px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 133 สตรีชุดแดง


ด้านในเกวียนพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง

ลี่เฟยและเค่อเอ๋อเป็นคนฉลาด พวกนางย่อมรู้ดีว่า...ไม่ควรสอดคำอะไรตอนนี้

ลี่หลัวนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่พอใจในคำพูดของบุตรชายนางที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นี้ ตอนนี้นัยน์ตาของนางก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา นางนิ่งไปอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะ ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวออกมาอีกครั้ง "ดี ลูกเทียน หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะกลับไป เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องกลับไป"

"ท่านแม่อย่าได้เสียใจนักเลย" ตอนนี้ภายในใจของหลิงเทียนเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เมื่อเห็นมารดาของเขามีอาการแบบนี้ เขาลุกไปนั่งข้างๆมารดาของเขาและกุมมือนางเอาไว้

"ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านต้องการให้ข้าไปกราบบรรพชนและกลับไปยังตระกูลเพื่อเห็นแก่ท่านพ่อ แต่ท่านอย่าได้หลงลืมไปว่าเพราะเหตุอันใด ที่ทำให้ท่านต้องระเห็จระเหินแถมกระเตงข้าจากตระกูลต้วนมา ในยามที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ทุกคนล้วนเคารพและปฏิบัติต่อท่านด้วยดี แต่เมื่อท่านพ่อหายตัวไป เหล่าผู้ที่อิจฉาพวกนั้นมันลงมือกระทำอันใดบ้างเล่า ข้าแน่ใจว่าพวกมันย่อมพยายามสร้างปัญหาให้แก่ท่านเป็นแน่ ...ท่านแม่ ข้าแน่ใจหากท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่และทราบถึงเรื่องที่ข้ากระทำ เขาต้องไม่ต่อว่าอะไรพวกเราแน่นอน "

ลี่หลัวพยักหน้ารับคำออกมา รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของนาง "ลูกเทียน เจ้าเติบโตขึ้นมากแล้ว แม่สบายใจมากแล้วยามนี้ แม่หาได้มีข้อเรียกร้องอื่นใดอีกต่อไป แม่หวังเพียงตลอดชีวิตของแม่ที่เหลืออยู่ จะสามารถได้เห็นเด็กน้อยที่เกิดจากเจ้าและเค่อเอ๋อรวมถึงลี่เฟย ได้เท่านั้น แม่ก็พึงพอใจแล้ว "

หัวใจของต้วนหลิงเทียนถึงกับสะท้าน ความรักของมารดาเหนือล้ำหนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขาไท่ซาน และมันเริ่มทำให้เขารู้สึกตื้นตัน นัยน์ตาเขาเริ่มครึ้มขึ้นราวกับมีม่านหมอกปิดบัง

"ท่านแม่ ท่านนอนพักสักครู่เถิด" หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆแล้ว หลิงเทียนก็กลับมานั่งข้างๆเค่อเอ๋อและลี่เฟย แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง

แน่นอนว่าเขาย่อมเดินทางไปยังตระกูลต้วน แต่ไม่ได้กลับไปเพื่อไหว้บรรพชนหรือกลับเข้าตระกูลอะไรทำนองนั้น ... แต่เขาจะไปเอาชีวิตบัดซบของไอ้สารเลว ต้วนหลิงซิ่ง!

ไม่นานรถเกวียนก็ถูกลากมาถึงประตูเมืองของเหมืองหลวง แน่นอนว่าเกวียนหลังใหญ่ทั้งยังถูกลากด้วยอาชาเหงื่อโลหิตถึง 3 ตัวย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนอย่างมาก

เมืองหลวงแห่งนี้ล้อมรอบด้วยขุนเขาขนาดใหญ่ทั้งยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ตั้งตระหง่านอยู่อย่างแข็งแกร่ง ให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ดุร้ายที่กำลังหลับพักผ่อนหรือจำศีลอยู่ ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันนัก

