px

เรื่อง : War Sovereign Soaring The Heavens
บทที่ 139 ภัยร้ายจ่อประชิด


ในห้องพักที่กว้างขวางต้วนหลิงเทียนนอนเอนหลังอยู่บนเตียง เขามองเพดานและครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง แพขนตากระพริบเป็นจังหวะ

เรื่องที่ชิ่งหรูกล่าวบอกแก่เขาก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนตื่นจากความฝันอันแสนหวาน! เขาพลันตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขามองเรื่องราวตื้นเขินเกินไป เขาคิดตื้นๆเพียงว่าเมื่อเดินมาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็จะเดินดุ่มๆเข้าไปยังตระกูลต้วน ก่อนที่จะท้าทายต้วนหลิงซิ่ง แล้วฆ่ามันให้สมใจ ระบายแค้น ...

ด้วยเหตุนี้ตระกูลต้วนก็จะพบกับความสูญเสียแล้วก็ไม่สามารถทำอะไร หรือเรียกร้องความเสียหายอะไรได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

หากเขาฆ่าต้วนหลิงซิ่งไม่ว่าจะด้วยวิธีการท้าทายที่ถูกต้อง หรือการประลองต่อหน้าต่อตาผู้คนก็แล้วแต่ สุดท้ายเขาน่าจะเจอกับการแก้แค้นของต้วนหรูเล่ยบิดาของมันอย่างลับๆแน่นอน ... อีกทั้งสถานะของต้วนหรูเล่ยในตระกูลต้วนเองก็สูงมาก ทำให้เรื่องราวยากลำบากมากขึ้นไปอีก

ลำพังตัวเขาเองก็ไม่ได้กลัวอะไร แต่เขากลัวว่าครอบครัวของเขาจะประสบเภทภัยเสียมากกว่า

"ดูเหมือนว่าเรื่องล้างแค้นต้วนหลิงซิ่งนี้ ข้าต้องดำเนินการอย่างรอบคอบซะแล้ว... " ต้วนหลิงเทียนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ครุ่นคิดหาแผนการอย่างช้าๆ

นอกจากฉงเฉวียนแล้วตอนนี้ตัวเขาก็มีอสรพิษน้อยทั้งสองตัวที่แข็งแกร่งอยู่ข้างเขา พวกมันสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้อย่างง่ายดายโดยการร่วมมือกันลอบโจมตี แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 แล้วล่ะก็ ต่อให้ฉงเฉวียนร่วมมือกับ อสรพิษน้อยทั้ง 2 ตัว ก็ไม่อาจสังหารอีกฝ่ายลงได้!

“ต้วนหรูเล่ยมีสถานะในตระกูลต้วนสูงขนาดนั้น การสั่งการผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 6 คงไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับมัน เผลอๆ มันยังใช้งานผู้ฝึกยุทธ์วิญญาณแรกก่อตั้งขั้นที่ 7 ได้ด้วยซ้ำ ...ตอนนี้ความแข็งแกร่งที่ข้ามี ยังนับว่าด้อยเกินไป” ต้วนหลิงเทียนค่อยๆลืมตาขึ้นมาพร้อมประกายตาเป็นระยิบระยับ

ฝึกฝนบ่มเพาะ!

ตราบใดที่เขาตัดผ่านไปยังระดับกำเนิดแก่นแท้ได้สำเร็จ เขาก็จะสามารถยกระดับเปลวเพลิงหลอมโอสถ ให้มีขีดความสามารถเป็นระดับ 8 และนั่นก็จะทำให้เขากลายเป็นผู้หลอมโอสถระดับ 8 และสามารถหลอมโอสถกวาดจิตพิสุทธิ์เพื่อแก้พิษปรสิตกลืนวิญญาณให้แก่ฉงเฉวียนได้

และเมื่อถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของฉงเฉวียนก็จะฟื้นฟูขึ้นมาอีก 1 ใน 3 ... และจากการประมาณของหลิงเทียน คราวนี้ความแข็งแกร่งของฉงเฉวียนน่าจะพุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ แรกสัมผัสธรรมชาติ ขั้นที่ 1

"ข้าจะไม่ถูกพวกมันกดดันอีกต่อไป หากว่าฉงเฉวียนกูคืนระดับบ่มเพาะ แรกสัมผัสธรรมชาติระดับแรกได้” ประกายตาของต้วนหลิงเทียนเรืองแสงยะเยือกออกมา ก่อนที่เขาจะหลับตาลง

วิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม รูปแบบงูเหลือมคลั่ง!

