับสิทธิ์ในการเข้าศึกษาสถาบันบ่มเพาะขุนพลแล้ว คุณค่าตัวมันในยามนี้นับว่าแตกต่างจากกาลก่อนลิบลับ "

"ถึงแม้จะเป็นตระกูลเซี่ยวแห่งเมืองหลวงเอง หากมีตัวตนเช่นมันปรากฏขึ้น ทางตระกูลก็ยังต้องให้ความสำคัญไม่น้อย! หากตระกูลหยูเราไปแตะต้องมัน แล้วทางตระกูลเซี่ยวรับรู้เรื่องขึ้นมาล่ะก็ หายนะได้มาเยือนตระกูลหยูของพวกเราเป็นแน่"

ตระกูลหยูอาจจะดูแคลนตระกูลใหญ่แห่งเมืองออโรร่าได้ไม่ต่างอันใดกับหนอนแมลง แต่กับตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงนั้นสถานะจะพลิกกลับกันอย่างสิ้นเชิง

"ท่านพ่อข้าเข้าใจแล้ว" หยูเซี่ยงหายใจเข้าลึกๆ ถึงแม้ว่าแววตาของเขาจะเต็มไปด้วยจิตสังหารยามคิดถึงเซี่ยวหยูแต่เขาเองก็ย่อมรู้ดีว่าครานี้ทั้งตระกูลคงไม่เสี่ยงเพียงเพราะความแค้นของเขา ... "เซี่ยวหยูนับว่าเจ้าโชคดีนัก!"

"แล้วเบื้องหลังของต้วนหลิงเทียนนั่นเล่า?" หยูเซี่ยงหันกลับไปมองสาวกของตระกูลที่ไปสืบข่าวก่อนจะกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น

เขายังจำภาพนั้นได้ดี ภาพยามที่หลิงเทียนใช้อาคมจารึกสังหารพี่ชายของเขา "ไอบัดซบต้วนหลิงเทียนนั่นคงมิได้มีเบื้องหลังอันใดอีกคนใช่หรือไม่?"

ภายในใจของเขารู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นในระหว่างรอฟังคำตอบ ...

"นายน้อยเซี่ยง ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนผู้นี้จะไม่ได้มีภูมิหลังอันใดยิ่งใหญ่ขอรับ มันเป็นเพียงสาวกที่ใช้แซ่อื่นของตระกูลลี่เท่านั้น อีกทั้งข้ายังสืบทราบมาอีกด้วยว่า แรกเริ่มเดิมทีแล้ว ต้วนหลิงเทียนนั้นก็เป็นเพียงสาวกที่เติบโตมาจากตระกูลลี่สาขาหนึ่งเท่านั้น"

"ท่านลุง ท่านต้องล้างแค้นให้พี่ชายของข้านะขอรับ!" หยูเซี่ยงแสดงท่าทีวิงวอนออกมายามจับจ้องไปยังหยูเตี่ยน

"ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินว่าตระกูลลี่จะมีเบื้องหลังหรือเกี่ยวพันกับตระกุลใหญ่อันใด นอกจากนี้ไอเด็กต้วนหลิงเทียนนั่นยังเป็นสาวกที่ใช้แซ่อื่นด้วยซ้ำ ... ฮึ่ม! ไอสารเลวนั้นมันสมควรตายนัก บังอาจมาฆ่าหยูหงหลานข้า!” แววตาของหยูเตี่ยนพลันลุกโชนไปด้วยจิตสังหาร น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะ

"ท่านประมุข" ตอนนั้นเองสาวกที่ไปสืบข่าวกล่าวสืบต่อออกมา "เมื่อสิบวันก่อนยามที่ข้าไปสืบข่าวของต้วนหลิงเทียน ข้าพบว่ามันได้ออกเดินทางจากเมืองออโรร่าตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว และกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงด้วยเกวียนใหญ่หลังหนึ่งขอรับ"

"เดินทางด้วยเกวียนเช่นนั้นหรือ มันช่างรู้วิธีผ่อนคลายนัก" หยูเซี่ยงหัวเราะเย้ยหยันออกมา ประกายตาของมันเอ่อล้นไปด้วยเจตนารมณ์แห่งการฆ่าฟันราวกับจะกลืนกินผู้คน

"พี่ใหญ่ ข้าต้องการล้างแค้นให้บุตรคนโตของข้าด้วยสองมือของข้าเอง!" หยูหลี่มองไปยังหยูเตี่ยนด้วยประกายตาวาวโรจน์แฝงไว้ด้วยความกระหายไม่น้อย

หยูเตี่ยนลุกขึ้นยืนก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเห็นด้วย "น้องรองเจ้าอย่าได้กังวล ข้าจะพาเจ้าไปพบผู้อาวุโสหลัก และข้าจะให้อาวุโสหลักเดินทางไปช่วยเหลือพวกเจ้า หนทางไปยังเมืองหลวงนั้นมีเพียงเส้นเดียวหากเลือกที่จะเดินทางจากเมืองออโรร่าเช่นนั้น และเนื่องจากพวกมันเดินทางด้วยเกวียนจะอย่างไรมันก็ยังคงไปได้ไม่ไกลนักเพียงพวกเจ้าควบขี่อาชาโลหิตไล่หลังมันไป ก็น่าจะตามมันทันได้ไม่ยาก "

ผู้อาวุโสหลัก?

สายตาของหยูหลี่ทอประกายขึ้นมาโดยพลัน ผู้อาวุโสหลักของตระกูลหยูมีทั้งสิ้น 4 คน และแต่ละคนนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งทั้งสิ้น การมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งไปด้วยนั้นแน่นอนว่าการเดินทางไปล้างแค้นครั้งนี้ของพวกเขาต้องสำเร็จเป็นแน่!

"ท่านพ่อข้าอยากเห็นต้วนหลิงเทียนตายด้วยสองตาของข้า ข้าจะติดตามท่านไปด้วย" ยามนี้หยูเซี่ยงตื่นเต้นไม่น้อย หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงจากการสูดหายใจเข้าระรัว ...

หยูหลี่ไม่ทันได้กล่าวอะไร กลับเป็นหยูเตี่ยนที่กล่าวตอบรับออกมา "หลานเซี่ยงเจ้าไม่ต้องกังวล ลุงได้เตรียมอาชาเหงื่อโลหิตไว้เผื่อเจ้าแล้วอีกตัว ข้าอนุญาตให้เจ้าไปติดตามดูว่าบิดาของเจ้าและผู้อาวุโสหลักเพื่อล้างแค้นด้วย และถึงเวลานั้นข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ลงมือเอง! เมื่อผู้อาวุโสหลักจัดการมันจนสิ้นสภาพเจ้าต้องเป็นคนปลิดปลงชีวิตมันด้วยสองมือของเจ้า เจ้าจะได้ขจัดปีศาจในใจอันเป็นตัวถ่วงหนทางบ่มเพาะในภายภาคหน้าได้ "

"ท่านลุง!! ขอบคุณท่านลุงมากขอรับ ผู้หลานขอบคุณท่านอย่างยิ่ง!" ใบหน้าของหยูเซี่ยงพลันเริงร่าออกมาอย่างลิงโลด แค่เพียงคิดถึงวิธีที่จะฆ่าต้วนหลิงเทียนบัดซบนั่นให้ตกตายคามือของเขา ทำให้อารมณ์ของเขาพุ่งขึ้นถึงจุดที่ไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลานาน

รีวิวผู้อ่าน