สิ่งที่ล้อมรอบเมืองหลวงอยู่เป็นคูน้ำกว้างใหญ่ และมีเพียงสะพานหินขนาดมหึมาหน้าเมืองเท่านั้น ที่สามารถใช้มันสัญจรเข้าเมืองได้ กล่าวได้ว่ามันเป็นประตูเมืองเพียงหนึ่งเดียวของเมืองหลวงแห่งนี้ และนั่นทำให้มีวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเดินทางเข้าออกจากเมืองหลวงแห่งนี้ได้

ในขณะที่รถเกวียนเดินทางข้ามสะพานหิน ปลาที่แลดูดุร้ายและมีความอันตรายก็ปรากฏร่างให้เห็น คมเขี้ยวของพวกมันแหลมคมน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก ทั้งพวกมันยังมีจำนวนมหาศาลและอยู่ไปทั่วคูเมือง

จำนวนหนาแน่นและมากมายของปลาชนิดนี้ ทั้งยังความดุร้ายและความอันตรายของพวกมัน ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นล้วนบังเกิดความครั่นคร้าม

ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งก็เถอะ หากต้องตกลงไปในคูเมืองเกรงว่าคงไม่อาจรอดชีวิตออกมาได้โดยไม่ต้องจ่ายราคาอะไรไป

ส่วนประตูเมืองขนาดใหญ่หนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่นี้แค่ดูก็รู้ว่ามันแข็งแกร่งอย่างมาก หากมองไม่ผิดเกรงว่าวัตถุดิบในการสร้างประตูนี้คงเป็นโลหะชั้นดี ความสูงของมันมีมากกว่า 10 เมตรและด้านข้างประตูเมืองทั้งสองยังมีทหารรักษาการณ์อยู่เป็นแถว แต่ละคนสวมเกราะแลดูแข็งแกร่ง ทหารเหล่านี้แต่ละคนกระชับหอกไว้ในมืออย่างมั่นคงพวกเขายืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย

ในขณะที่เกวียนของหลิงเทียนแล่นผ่าน ฝูงชนที่อยู่ข้างหน้า ล้วนหลบออกไปยืนด้านข้าง แม้กระทั่งทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตูเมืองเองก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้

นี่เป็นเพราะเกวียนขนาดใหญ่ที่ถูกลากจูงด้วยอาชาเหงื่อโลหิตนั้น แม้จะเป็นเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่ได้มีให้เห็นกันทั่วไป เช่นนั้นตัวตนที่อยู่ในเกวียนนั้นก็ย่อมเดาได้ไม่ยาก หากไม่เป็นขุนนางก็ต้องเป็นเศรษฐีที่มั่งคั่งไม่น้อย

หลังจากที่เข้ามาเยือนในเมืองหลวงแล้ว ต้วนหลิงเทียน เค่อเอ๋อ และลี่เฟยเองก็ต่างมาออกันบริเวณหน้าต่างเพื่อสำรวจดูเมืองหลวงกันให้เต็มสองตา

ทั้งสองข้างทางนั้นมีร้านรวงมากมายอาหารการกินเองก็มีไม่น้อย

ลี่เฟยถอนหายใจออกมาเบาๆ "เฮ่อ เมืองออโรร่าของเรา หากนำมาเทียบกับเมืองหลวงแล้ว แลดูเล็กจ้อยราวกับเมืองในชนบทไปเลย"

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเองก็ย่อมเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ของลี่เฟย

เมืองออโรร่าไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับเมืองหลวงได้อย่าสิ้นเชิง

ทันใดนั้นเองเสียงของฉงเฉวียนก็ดังขึ้นมา "นายท่าน เมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่องนี้ ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยมีเมืองชั้นใน และเมือง ชั้นนอก ตอนนี้ที่พวกเรากำลังอยู่ ยังเป็นเพียงเมืองชั้นนอกเท่านั้น"

"เมืองชั้นนอกอย่างงั้นหรือ?" ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย สถานที่เฟื่องฟูอีกทั้งยังเต็มไปด้วยผู้คนทั้งมีร้านรวงเต็มไปหมด มีความเจริญถึงเพียงนั้นยังเป็นแค่เมืองชั้นนอก?