พลังงานต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนแผ่พุ่งออกมาก่อนที่จะทำการกลั่นตัวแล้วแทรกซึมไปยังทุกอณูของเนื้อหนังร่างกายเขา พวกมันกำลังกำจัดของเสียและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เขาถึงระดับเซลล์ ถ้าเขาไม่ทำการ่มเพาะร่างกายและเสริมแกร่งด้วยพลังงานต้นกำเนิดนี้ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เขาจะไม่สามารถสั่งสมพลังเพื่อทะลวงผ่านจัดชีพจรเพื่อตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 ได้ เพราะรูปแบบการฝึกฝนของวิชา

อาจกล่าวได้ว่าแนวทางการฝึกฝนของวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามรูปแบบงูเหลือมคลั่งนี้ มันทำให้ระดับบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนชลอตัวลงไม่น้อย ไม่อาจเพิ่มระดับพรวดพราดได้อย่าง เค่อเอ๋อและลี่เฟย

เพราะวิชาบ่มเพาะของเขาต้องมาเสียเวลาหลอมกลั่นร่างกายอีกครั้ง เสมือนการบ่มเพาะร่างกายด้วยพลังงานต้นกำเนิดเช่นนี้นี่เอง!

ต้วนหลิงเทียนทำการฝึกฝนเสริมสร้างร่างกายของตัวเองตลอดระยะเวลาทั้งคืน จนกระทั่งถึงรุ่งสาง ทว่าเขายังไม่รู้สึกง่วงนอนแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าการบ่มเพาะร่างกายในช่วงระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 4 นี้ยังไม่เสร็จสิ้น แต่ทว่าเขาก็เริ่มสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองได้ไม่น้อย ...

"พลังวิญญาณของข้า ... ดูเหมือนมันจะยกระดับขึ้น! เหลืออีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ระดับพลังวิญญาณของข้า ก็จะเท่าเทียมกับพลังวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง!!” หลังจากที่สังเกตเห็นถึงเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนพลันประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อย

ถ้าหากเขามีจิตตานุภาพเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง นั่นแสดงว่าว่าพลังวิญญาณของเขาก็จะแข็งแกร่งในดับนั้น และหมายความว่าเขาสามารถ จารึกอาคม ที่มีความรุนแรงเหนือกว่าอาคมจันทร์เสี้ยวโลหิตได้! ...

หากเปิดใช้งานในจังหวะที่ศัตรูเผลอแล้วล่ะก็ อาคมจารึกจันทร์เสี้ยวโลหิตสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับต่ำกว่าวิญญาณแรกก่อตั้งได้ทุกรายอย่างไม่มีปัญหา แต่มันก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งมากสักเท่าไร

นั่นหมายความว่าหากเขาต้องการสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง เขาต้องใช้อาคมจารึกระดับสูงขึ้น! และตอนนี้เขากำลังจะทำได้แล้ว!!

"ตัวเลวร้าย ... เจ้าตัดผ่านระดับแล้วหรือ?" ต้วนหลิงเทียนเดินออกจากอาคารหลักมายังลานกว้าง และการปรากฏตัวของเขาก็ยังคงมีพลังวิญญาณคุกรุ่นอยู่เพราะพึ่งฝึกฝนมาหยกๆ ทำให้ลี่เฟยประหลาดใจไม่น้อย

"เปล่า" ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว คงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้ตัวเขากำลังมีความสุขขนาดไหน

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเค่อเอ๋อที่กำลังร่ายรำกระบี่อยู่ด้านข้าง เขาจ้องมองนางฝึกฝนวิชากระบี่อยู่อย่างตั้งใจ ก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะหันไปถามลี่เฟยว่า "ระหว่างเจ้ากับเค่อเอ๋อผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากันหรือ?"

