px

เรื่อง : Omni genius
ตอนที่ 24   ฉันจะไปบ้านนาย!


ตอนที่ 24   ฉันจะไปบ้านนาย!

 

ผู้แปล  :  ThreeSwords

ปรับสำนวน  :  ThreeSwords

 

 

“พี่ใหญ่  ข้าได้บอกสูตรลับนั่นไปแล้ว  ข้าไปได้หรือยัง?”

 

เหลาซูเฉียงกังวลเมื่อมันเห็นฉินฟางกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่  จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเอ่ยปากถามฉินฟางอย่างระมัดระวังว่ามันสามารถไปได้หรือไม่

 

“ไป  ไปได้...”

 

ฉินฟางเองก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะสร้างความลำบากให้กับพวกอันธพาลทั้งสามอีก  จึงรีบพูดพร้อมกับโบกมือไล่

 

“ขอบคุณ  ขอบคุณ!”

 

แผ่นหลังของเหลาซูเฉียงมีอาการหนาวสั่นมานานแล้ว  ขณะที่กำลังรอฟังคำตอบของฉินฟาง  เมื่อได้ยินว่ามันสามารถจากไปได้  ก็รู้สึกเหมือนนักโทษที่โดนถอนคำสั่งประหาร  และพยายามที่จะลุกขึ้นในทันที  แต่ช่วงที่มันขยับตัวนั้น  ใบหน้าก็แสดงออกถึงความเจ็บปวดจนต้องกัดฟันทน  เพราะมันไม่กล้ากรีดร้องให้ฉินฟางเห็น  กลัวว่าจะทำให้เขารำคาญ  ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอดทนเก็บไว้เงียบๆ

 

ลูกสมุนที่ชื่อเจ้าสามรีบเดินเข้าไปช่วยยกตัวเหลาซูเฉียงอย่างระมัดระวัง  ต่อมาทั้งคู่ก็เดินไปยังลูกสมุนอีกคนซึ่งถูกตีจนเกือบตายเพื่อหิ้วปีกและประคับประคองกันจากไป

 

“ทำไมเธอยังไม่กลับไปบ้านอีกล่ะ?”

 

เมื่อเรื่องราวจบสิ้น  ฉินฟางก็ทำการปัดเนื้อปัดตัวและเตรียมตัวที่จะกลับไปบ้าน  อย่างไรก็ตามเขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่เรียกว่าเสี่ยวซูยังคงยืนอยู่ที่ปากซอยและกำลังมองมาที่เขา  ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

 

“ฉันไม่อยากกลับไปที่บ้านนั่น...”

 

หญิงสาวตอบกลับด้วยใบหน้าที่รวดร้าวพร้อมกับส่ายหัว

 

ไม่ว่ายังไงคนอ้วนเฉินก็เป็นลุงของเธอ  แต่เขากลับผลักเธอเข้าไปในกองเพลิงเพื่อหนีเอาตัวรอด  นอกจากนี้นี่ก็หนึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้วที่คนอ้วนเฉินหนีไป  แต่ยังไม่มีใครมาช่วยเธอเลย  เธอจึงรู้สึกเจ็บปวดกับความจริงที่พบ

 

“เฮ้อ... มันค่อนข้างจะดึกแล้ว  ผมจะบอกทางไปโรงแรมเพื่อเธอจะได้ไปพักในคืนนี้นะ”

 

ฉินฟางถอนหายใจ  เขารับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง  เลยทราบว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่  แต่เขาเป็นแค่คนนอกจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้

 

“ไม่  ฉันไม่ไป...”

 

หญิงสาวส่ายหัวและพูดปฏิเสธ

 

“บ้านนายมีที่ว่างสำหรับหนึ่งคนไหม?  ฉันจะไปบ้านนาย...”

 

ฉินฟางตะลึงในทันที  และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็มองไปยังหญิงสาวผู้ซึ่งมีอายุใกล้เคียงกัน  เขาไม่อาจยอมรับข้อเรียกร้องของเธอได้

 

“เรื่องนี้... พวกเราไม่ได้สนิทกัน  ผมรู้สึกไม่สะดวกใจน่ะ”

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉินฟางเองก็มีความคิดที่จะตอบรับข้อเรียกร้องของเสี่ยวซู  เพราะท้ายที่สุดแล้วเขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี  ก็ย่อมมีจิตนาการที่เพ้อฝันอยู่บ้าง  นอกจากนี้หญิงสาวคนนี้ก็สวยมาก  ถ้าจับมาแต่งตัวแล้วแน่นอนว่าสวยไม่แพ้ถังเฟยเฟย

 

เพียงแต่ว่าข้อเรียกร้องนี้มาในทันทีทันใด  และหญิงสาวก็พูดตรงจนเกินไป  เขาจึงไม่อาจยอมรับมันได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

 

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น  ทำเพียงมองฉินฟางอย่างเงียบๆ  ดวงตาทั้งสองของเธอมีแสงแวววับแปลกๆ  ซึ่งนี่ทำให้ฉินฟางแอบร้องตะโกนในใจ

 

‘ไม่ใช่ว่าเธอคิดที่จะตอบแทนโดยการมอบกายให้กับผมหรอกนะ  ใช่ไหม?’