"นายท่าน ดูนั่นขอรับ หากท่านต้องการเข้าเมืองชั้นในต้องเข้าประตูนั้นไป" เกวียนควบขับต่อไปเป็นเวลาประมาณ 2 เค่อ เสียงของฉงเฉวียนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองออกไปนอกเกวียน และเมื่อมองไปยังสุดทางเขาก็เห็น ตัวเมืองอีกตัวเมืองหนึ่งทีดูแตกต่างตั้งอยู่

สำหรับความแตกต่างนั้นก็คือดูเหมือนพื้นที่ของมันจะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเมืองชั้นนอกนี่อยู่มากโข ส่วนคูเมืองและกำแพงเมืองนั้นเพียงใหญ่กว่าเมืองชั้นนอกเล็กน้อยเท่านั้น

และปัจจุบันประตูเมืองก็ถูกปิดอยู่ บนสะพานหินขนาดใหญ่เองก็ไร้ซึ่งผู้คน

"เมืองชั้นในนี่ไม่เปิดให้คนเข้าหรือ" คิ้วของหลิงเทียนขมวดเล็กน้อยก่อนที่จะเอียงคอถามออกมา

"อาจจะเปิดเป็นช่วงเวลามากกว่าขอรับ" ฉงเฉวียนกล่าวออกมา

"เฮ่! ฉงเฉวียน ดูเหมือนเจ้าเองก็คุ้นเคยกับเมืองหลวงแห่งนี้ไม่น้อยเลยนี่นา เจ้าเคยมาเมืองหลวงแห่งนี้ด้วยหรือ?" ต้วนหลิงเทียนถามขึ้นมา เพราะคำถามก่อนหน้านี้ของเขาฉงเฉวียนมักตอบได้เสมอๆ และยังมีคำแนะนำที่กล่าวออกมาอีก เขาสังเกตดูก็เห็นว่าดูเหมือนฉงเฉวียนจะคุ้นเคยกับเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ไม่น้อย

"ข้าเคยมาที่นี่เพียงครั้งหนึ่งขอรับ" ฉงเฉวียนถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะนิ่งไปเหมือนกำลังรำลึกความหลัง

ในตอนนั้นเขายังคงทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ให้แก่นิกายไร้สิ้นสุด และเขาก็มีโอกาสผ่านเมืองนี้เพื่อนำตัวศิษย์ในนิกายบางคนไปทำธุระบางอย่าง

ตอนนี้เมื่อเขานึกขึ้นมาถึงความหลังครั้งยังยิ่งใหญ่ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

"เอาล่ะ งั้นคงต้องกลับไปหาโรงเตี๊ยมที่พักในเขตเมืองชั้นนอกกันก่อนแล้วกัน" ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมา

"ขอรับ" ฉงเฉวียนกล่าวตอบอย่างสุภาพ ก่อนที่จะควบขับเกวียนอกไป โดยสายตาก็สอดส่องโรงเตี๊ยมที่ดูมีคุณภาพดีและเหมาะสมไปด้วย

ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเองเมื่อเห็นเกวียนที่ลากจูงมาด้วยอาชาเหงื่อโลหิตถึง 3 ตัว ก็รีบแจ้นออกมาต้อนรับทันที เขาหวาดกลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้แขกที่น่าจะทรงอำนาจเช่นนี้

....

ต้วนหลิงเทียนเดิมาเคาะประตูห้องพักของลี่หลัวก่อนที่จะกล่าวออกมาเบาๆ "ท่านแม่หิวแล้วหรือไม่ พวกเราออกไปหาอะไรกินกันเถอะ"

"แม่ไม่ค่อยหิวสักเท่าไร และอยากพักสักหน่อย เจ้าไปกันเถิด ... อ่อเจ้าอย่าลืมนำฉงเฉวียนติดตามไปด้วย ที่นี่เป็นเมืองหลวงอาจมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่อาจล่วงเกินได้ เจ้าระวังตัวให้ดีนะลูกเทียนอย่าได้สร้างปัญหาอะไรขึ้นมา"น้ำเสียงของลี่หลัวนั้นไม่วายที่จะเป็นห่วงหลิงเทียน