ลี่เฟยกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า "หลังจากที่น้องหญิงเค่อเอ๋อฝึกฝนวิชากระบี่ยะเยือกเหมันต์ จนมีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้ ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอีกต่อไป นอกจากนี้ระดับบ่มเพาะของนางเองก็ควรจะตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6 แล้ว"

แน่นอนว่าลี่เฟยไม่บังเกิดจิตริษยาหรืออิจฉา ระดับบ่มเพาะของเค่อเอ๋อแม้แต่น้อย นี่เพราะนางนั้นสนิทสนมกับเค่อเอ๋อมาเป็นเวลานานนับปีแล้ว พวกนางตอนนี้รักใคร่สามัคคีกันยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมาเสียอีก

แต่แน่นอนว่าเรื่องการที่อยู่ร่วมกันมานานนี้ใช้ได้กับเค่อเอ๋อเพียงคนเดียวเท่านั้น อาจเป็นเพราะบางทีเค่อเอ๋อได้อยู่กับต้วนหลิงเทียนมาก่อน ส่วนนางเป็นคนที่มาทีหลัง ... แต่ต้องขอบอกไว้เลยว่า ลี่เฟยนั้นระแวงและหึงหวงสตรีผู้อื่นและไม่อยากให้มาวอแวกับหลิงเทียนเป็นอย่างยิ่ง นางไม่คิดจะแบ่งต้วนหลิงเทียนกับสตรีคนที่ 3 !!

"เค่อเอ๋อ ... " ต้วนหลิงเทียนเหม่อมองไปยังร่างบอบบางและอ้อนแอ้นอรชร ด้วยความประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเค่อเอ๋อจะมีความสำเร็จที่สูงถึงขนาดนี้ในเรื่องของระดับบ่มเพาะ

และตอนนี้เองเค่อเอ๋อก็มีอายุเท่าเทียมกับเขา นั่นก็คือมีอายุถึง 18 ปีแล้ว นั่นหายความว่านางเองก็เติบโตจนเป็นสาววัยแรกรุ่นอย่างสมบูรณ์แล้วนั่นเอง สตรีที่เติบโตแล้วนั้นกล่าวได้เลยว่าช่างแตกต่างจากตอนนางยังเป็นเด็กมากนัก!!

วิ๊งงง!

กระบี่ของเค่อเอ๋อเคลือบไปด้วยพลังงานต้นกำเนิดก่อนที่นางจะตวัดกระบี่ ทิ้งรอยพลังงานต้นกำเนิดแหวกอากาศค้างเอาไว้ และอากาศที่ถูกกรีดเฉือนก็บังเกิดเป็นรองรอยของความหนาวเย็นจนอากาศแข็งตัว! นี่เป็นผลกระทบของวิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูง วิชากระบี่ยะเยือกเหมันต์ ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานของ วิชาบ่มเพาะกระบี่เทพเจ้าเหมันต์ที่นางฝึกฝนบ่มเพาะอยู่นั่นเอง

เดือนถัดมาบ้านของหลิงเทียนเองก็ยังคงสงบเงียบไร้เรื่องราว นอกจากหยอกเย้ากับคู่หมั้นทั้ง 2 แล้วต้วนหลิงเทียนก็ทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะ สังเกตได้ชัดว่ายามที่เขาทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปฝึกฝนบ่มเพาะนั้น ทำให้การบ่มเพาะของเขารวดเร็วมากกว่าตอนที่ฝึกฝนบ่มเพาะในเกวียนมากนัก เพราะจะอย่างไรการเดินทางด้วยเกวียน สมาธิของเขาก็ต้องถูกรบกวนนู่นนี่นั่นอยู่เรื่อยทำให้ไม่สามารถทุ่มเทสมาธิโคจรพลังได้อย่างเต็มที่