 

ฉินฟางอดไม่ได้ที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง  เพราะถ้ามันเป็นในยุคสมัยโบราณแล้ว  ผู้กล้าที่ช่วยชีวิตสาวงามเช่นนี้ย่อมพิชิตใจของเธอได้  แต่ยุคนี้มันศตวรรษที่ยี่สิบแล้ว!  ใครที่ไหนยังจะเชื่อเรื่องแบบนี้ล่ะ?

 

สังคมในสมัยนี้คุณสามารถเห็นคนที่ยืนหยัดเพื่อผู้อื่นโดยสมัครใจและไม่ได้หวังอะไรตอบแทนได้บ่อยๆ  แต่เหยื่อผู้โดนกระทำเหล่านั้นกลับจากไปโดยไร้ร่องรอย  คนที่มีจิตใจดีงามก็เลยโดนทุบตีแทนโดยไร้คำขอบคุณใดๆ จากเหยื่อผู้โดนกระทำเหล่านั้น

 

“มันไม่สะดวกจริงๆ  ผมอาศัยอยู่ในห้องพักเล็กๆ  สำหรับเราสองคนแล้ว... มันดูไม่ค่อยเหมาะ”

 

ฉินฟางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชี้แจงตามข้อเท็จจริง  ถ้าห้องเขาใหญ่กว่านี้ก็คงจะตอบตกลงไปแล้ว  แต่ด้วยห้องเล็กๆ ซึ่งมีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง  ถ้าจะเอาหญิงสาวกับชายหนุ่มไปอยู่รวมกันที่นั่นแล้ว  ก็อาจไม่มีที่ให้นอน

 

“ฉันไม่ถือ...”

 

ความแน่วแน่ของหญิงสาวทำให้ฉินฟางเซไปเล็กน้อย  คำพูดกับเจตนาของเขานั้นตรงไปตรงมาและชัดเจน  แต่เขาไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้

 

“แต่...”

 

ฉินฟางยังคงต้องการปฏิเสธข้อเรียกร้องต่อไป  แต่ก็ถูกขัดโดยหญิงสาว

 

“ไม่มีคำว่า ‘แต่’  ฉันรู้ว่านายเป็นคนดี”

 

เยี่ยมมาก  แปะป้ายให้เขาเป็น ‘คนดี’ เสียแล้ว

 

ฉินฟางจึงทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น

 

“ก็ได้  เธอไปที่บ้านผมก็ได้  แต่ให้ผมพูดอะไรบางอย่างก่อน  ถ้า...  ลืมมันซะ  ผมจะไม่พูดให้เธอกลัวอีก”

 

ฉินฟางต้องการที่จะพูดให้เธอกลัวเพื่อให้เลิกคิดไปที่บ้านของเขา  แต่เมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของหญิงสาวแล้ว  เขาก็กลืนสิ่งที่จะพูดไปในท้ายที่สุด  ขณะเดียวกันนั้นหญิงสาวก็ยิ้มให้เขาอย่างฝืนๆ

 

แน่นอนว่าต่อให้รอยยิ้มนั่นจะดูฝืนๆ  แต่มันก็ยังดูอ่อนหวานและขับเน้นความสวยของเธอให้มากขึ้น

 

ในที่สุดหญิงสาวก็ตามฉินฟางกลับไปที่ห้องของเขา  ขณะที่กำลังเดินกลับทั้งคู่ต่างเงียบและทำราวกับว่าไม่ชอบที่จะพูดคุย  โดยไม่มีทางเลือก  ฉินฟางจึงเป็นคนเริ่มพูดคุยก่อน

 

“ผมชื่อว่าฉินฟาง  แล้วเธอล่ะ?”