ต้วนหลิงเทียนรับคำของมารดาก่อนที่จะพาเค่อเอ๋อและลี่เฟยออกไปด้านนอก แน่นอนว่าฉงเฉวียนย่อมติดตามหลังเขาไป

ต้วนหลิงเทียนมองหาเหลาอาหารที่ดูมีคุณภาพดี ก่อนที่จะมาถูกใจกับเหลาอาหารแห่งนี้ที่ออกแบบได้สวยงามทั้งยังมี ถึง 3 ชั้น ชั้นแรกนั้นจะเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับสวยงามนานาพรรณอีกทั้งยังมีผู้คนมากมายระรานตาไปหมด จะอย่างไรก็ตามนี่เป็นช่วงเวลากลางวันนั่นทำให้ผู้คนยังคงครึกครื้นไม่น้อย

ต้วนหลิงเทียนเองก็เดินไปตามทางอย่างรวดๆเร็วก่อนที่จะขึ้นบันใดไปยังชั้น 2 เมื่อเทียบกับชั้นแรกแล้ว ดูเหมือนชั้นที่ 2 นี้จะเงียบสงบกว่ามาก ถึงแม้ว่าจะยังมีผู้คนหลายคนจับกลุ่มคุยกันอยู่ แต่พวกเขาเองก็พยายามลดเสียงของพวกเขาเพื่อไม่ให้รบกวนคนรอบข้างมากสักเท่าไร ท่าทางของพวกเขาเองก็แลดูเป็นสุภาพชนไม่น้อย

"นายท่านเชิญทางด้านนี้เจ้าค่ะ" ไม่นานหลังจากนั้นสตรีผู้หนึ่งที่แลดูน่าจะเป็นคนงานของทางร้าน ก็ออกมารับรองหลิงเทียนและกลุ่มไปยังโต๊ะอาหารที่ว่างอยู่

"เจ้าไปจัดอาหารขึ้นชื่อของที่นี่มาให้ข้า แล้วก็ ขอสุราที่ดีที่สุดสักกา" ต้วนหลิงเทียนสั่งอาหารทันที

"เจ้าค่ะ" บริกรหญิงพยักหน้ารับคำก่อนที่จะรีบไปจัดการตามที่สั่ง

ในเวลาต่อมาอาหารที่แลดูน่ากินกับสุราชั้นดีก็ถูกนำมาจัดวางจนเต็มโต๊ะ

"ร้านนี้ช่างดียิ่งนัก" ลี่เฟยยิ้มออกมาบางๆ เพราะตอนนี้เพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเอะอะจากชั้นแรกแม้แต่น้อย อีกทั้งเสียงผู้คนของชั้นสองเองก็เบาจนเกินกว่าจะสร้างความรำคาญได้ ทุกอย่างแลดูเงียบสงบนัก

ส่วนลูกค้ากลุ่มเล็กๆ ที่อยู่รอบๆก็กำลังสนทนาเรื่องส่วนตัวกัน มีบ้างที่จะเป็นเรื่องสถาบันบ่มเพาะขุนพล

"ข้าสงสัยว่าปีนี้สถาบันบ่มเพาะขุนพลจะ มีคนที่อัจฉริยะเทียบเท่า ฉวีชิง โผล่มาหรือไม่"

"เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอันใดกัน อัจฉริยะอย่างฉวีชิงหาได้มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้โดยง่ายไม่ หากนับกันจริงๆในอาณาจักรนภาล่องนี้มีผู้ที่เหนือล้ำกว่าเขาอยู่ 1 คนแต่ทว่านั่นก็เนิ่นนานมากว่า 20 ปีแล้ว"

"เป็นผู้ใดกัน?"

"แน่นอน ย่อมเป็นต้วนหรูเฟิง แห่งตระกูลต้วน!"

"แล้วผู้ใดคือต้วนหรูเฟิงกันเล่า?"