และด้วยความตั้งใจนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เสร็จสิ้นกระบวนการหลอมกลั่นร่างกายด้วยพลังงานก่อกำเนิดขั้นที่ 4 ได้ในเวลาครึ่งเดือน และตอนนี้เขาเริ่มสั่งสมพลังงานต้นกำเนิดสำหรับทะลวงผ่านระกับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 แล้ว

อีกเรื่องที่น่ายินดีก็คือ วิชาท่าร่างวิญญาณอสรพิษเคลื่อนกายที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีการเคลื่อนไหวของอสรพิษอย่างแท้จริง จนทำให้เขามีความสำเร็จในขั้นตอนแก่นแท้เสียที นั่นเท่ากับว่า วิชาระดับห้วงมหรรณพขั้นสูงทั้งหมดที่ฝึก ได้มีความสำเร็จใจระดับแก่นแท้หมดสิ้น แน่นอนว่าวิชาฝ่ามือพิชิตมังกรเองก็เข้าสู่ระดับแก่นแท้ไปแล้วด้วย

ปึงๆ ครืนนน!

ในลานกว้างต้วนหลิงเทียนพุ่งร่างไปมาอย่างไร้รูปแบบราวกับอสรพิษเลื้อยไปเลื้อยมาด้วยความเร็วสูงจนมองเห็นคล้ายกับเส้นแสงสีม่วงแวบไปแวบมา

เหนือศีรษะเขาพลังงานฟ้าดินได้ตอบรับความแข็งแกร่ง จนฉายเงาร่างช้างแมมมอธโบราณออกมา 12 ตัว!!

ในแง่ของความแข็งแกร่งปัจจุบัน แน่นอนว่ายามนี้ตัวเขานั้นมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 9 ไปแล้ว และถ้าหากเขาใช้กระบี่อ่อนดาราม่วงล่ะก็เขามั่นใจว่า ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนไหนที่มีระดับต่ำกว่าระดับกำเนิดแก่นแท้ขั้นที่ 1 จะสามารถเล็ดรอดคมกระบี่เขาไปได้ กล่าวได้ว่า ไร้พ่ายใต้กำเนิดแก่นแท้อย่างแท้จริง

และในเดือนนี้เค่อเอ๋อเองก็ตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 6 เป็นที่เรียบร้อย

ตอนนี้ภายในบ้านนับว่าคึกคักมากกว่าเดือนที่แล้วอยู่ไม่น้อย เพราะชิงหรูเองก็สามารถ จ้างวานสาวใช้มาอีก 3 คน และคนครัวอีก 2 คน

ยามนี้เรื่องราวภายในบ้านค่อยๆเข้าที่เข้าทางแล้ว ทำให้ต้วนหลิงเทียนและครอบครัวสามารถฝึกฝนบ่มเพาะได้อย่างสงบสุข

"สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง?" ต้วนหลิงเทียนกลาวถามฉงเฉวียนที่พึงกลับมา

ฉงเฉวียนเองก็กล่าวตอบออกมาอย่างสุภาพว่า "นายท่านขอรับ ยามนี้ถึงแม้อาวุโสรองของตระกูลต้วน และองค์ชาย 5 จะยังไม่เลิกตามหาตัวท่าน แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ค้นหาอย่างละเอียดถี่ยิบเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว นี่เพราะพวกเขาไม่ทราบความเป็นมาของท่าน พวกเขาจึงไม่มีวิธีค้นหาท่าน อย่างไรก็ตามจากเรื่องที่ข้าได้สืบทราบมา ดูเหมือนบุตรีของผู้ว่าการมณฑลตะวันฉาย กับต้วนหรงนั้น จะเป็นผู้เข้ารับการศึกษาที่สถาบันบ่มเพาะขุนพลปีเดียวกันกับท่าน"