 

หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ และตอบกลับ

 

“ฉันรู้ชื่อนายก่อนหน้านี้แล้วค่ะ  ฉันชื่อว่าเซียวมู่เสวี่ย”  (มู่เสวี่ย  มีความหมายว่า  ชมหิมะ)

 

ฉินฟางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย  ดูเหมือนว่าเขาจะเคยพูดชื่อตัวเองไปแล้ว  แต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยพูดไป  ทำให้เกิดสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนขึ้น  ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูดไปเป็นการชมความหมายชื่อของเธอ

 

“อืม... ชื่อมีความหมายดี”

 

“ขอบคุณค่ะ  พ่อของฉันเป็นคนตั้งให้…”

 

หญิงสาวมีท่าทางนุ่มนวลและสงบนิ่งตลอดทางที่เดินมา  แต่เมื่อเธอพูดถึงพ่อของเธอ  ทันใดนั้นความรู้สึกของเธอก็กลายเป็นเศร้าสร้อย  ทำให้ฉินฟางไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์เช่นนี้

 

แต่ฉินฟางก็รู้สึกได้ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ชอบพูดเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ  อาจเป็นไปได้ว่าคนอ้วนเฉินทำให้เธอตกใจกลัวมากเกินไป  เขาจึงคิดว่าจะไม่นำเรื่องนี้มาคุยอีกต่อไป

 

“แล้วพรุ่งนี้เธอมีแผนจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”

 

แม้ว่าเธอจะอยู่ที่ห้องของเขาคืนนี้  แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ตลอดไป

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน...”

 

เซียวมู่เสวี่ยก้มหน้า  ฉินฟางเลยไม่เห็นสีหน้าของเธอ  แต่มันต้องเรื่องซับซ้อนมาก  ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอก็อาศัยอยู่ในบ้านของคนอ้วนเฉินซึ่งเป็นญาติของเธอ  ตอนนี้ไม่สามารถกลับไป  จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่รู้ต้องทำอะไรต่อไป

 

“ฉันได้ยินว่านายมีร้านขายบะหมี่ของตัวเองเหรอ?”

 

เซียวมู่เสวี่ยเงียบไปสักพักก่อนที่จะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

 

“อืม  ฐานะของครอบครัวผมไม่ค่อยดี  โชคดีที่ผมรู้วิธีการทำบะหมี่  ดังนั้นผมเลยร่วมหุ้นกับเพื่อนตั้งร้านเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนกับค่าใช้จ่ายส่วนตัว”

 

ฉินฟางไม่ได้ปิดบังอะไร  การโต้ตอบระหว่างเหลาซูเฉียงกับเขาเมื่อครู่นี้ล้วนอยู่ในสายตาของเซียวมู่เสวี่ย  ถ้าเขาพูดว่าไม่ได้ทำร้านขายบะหมี่  มันก็จะดูเสแสร้งเกินไป

 

“แล้ว... ฉันไปทำงานที่ร้านนายได้ไหม?”

 

เซียวมู่เสวี่ยถามอย่างสงสัย

 

“ฉันทำได้ทุกอย่างนะ  ไม่ต้องจ่ายเงินให้ก็ได้  เพียงแค่นายมีอาหารให้ฉันสามมื้อกับที่พักอาศัย... ฉันไม่ต้องการที่จะกลับไป”

 

พอได้ยินคำขอร้องของเซียวมู่เสวี่ย  สีหน้าของฉินฟางก็แปลกพิกล

 

พูดตรงๆ ว่าคำขอร้องของเซียวมู่เสวี่ยไม่ได้เกินกว่าเหตุ  ธุรกิจของร้านเขาค่อนข้างดี  ดังนั้นแค่เขากับถังเฟยเฟยช่วยกันทำงาน  แม้จะได้รับความช่วยเหลือเป็นครั้งคราวจากฟ่านเจี่ยเจียที่มากินข้าวฟรี  กำลังคนก็ยังถือว่าขาดแคลน

 

ฉินฟางต้องการที่จะจ้างใครมาช่วย  แต่ในใจก็รู้ดีว่าร้านแผงลอยของเขาไม่ได้เปิดนาน  หลังจากเปิดภาคเรียนแล้วเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่มีเวลา  นอกจากนี้การจ้างคนอื่นก็หมายความว่าต้องจ่ายเงินให้  ซึ่งตัวเขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำอย่างนั้น

 

ข้อเสนอของเซียวมู่เสวี่ยเหมือนกับการส่งถ่านร้อนให้กับฉินฟางซึ่งหนาวสั่นในวันที่มีหิมะตก  แต่... ฉินฟางก็คิดว่าข้อเสนอเหล่านี้ไม่เป็นธรรมกับเซียวมู่เสวี่ย  ทำให้เขายากที่จะตัดสินใจว่าตอบรับหรือปฏิเสธดี

 

 

……………………………..

 

รีวิวผู้อ่าน