"บัดซบเจาไปอยู่ในรูไหนมา ถึงได้ไม่รู้จักต้วนหรูเฟิง เขาเป็นอัจฉริยะที่ไร้ขีดจำกัดและเก่งกาจที่สุดเท่าที่อาณาจักรนภาล่องของเราเคยมีมา แต่นี่เป็นเรื่องเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และเขาเองก็เป็นคนจากตระกูลต้วนของเมืองหลวงแห่งนี้"

"ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเขามาก่อนเลย"

"นั่นย่อมเป็นเรื่องปกติ นี่เป็นเพราะอัจฉริยะสุดยอดผู้นั้น ได้หายตัวไปตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว ข้าขอกล่าวไว้เลย หากต้วนหรูเฟิงยังมีชีวิตอยู่ป่านนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรนภาล่องแห่งนี้ คงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลราชวงศ์"

"ชู่ว! บิดาเจ้าเจาะปากมาหรือไร เงียบหน่อย! เจ้ารนหาที่ตายหรือ? อาศัยสถานะต้อยต่ำอย่างเจ้ากล้าพูดเรื่องเช่นนี้ออกมา หากมีผู้ใดที่เป็นคนของตระกูลราชวงศ์มาได้ยินหัวกุดกันพอดี?"

...

ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลหรี่ตาลงเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินบทสนทนาจากโต๊ะใกล้ๆ ต้วนหรูเฟิงที่พวกมันกล่าวถึง แน่นอนว่าย่อมเป็นบิดาในชีวิตนี้ของเขา!

‘ข้าไมคิดเลยว่า บิดาของร่างนี้ที่ตายไปแล้วกว่า 15 ปี กลับมีคนที่ยังจดจำเรื่องราวของเขาได้อีก’ ต้วนหลิงเทียนได้แต่คิดขึ้นมาในใจ เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

"เฮอะ! ต้วนหรูเฟิงอะไรนั่นก็แค่พวกบัดซบอายุสั้นเท่านั้น!" ทันใดนั้นเองน้ำเสียงโอหังไม่แยแสผู้ใดพลันดังขึ้นจากบันใด

หญิงสาวคนหนึ่งที่รูปร่างเล็กอายุประมาณ 19 ขวบปีสวมใส่ชุดคลุมสีแดงกำลังเดินขึ้นมาบนชั้น 2 โดยมีหญิงชราคนหนึ่งติดตามขึ้นมาด้วย หญิงชราคนนั้นแม้จะเดินด้วยการใช้ไม้เท้าพยุงตัว แต่แววตาของนางกลับกระจ่างใสราวกับดวงดารา เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับบ่มเพาะสูงส่งคนหนึ่ง

"แม่หญิงน้อย ยามนี้เจ้าก็พูดได้ แต่เจ้ากล้าพูดต่อหน้าต้วนหรูเฟิงหรือไม่เล่าหากเขายังอยู่แถวๆนี้?" ใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ชื่นชอบต้วนหรูเฟิงครึ้มลงอย่างมาก

"ตบหน้ามันให้ข้า!" น้ำเสียเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้น ก่อนที่หญิงชราด้านข้างจะลงมือกระทำตามคำสั่งทันที

และเสี้ยวพริบตานั้นหญิงชราก็เคลื่อนไหวได้ไม่สมกับหญิงชราสักนิด นางวูบไหวราวกับลมวายุกรรโชกเพียงเสี้ยวพริบตาก็ไปโผล่ตรงหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้น

เหนือศีรษะหญิงชราปรากฏเงาร่างช้างแมมมอธโบราณ 10 ตัววูบขึ้นมาในพริบตาก่อนที่จะหายไป

เพียะ!!

เสียงดังฟังชัดดังขึ้น และทันทีที่บรรลุผลร่างของหญิงชราก็วูบวาบกลับมายืนข้างหญิงสาวชุดแดง ใบหน้าของชายวัยกลางคนนั้นบวมและแดงขึ้นมาครึ่งใบหน้า สีหน้าเขาบิดเบี้ยวมาก แต่ถึงแม้เขาจะโกรธแต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะความแข็งแกร่งของหญิงชราบ้านี่น่าจะเหนือล้ำกว่าเขาไปมากโข

ทันใดนั้นบนชั้น 2 ก็เงียบกริบ

"เอาแต่ใจนัก!" ประกายตาของหลิงเทียนฉายความเย็นชาออกมาเล็กน้อยในขณะที่จับจ้องภาพตรงหน้า ...