"ตอนนี้เวลาลงทะเบียนเข้าศึกษาในสถาบันบ่มเพาะขุนพลยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนเท่านั้นก่อนที่จะครบกำหนด และเมื่อปีการศึกษาใหม่เริ่มต้น...นายท่าน ข้าเกรงว่ายามที่ท่านไปยังสถานศึกษาบ่มเพาะขุนพล พวกเขาคงหาตัวท่านได้ไม่ยากในงานวันแรกพบ และยามนั้นเกรงว่าอาวุโสรองตระกูลต้วน และองค์ชาย 5 จะพบตัวท่าน " ฉงเฉวียนกล่าวออกมาอย่างกังวล

นี่เพราทั้งอาวุโสรองของตระกูลต้วน และคองค์ชาย 5 นั่น ย่อมมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายภายใต้อำนาจของพวกมัน และฉงเฉวียนเองก็รู้ตัวดีว่า ด้วยระดับบ่มเพาะเพียงเท่านี้ของเขา มันเป็นเรื่องยากมากที่จะจัดการกับศัตรูทั้งหมด

"หืม พวกมันเป็นนักศึกษาของสถาบันบ่มเพาะขุนพลด้วยงั้นรึ?" ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว เอาล่ะต่อจากนี้เจ้าก็ไปคอยตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบต่อไป ส่วนเรื่องพวกนี้ข้าจะหาทางจัดการเอง จะอย่างไรข้าก็ไม่คิดว่าทั้งอาวุโสรองและองค์ชาย 5 นั่นจะค้นหาที่นี่พบในช่วงเวลาสั้นๆ”

"ขอรับนายท่าน" ฉงเฉวียนกล่าวตอบรับหลิงเทียนอย่างสุภาพ เขาเชื่อฟังคำสั่งของหลิงเทียนอย่างไร้เงื่อนไข

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองฉงเฉวียนแล้วก็ค่อยๆกล่าวออกมาว่า "หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่านายท่านแล้ว ให้เรียกข้านายน้อยเหมือนชิ่งหรูและคนอื่นๆ "

"ขอรับนายน้อย" ฉงเฉวียนกล่าวตอบ ก่อนที่จะจากไป

"อาวุโสรองตระกูลต้วน กับองค์ชาย 5 ... " ต้วนหลิงเทียนลูบคางของเขาแน่นอนว่ายามนี้หากเขาออกไปเผชิญหน้ากับพวกมันโดยตรงแล้วล่ะก็ นั่นก็ไม่ใช่เขาแล้วล่ะ เพราะเขาไม่เคยประเมินค่าตัวเองสูงขนาดนั้น!

"พลังวิญญาณของข้ายังขาดอยู่เล็กน้อย ... ข้าต้องรออีกสักพัก" ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

จากความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด 2 ชาติพบ ไม่มีหนทางใดที่จะปลูกฝังพลังวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นได้ มันต้องพึ่งพาระดับบ่มเพาะปัจจุบันกับผลไม้วิญญาณบางชนิดเท่านั้น

ต้วนหลิงเทียนมีความรู้สึกว่าตราบใดที่เขาสามารถตัดผ่านไปยังระดับก่อกำเนิดขั้นที่ 5 พลังวิญญาณของเขาจะเริ่มกระบวนการพัฒนาอีกครั้ง และเมื่อมันพัฒนาเสร็จสิ้นพลังวิญญาณของเขาก็จะเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้ง และนั่นมันจะเพียงพอให้เขาใช้มันเพื่อจารึกอาคมที่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้!

"แต่จะอย่างไรราคาที่ต้องจ่าย เพื่อซื้อวัตถุดิบมาจารึกอาคมที่สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ระดับวิญญาณแรกก่อตั้งได้นี่ คงต้องใช้วัตถุดิบที่มีราคาหลายล้านเหรียญเงินเป็นแน่ ... " ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเริ่มตระหนักแล้วว่า เขาต้องหาวิธีสร้างรายได้หรือหาเงินเข้ากระเป๋าแล้ว...