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับบิดาที่เขาไม่เคยเจอเป็นพิเศษ แต่จะอย่างไรนั่นก็เป็นบิดาที่ร่างกายนี้ใช้สายเลือดของเขาอยู่กว่าครึ่ง และเมื่อตอนนี้มีคนดูถูกเขา ต้วนหลิงเทียนเองก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมา

"น่าขันนัก! เจ้ายังไปมัวสนใจยกย่องพวกที่มีอายุสั้นถึงเพียงนั้นอยู่อีก" สายตาเย็นชาของหญิงชุดแดงกวาดไปทั่วทั้งชั้น พวกกลุ่มคนที่สนทนากันเมื่อครู่ล้วนหลบสายตาไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากมาย

ลี่เฟยนั้นไม่ค่อยพอใจท่าทางผยองของแม่สาวชุดแดงนั่นสักเท่าไร นางจึงอดสบถออกมาไม่ได้ "เฮอะ! วันนี้ใครจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่คนๆนั้นถามว่าถ้าเขายังอยู่ยังจะกล้าปากดีอีกหรือไม่?"

หญิงสาวที่สวมชุดแดงหันขวับจับจ้องมายังลี่เฟยทันที ก่อนที่จะกล่าวเย้ยหยันออกมาว่า "แค่ตัวประหลาดใส่ชุดคลุมไม่กล้าสู้หน้าผู้คน คงอัปลักษณ์มากใช่หรือไม่ เรานายหญิงน้อยจะให้โอกาสเจ้า ตบปากตัวเอง 30 ทีเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเจ้าต้องได้รับผลของการปากพล่อย!"

"ตัวประหลาด อัปลักษณ์?" ลี่เฟยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวเย้ยหยันออกมา "เจ้านี่น้าก็ช่างคิดไปได้ ดูสารรูปเจ้าสิยังกล้ามีหน้ามาว่าผู้อื่นอัปลักษณ์ อย่างเจ้าลงไปตั้งป้ายมอบกายให้แก่ชายใดก็ได้ ข้ายังไม่รู้เลยว่าขอทานจะกล้ามาแต่งกับเจ้าสักคนหรือไม่?"

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ฟัง นั่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น

ปากของสตรีน่ารักผู้นี้นับว่าร้ายกาจไม่ยอมใครเช่นกัน ...

"เจ้าหาที่ตาย!" แววตาของหญิงสาวชุดแดงเต็มไปด้วยโทสะกลิ่นอายเย็นชาแผ่ออกมา มือของนางสั่นไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดก่อนที่จะควบแน่นลงอาวุธของนางที่เป็นแส้แล้วใช้มันตวัดฟาดมายังลี่เฟยด้วยความเร็วสูงจนบังเกิดภาพติดตา

เหนือศีรษะของนางปรากฎเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา6 ตัว ... ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4!

ในขณะที่ทุกคนคิดว่าลี่เฟยกำลังจะถูกทำร้ายหลิงเทียนพลันลงมือทันที เขาเคลื่อนร่างไปด้วยความเร็วสูง

วูบ ปัง!!

ต้วนหลิงเทียนพุ่งไปกอดร่างลี่เฟย ก่อนที่จะอุ้มนางเคลื่อนกายหลบแส้ที่สตรีชุดแดงฟาดจู่โจมได้อย่างทันทวงที และในขณะที่สายตาของลีเฟยเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเตรียมจะด่านางกลับนั้น

หลิงเทียนพลันใช้สายตาอำมหิตจับจ้องไปยังสตรีชุดแดงและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงน่าหวาดหวั่นว่า "เจ้าสามารถเย้ยหยันผู้อื่น แล้วผู้อื่นไม่สามารถเย้ยหยันเจ้าได้หรือไร ทั้งยามที่เจ้าไม่อาจต่อปากต่อคำชนะผู้อื่นก็ดีแต่บันดาลโทสะไร้ความละอายใช้กำลังเข้าว่า ... เจ้าไม่คิดว่านี่มันมากไปหน่อยหรือยังไง "

รีวิวผู้อ่าน