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหญิงรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาแล้วกล่าวว่า "เสี่ยวลี่ เจ้ามีเครื่องประทินโฉมหรือไม่?"

สาวใช้หน้าตาแลดูเฉลียวฉลาดนางนี้เป็นคนที่ชิ่งหรูจ้างมา

"มีเจ้าค่ะ" เสี่ยวลี่รีบพยักหน้า

"เอามาให้ข้าหน่อย" ต้วนหลิงเทียนกล่าว

แม้เสี่ยวลี่จะสงสัยว่าชายทั้งแท่งอย่างต้วนหลิงเทียนจะขอเครื่องประทินโฉมนางไปทำไม แต่นางก็ยังยื่นให้เขาไปอยู่ดี

และเมื่อนางเห็นต้วนหลิงเทียนเริ่มแต่งหน้าของเขา นางเองก็อดตกตะลึงไม่ได้ "เหตุใดนายท่าน จึงต้องตกแต่งใบหน้าของนายท่านจนแลดูอ่อนโยนและน่ารักจนสตรีต้องอิจฉาถึงเพียงนี้ล่ะเจ้าคะ?"

และเวลาต่อมานางก็ยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีก

"เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง?" ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มออกมาเบาๆ ตอนนี้เขาแทบจะดูต่างออกไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง และนี่เป็นการปลอมตัวที่อาศัยเพียงการแต่งหน้าเท่านั้น

"นายท่าน ช่างยอดเยี่ยมนัก ฝีมือแต่งหน้านี้ของท่าน ... ช่างเลิศล้ำอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!" เสี่ยวลี่มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงและหลงใหลในขณะที่เฝ้ามองหลิงเทียน นี่ถ้าหากนางไม่ได้เห็นด้วยสองตาของตัวเองว่าต้วนหลิงเทียนเริ่มแต่งหน้า ต่อหน้าของนางแล้วล่ะก็ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจดจำต้วนหลิงเทียนได้ และ ก็ไม่อาจแม้กระทั่งบอกได้ด้วยซ้ำว่าใบหน้านี้ของเขานั้นผ่านการแต่งหน้ามาแล้ว

"เสี่ยวลี่เจ้าแตกตื่นโวยวายอะไรกัน ... เอ๋! เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาสวมใส่เสื้อผ้าตัวเลวร้ายของข้าล่ะ?" ตอนนี้เองที่ลี่เฟยเดินออกมาจากบ้านพักเพราะได้ยินเสียงตกใจของเสี่ยวลี่ และเมื่อนางได้เห็นบุรุษแปลกหน้าที่สวมใส่ชุดของต้วนหลิงเทียน ท่าทางของนางพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

ต้วนหลิงเทียนจับจ้องไปยังลี่เฟยด้วยสายตาหมาป่าก่อนที่จะกล่าววาจาออกมาอย่างแทะโลม "แม่สาวน้อย ข้าได้สังหารตัวเลวร้ายอะไรนั่นของเจ้าไปแล้ว ต่อไปนี้บ้านหลังนี้จะเป็นของข้า ฮึ่ม! ตัวเจ้าก็เช่นกัน ยอมเป็นของข้าแต่โดยดี!"

"อะไรนะ สังหารตัวเลวร้ายไปแล้ว!" ลี่เฟยที่ยังสับสนอยู่ในตอนแรกเนื่องจากกังวลมากเกินไป แต่เมื่อได้ยินเสียงกล่าวออกมา และเอะใจอยู่สักพักนางก็จำได้ทันทีว่าเป็นต้วนหลิงเทียน "เจ้า ... นี่... เจ้าทำได้อย่างไรกัน?"

ต้วนหลิงเทียนไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไร ที่ลี่เฟยจะจดจำเขาได้ เพราะจะอย่างไรพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมานานแล้ว

รีวิวผู้อ่าน